48 หมดเรื่องหมดราว

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

คฤหาสน์ตระกูลซู

 

เต็มไปด้วยความวุ่นวายพลุกพล่าน

 

การแสดงออกของหลิวกงกงมีทั้งไม่แน่ใจและความรู้สึกกลัวอยู่ในส่วนลึกของดวงตา

 

ในฐานะยอดปรมาจารย์ หลิวกงกงมีความสามารถเหนือกว่าจอมยุทธส่วนใหญ่ในยุทธภพ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของวิสัยทัศน์หรือวิธีการจัดการสิ่งต่างๆ ก็ตาม

 

เพราะเหตุนี้เองหลิวกงกงจึงเข้าใจอย่างลึกซึ้งว่าสิ่งที่เกิดขึ้นนั้นหมายความว่าอย่างไร

 

ยิ่งรู้มากก็ยิ่งน่ากลัวมาก

 

ในมุมมองของหลิวกงกง ต้องเป็นจุดสูงสุดของระดับชั้นที่หนึ่งเท่านั้นจึงจะสามารถจัดการเรื่องราวทั้งหมดนี้ได้อย่างง่ายดายและเรียบร้อย

 

ดังนั้นความคิดแรกของหลิวกงกงจึงคิดว่าอาจจะเป็นจ้าวกงกงขันทีชุดม่วงจากวังหลวงที่เป็นคนลงมือ แต่เขาก็ต้องสลัดความคิดนี้ทิ้งไปทันทีที่ปรากฏขึ้นในหัว

 

ประการแรกจ้าวกงกงจะไม่ออกจากวังหลวงเป็นแน่

 

ประการที่สองแม้นเป็นจ้าวกงกงจริงๆ ที่ลงมือ เขาจะไม่ให้คนจดจำเขาในฐานะ ‘องค์ยูไล‘ แน่ๆ

 

“ตระกูลซู?”

 

ความคิดของหลิวกงกงเปลี่ยนแปลงไปอย่างรวดเร็ว เริ่มสงสัยว่ายอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดบังเอิญผ่านทางมาหรือแท้จริงแล้วเขาเกี่ยวข้องอะไรสักอย่างกับตระกูลซู?

 

จากนั้นไม่นานหลิวกงกงก็ส่ายหัวและคิดว่ายอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดคงจะบังเอิญผ่านทางมาที่นี่

 

หลิวกงกงรู้เรื่องการแต่งงานขององค์ชายหลี่เชิงกับบุตรีตระกูลซูอยู่แล้ว

 

ก่อนหน้านี้เขาก็ได้ตรวจสอบปูมหลังตระกูลซูโดยตรง

 

ในช่วงห้าร้อยปีที่ผ่านมาในตระกูลซู ผู้ฝึกยุทธที่แข็งแกร่งที่สุดที่เคยมีมาก็เป็นแค่เพียงระดับชั้นที่สี่เท่านั้น

 

ไม่มีสักคนเดียวที่อยู่ในสามระดับบน

 

แน่นอนว่าตระกูลซูก็เป็นเพียงตระกูลในเมืองเล็กๆ อย่างเมืองเยี่ยนเฉิง ถ้ามีความเกี่ยวข้องใดกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งก็คงเป็นเรื่องตลกแล้ว

 

“จะต้องพาองค์ชายกลับวังคืนนี้”

 

หลิวกงกงตัดสินใจอยู่ภายในใจตน

 

ในตอนนี้องค์ชายหลี่เชิงไปกระตุ้นความสนใจองค์ชายองค์อื่นๆ เข้าแล้ว และยังไปข้องเกี่ยวกับยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดที่ไม่รู้ที่มาที่ไปนั่นอีก…

 

แม้ว่าจะเป็นยอดปรมาจารย์อย่างหลิวกงกง เขาก็ยังรู้สึกไม่สบายใจ

 

ถึงหลิวกงกงจะรู้ว่ายอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดไม่ได้มุ่งร้ายต่อองค์ชาย มิฉะนั้นองค์ชายหลี่เชิงคงจะเสียชีวิตไปนานแล้ว

 

แต่ไม่ว่าสิ่งใดจะเกิดขึ้นหรือไม่ มีเพียงแต่จะต้องส่งองค์ชายหลี่เชิงกลับวังเท่านั้นหลิวกงกงถึงจะรู้สึกสบายใจขึ้นมาได้

 

เป็นