[ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ : จักรพรรดิ์เทพมังกร]
บทที่ 490 : ความกระวนกระวายใจของฉินตงเฉี่วย!
หลังจากขับเรือไปด้วยความเร็วเต็มกำลังนานกว่าหนึ่งชั่วโมง เรือของหลิงหยุนก็เข้าใกล้ฝั่งเมืองเหวินโจวมากแล้ว และเขารู้สึกว่าระยะทางห่างจากฝั่งเช่นนี้ โทรศัพท์มือถือน่าจะมีสัญญาณแล้ว เขาจึงจัดการเปิดโทรศัพท์ทันที
ตั้งแต่หลิงหยุนเริ่มออกเดินทางไปยังเกาะเตียวหยู เขาก็ได้ปิดโทรศัพท์มือถือไว้ และได้ลองเปิดอีกครั้งเมื่ออยู่บนเกาะ แต่เมื่อพบว่าไม่มีสัญญาณโทรศัพท์เขาจึงปิดทิ้งทันที ดังนั้นโทรศัพท์มือถือของหลิงหยุนจึงยังคงมีแบตเตอรี่อยู่เต็ม
และทันทีที่โทรศัพท์มือถือถูกเปิด ก็มีข้อความ และสายที่ไม่ได้รับปรากฏขึ้นมากมาย โทรศัพท์ของหลิงหยุนทั้งดังและสั่นอยู่นาน กว่าเสียงเตือนต่างๆ จะสิ้นสุดลง!
หลิงหยุนไม่ได้รู้สึกกังวลอะไรมากนัก เขายืนเอามือไขว้หลังพร้อมกับจ้องมองโทรศัพท์ที่ยังคงดังอย่างต่อเนื่อง จากนั้นจึงหันไปพูดกับไป๋เซียนเอ๋อ
“เซียนเอ๋อ.. หลังจากที่กลับเข้าไปในเมืองแล้ว เจ้ายังต้องเรียนรู้และปรับตัวให้เข้ากับบ้านเมืองสมัยใหม่อีกมากมาย เจ้าเข้าใจหรือไม่?”
ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้นช่างกว้างใหญ่ไพศาล และความรู้ทางด้านการแพทย์ของหลิงหยุนนั้น ก็ได้แรงบันดาลใจมาจากความล้มเหลวจากบททดสอบของสวรรค์ครั้งแล้วครั้งเล่าในโลกบ่มเพาะนั้น
ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น มีนักบ่มเพาะอยู่มากมายก็จริง แต่ก็มีคนธรรมดาสามัญอยู่ไม่น้อยเช่นกัน และแน่นอนว่าคนธรรมดาที่ไม่ได้บ่มเพาะตนนั้น ย่อมไม่สามารถเทียบเท่าผู้ที่บ่มเพาะได้อย่างแน่นอน ในสายตาของผู้ที่บ่มเพาะตนนั้น คนธรรมดาเหล่านี้ก็ไม่ต่างจากมดเล็กๆตัวหนึ่งเท่านั้น!
เหตุผลหนึ่งที่หลิงหยุนให้ความสำคัญในเรื่องของความแข็งแกร่งมาโดยตลอดนั้น ก็เพราะเข้าใจ และตระหนักในเรื่องนี้ได้อย่างลึกซึ้ง!
เหตุใดนกอินทรีจึงรังเกียจที่จะเดินด้วยเท้า? นั่นก็เพราะมันรู้ดีว่าตนเองสามารถบินไปมาได้อย่างอิสระอยู่บนท้องฟ้า!
หลิงหยุนรู้และเข้าใจดีว่า.. ภายใต้แผ่นฟ้าที่กว้างใหญ่นี้ หากเขาไม่แข็งแกร่งพพอ เขาก็อาจถูกผู้อื่นสังหารได้ เพียงเพราะคนพวกนั้นอารมณ์ไม่ดี หรือว่าหงุดหงิด!
ถูกต้อง..! ด้วยเหตุผลเพียงแค่ความหงุดหงิด หรืออารมณ์ไม่ดี!
มันไม่ต่างจากเวลาที่เราหงุดหงิดแล้วต้องกินขนมขบเคี้ยว หรือขว้างปาสิ่งของ เตะสุนัข กระทืบมด หรือแม้แต่จับปลาทองในตู้ออกมาปาเล่น!
ผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้นจึงจะมีสิทธิ์ระบายอารมณ์กับผู้ที่อ่อนแอกว่า ผู้ที่อ่อนแอจึงมักจะกลายเป็นผู้ที่ต้องประสบกับความหายนะทั้งที่ไม่มีความผิดอะไร!
หลิงหยุนไม่ต้องการให้ชะตาชีวิตของตนเองตกอยู่ในกำมือของคนอื่น เขาไม่ต้องการจบชีวิตเพียงเพราะแค่คนอื่นอารมณ์ไม่ดี
แต่ตรงข้าม.. หลิงหยุนต้องการสร้างความสั่นสะเทือนให้กับโลกด้วยตัวของเขาเอง เขาต้องการให้ผู้อื่นเป็นฝ่ายมองมาที่เขา และทำตามเขา หลิงหยุนต้องการให้ผู้อื่นเห็นถึงความตั้งใจของตนเอง
หลิงหยุนต้องการเป็นผู้นำ และผู้ควบคุม ไม่ใช่ผู้เดินตาม!
มีเพียงผู้ที่แข็งแกร่งเท่านั้น จึงจะสามาถมีชีวิตที่เป็นอิสระ และมีความสุขที่แท้จริงได้!
ดังนั้น.. หลิงหยุนจึงปรารถนาที่จะฝึกตนให้แข็งแกร่งยิ่งขึ้นไปเรื่อยๆ!
ขนาดโลกเล็กๆใบนี้ ยังมีหลายประเทศ หลายคน หลายภาษา จึงแทบไม่ต้องพูดถึงโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่ซึ่งมีพื้นที่กว้างใหญ่ไพศาลกว่านี้หลายเท่านัก!
เมื่อครั้งที่อยู่ในโลกบ่มเพาะที่ยิ่งใหญ่นั้น หลิงหยุนได้เดินทางไปในที่ต่างๆมาหลายแห่งหน เขาจึงมีความสามารถในการเรียนรู้ และปรับตัวได้ค่อนข้างสูง!
ดังนั้นเมื่อต้องมาอาศัยอยู่บนผืนแผ่นดินของประเทศจีนซึ่งตั้งอยู่บนโลกใบนี้ ประกอบกับความทรงจำเดิมที่ยังหลงเหลืออยู่ในจิตใจ บวกกับความช่างสังเกต ทำให้หลิงหยุนสามารถเรียนรู้ และปรับตัวให้เข้ากับโลกใบใหม่ได้ค่อนข้างรวดเร็ว!
ไม่เพียงเท่านั้น.. เมื่อมาถึงหลิงหยุนยังได้เรียนรู้เกี่ยวกับประวัติศาสตร์ของประเทศจีน ภูมิศาสตร์ สังคมศาสตร์ แม้กระทั่งรัฐศาสตร์ เศรษศาสตร์ และเกร็ดเล็กเกร็ดน้อยของประเทศนี้ด้วย ไม่เพียงหลิงหยุนจะสามารถปรับตัวให้เข้ากับเมืองที่ทันสมัยนี้ได้ แต่ยังสามารอยู่ได้อย่างสะดวกสบายทั้งกาย และใจด้วย
แต่ตอนนี้หลิงหยุนก็ได้มีเพื่อนร่วมชะตะกรรมเดียวกับเขาเพิ่มมาหนึ่งคนแล้ว ซึ่งก็คือไป๋เซียนเอ๋อนั่นเอง..
แม้ว่าหลิงหยุนจะนับว่าเป็นผู้ที่มาจากต่างโลก แต่เขาก็ยังมีความทรงจำของเจ้าของร่างเดิมเหลืออยู่ และเป็นประโยชน์ต่อการปรับตัวของเขาได้มาก
ส่วนไป๋เซียนเอ๋อนั้นเป็นสุนัขจิ้งจอกสวรรค์เก้าหางกลายร่าง นางจึงต้องใช้เวลาในการปรับตัวให้เข้ากับชีวิตในเมืองอีกสักระยะหนึ่งทีเดียว
ไป๋เซียนเอ๋อยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ นางพยักหน้าและตอบหลิงหยุนไปว่า “เซียนเอ๋อเข้าใจค่ะพี่นายท่าน..”
หลิงหยุนขมวดคิ้วเล็กน้อยพร้อมกับแก้ไขให้อย่างระอา “นี่เป็นครั้งสุดท้ายที่ข้าจะเตือนเจ้า! เจ้าต้องเรียกข้าว่าพี่หลิงหยุน.. อย่าเรียกข้าว่านายท่านอีก!”
ไป๋เซียนเอ๋อกรอกตาที่มีเสน่ห์นั้นไปมา ขนตายาวกระพริบถี่พร้อมกับพยักหน้าเก้อเขิน และแลบลิ้นออกมาอย่างน่าเอ็นดู
ในที่สุดเสียงเตือนต่างๆจากโทรศัพท์มือถือก็ดับลง หลิงหยุนเปิดข้อความออกอ่านเพียงสองสามข้อความ เมื่อเห็นว่าไม่มีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นที่จิงฉู เขาก็แต่รู้สึกโล่งใจ
และนี่ก็เป็นไปตามที่หลิงหยุนคาดหวังไว้ เขาได้วางแผนควบคุมทั้งด้านสว่าง และด้านมืดของเมืองจิงฉูไว้ทั้งเมืองได้แล้ว คนธรรมดาสามัญจึงยากที่จะทำอันตรายเขาได้อีก
ในเมืองจิงฉูตอนนี้มีทั้งยอดฝีมือถึงสามท่านคือ.. ท่านเสี่ยวหมอเทวดา ตู้กู่โม่ และหลงคุน ส่วนที่บ้านในอ่าวจิงฉูของเขาก็ยังมีน้าหญิงฉินตงเฉี่วยที่เก่งกาจอยู่อีกคน ตราบใดที่ผู้บุกรุกไม่ใช่ยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-4 ฉินตงเฉี่วยก็สามารถจัดการได้อย่างง่ายดาย
อีกทั้งยอดฝีมือขั้นเซียงเทียน-4 นั้น ก็ใช่ว่าจะปรากฏตัวง่ายๆ!
ดังนั้นหลิงหยุนจึงไม่รู้สึกกังวล และเป็นห่วงอะไรนักระหว่างที่อยู่บนเกาะเตียวหยูกับไป๋เซียนเอ๋อ เขาจึงสามารถมีสมาธิและจดจ่ออยู่กับบททดสอบของสวรรค์ได้อย่างไร้กังวล!
หลิงหยุนโทรหาหนิงหลิงยู่เป็นคนแรก เพื่อบอกกับเธอว่าเขากลับมาได้อย่างปลอดภัยแล้ว อย่าได้เป็นกังวล!
แต่หลิงหยุนพูดกับหนิงหลิงยู่ได้เพียงไม่กี่ประโยค ฉินตงเฉี่วยก็คว้าโทรศัพท์มือถือไปจากมือของหนิงหลิงยู่!
แต่สิ่งที่ทำให้หลิงหยุนรู้สึกแปลกใจมากก็คือว่า.. เขาไม่ได้ยินน้ำเสียงที่มีร่องรอยของความโกรธ หรือไม่พอใจจากน้าหญิงของเขาเลยแม้แต่น้อย มีเพียงน้ำเสียงที่ฟังดูอ่อนโยนมากเท่านั้น
“เจ้าเด็กดื้อ.. เจ้าไม่เป็นอะไรใช่ไม๊?”
“ข้าไม่เป็นไร.. ไม่ได้รับบาดเจ็บ วิญญาณยังไม่ออกจากร่าง..”
“ถ้างั้นก็ดี.. เมื่อไหร่จะกลับบ้านล่ะ?”
“ช้าสุดก็น่าจะเป็นพรุ่งนี้เช้าก่อนเที่ยง..” หลิงหยุนประเมินเวลาคร่าวๆ
“ถ้างั้นพรุ่งนี้ข้ากับหลิงยู่จะรอเจ้าอยู่ที่บ้าน กลับมาถึงจิงฉูเมื่อไหร่ ให้กลับบ้านทันทีเลยนะ..”
“รับทราบ.. น้าหญิง!”
“ถ้างั้นข้าวางสายแล้วนะ!” พูดจบฉินตงเฉี่วยก็กดตัดสายทันที
“เชอะ.. เจ้าตัวดี! กล้าทำให้ข้าโมโห.. หลิงหยุน.. เจ้าเด็กร้ายกาจ! บอกข้าว่าจะไปแค่สองสามวัน นี่ไปจนเกือบจะกลับบมาไม่ทันสอบเอนทรานซ์!”
“กล้าหลอกข้าว่าจะไปฝึกฝนวิชาที่ทะเล.. แต่กลับพาสุนัขจิ้งจอกไปกลายร่าง!”
“เจ้าทำให้ข้าต้องเป็นห่วงมาหลายวัน.. รอให้เจ้ากลับมาก่อนเถอะ! ถ้าข้าไม่หักขาของเจ้าทิ้ง อย่ามาเรียกข้าว่าน้าหญิงอีก!”
หลังจากที่ฉินตงเฉี่วยวางสายไป ท่าทางของนางก็เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือทันที! นางระเบิดอารมณ์โมโหออกมาอย่างเต็มที่ ใบหน้าของนางแดงก่ำ และกัดฟันแน่น..
หลังจากที่หลิงหยุนเดินทางไปทะเลได้หลายวัน ฉินตงเฉี่วยและหนิงหลิงยู่ก็เริ่มเป็นกังวล และกระวนกระวายใจมาก
ฉินตงเฉี่วยเริ่มสงสัย และไม่เชื่อในคำพูดของหลิงหยุน จึงไปคาดคั้นถามเอาจากถังเมิ่งว่าหลิงหยุนไปทำอะไรที่ทะเลกันแน่?
ถังเมิ่งต้องการจะโกหก และฉินตงเฉี่วยเองก็ดูออกว่าถังเมิ่งนั้นกะล่อน นางจึงหลอกล่อจนเขายอมหักหลังหลิงหยุน และบอกความจริงกับนาง!
ฉินตงเฉี่วยกับหนิงหลิงยู่ได้ฟังก็ถึงกับตกใจ ทั้งคู่แทบไม่เชื่อหูตัวเอง แต่หลังจากที่ครุ่นคิดถึงเรื่องเจ้าสีนิลมังกรน้อยที่หลิงหยุนพบตอนลงไปสำรวจใต้หลุมยักษ์ ทั้งสองคนยังจำได้ว่าต่างก็นั่งฟังอย่างตื่นเต้น
ในเมื่อมีมังกรอยู่จริง.. แล้วเหตุใดจึงจะมีสุนัขจิ้งจอกกลายร่างไม่ได้!
สวยงามสองคนทำได้เพียงแค่ยอมรับความจริง แต่ก็อดที่จะกระอักกระอ่วนใจไม่ได้ เพราะสุนัขจิ้งจอกกับมังกรนั้นต่างกัน
สุนัขจิ้งจอกเป็นสัตว์ที่มีเสน่ห์มากกว่า!
“น้าหญิง.. ท่านอย่าตำหนิที่ใหญ่เลย แค่กลับบมาได้อย่างปลอดภัยก็พอแล้ว.. นี่ท่านจะลงโทษพี่ใหญ่จริงๆเหรอคะ?”
หนิงหลิงยู่ได้ยินว่าหลิงหยุนปลอดภัยดี เพียงเท่านี้ก็ดีใจมากแล้ว และเกรงว่าฉินตงเฉี่วยจะลงโทษหลิงหยุนจริงๆ
“ต้องทำโทษสิ! ทำไม.. เจ้าจะขอร้องแทนหรือยังไง? คิดดูเรื่องใหญ่ถึงเพียงนี้ แม้แต่ถังเมิ่งซึ่งเป็นเด็กร้ายกาจยังรู้ กล้าเห็นพวกเราไม่อยู่ในสายตา? พาสุนัขจิ้งจอกไปกลายร่างกลางทะเล นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลยนะ! ข้าโมโหมากจริงๆ!”
ยิ่งพูดฉินตงเฉี่วยก็ยิ่งโมโห.. และหน้าอกของนางก็กระเพื่อมขึ้นลงอย่างรุนแรง นางโกรธจนไม่ฟังคำขอร้องของหนิงหลิงยู่!
“น้าหญิงคะ.. ท่านคงยังไม่รู้สินะว่าจิ้งจอกสีขาวตัวนั้นหน้าตาน่ารักมากเลย..”
หนิงหลิงยู่ทำเสียงกระซิบกระซาบ..
ฉินตงเฉี่ยวมองหน้าหนิงหลิงยู่ ก่อนจะถอนหายใจยาว และพูดเสียงเบาว่า “นี่เจ้าไม่รู้สึกโกรธเจ้าเด็กดื้อบ้างเลยหรือยังไง?”
ความจริงแล้ว.. ฉินตงเฉี่วยไม่ได้โกรธที่หลิงหยุนกลับมาไม่ตรงวันเวลาที่ได้แจ้งนางไว้ นางเป็นถึงยอดฝึมือระดับสูงสุดของขั้นเซียงเทียน-3 มีหรือจะไม่รู้ว่าในการฝึกบ่มเพาะตนตามแนวทางเต๋านั้น เมื่อฝึกจนถึงจุดหนึ่งจะทำให้ผู้นั้นลืมวันเวลาไปได้
แต่นางโกรธเมื่อนึกถึงว่าหลิงหยุนไปกับสุนัขจิ้งจอก..
“รอให้เจ้าเด็กดื้อนั่นกลับบมาถึงที่บ้านก่อน.. แล้วค่อยคุยกัน!” ฉินตงเฉี่วยทำเสียงขึ้นจมูกอย่างไม่พพอใจ
แต่ถึงกระนั้น.. ในใจของนางกลับคิดว่านางจะไม่ยกโทษให้เจ้าเด็กวายร้ายนั่นที่กล้าหลอกนาง..
หลายวันมานี้นางเอาแต่ตั้งตารอคอย จิตใจของนางร้อนรนแทบไม่ได้กินข้าวปลา นอนก็ไม่หลับ อีกทั้งยังไม่ได้ฝึกฝนอีกด้วย
ฉินตงเฉี่วยเองก็เป็นคน.. มีเลือดเนื้อ มีจิตใจ!
ฉินตงเฉี่วยเดิมทีนั้นเคยเอาแต่ฝึกฝนวิชา จึงไม่เคยรู้มาก่อนว่าการรอคอยใครสักคนนั้น เป็นเรื่องที่ยากเย็นเพียงใด?!
หลังจากที่โทรหาหนิงหลิงยู่ และฉินตงเฉี่วยแล้ว เขาจึงโทรหาหลินเมิ่งหานเป็นคนที่สองเพื่อให้เทพธิดาหลินของเขาหมดห่วง!
เมื่อโทรหาคนสำคัญสองคนเรียบร้อยแล้ว หลิงหยุนก็ไม่โทรหาใครอีก แต่เปลี่ยนมาเป็นการพิมพ์ข้อความ และจัดการส่งให้กับทุกคนในคราวเดียว
แม้ในข้อความที่ส่งไปนั้นหลิงหยุนจะบอกว่า.. เขาสบายดี ไม่ต้องส่งข้อความอะไรกลับมา และไม่ต้องโทรมา เพราะพรุ่งนี้เขาจะกลับเข้าไปในเมืองจิงฉู แต่ก็ยังมีคนโทรเข้ามาหาเขาอยู่ดี
ซึ่งก็คือเสี่ยวเม่ยหนิงนั่นเอง!
เด็กตัวแสบโทรหาหลิงหยุนทันทีที่ได้รับข้อความจากเขา..
หลิงหยุนไม่ตำหนิเสี่ยวเม่ยหนิง และรู้ว่าถึงอย่างไรหนิงน้อยก็ต้องโทรหาเขาอยู่ดี เพราะทั้งสองคนไม่ได้คุยกันนานหลายวันแล้ว หลังจากที่พูดคุยกันสักพักจนพอใจแล้ว หนิงน้อยก็วางสายไปอย่างมีความสุข
ในเวลานี้ เรือของหลิงหยุนอยู่ไม่ห่างจากชายฝั่งของเมือเหวินโจวมากนัก
หลิงหยุนจัดการโทรหาหลงหวู่ และสั่งเธอว่าไม่ต้องมารับเขาที่ท่าเรือ แต่ให้รออยู่ที่โรงแรมแทน และขอให้เธอบอกที่อยู่ของโรงแรมมา และเขาจะไปหาเธอที่นั่นเอง
และราวสองกิโลเมตรห่างจากฝั่ง หลิงหยุนจัดการเรียกกระบี่โลหิตแดนใต้ออกมา
ชัวะ.. ชัวะ.. ชัวะ.. หลิงหยุนใช้กระบี่โลหิตแดนใต้เจาะรูสามเหลี่ยมที่ใต้ท้องเรือ
น้ำค่อยๆทะลักเข้ามาในห้องโดยสารเรือ และเรือของหลิงหยุนก็ค่อยๆจมลงไปในทะเล
“เซียนเอ๋อ.. ไปได้แล้ว!”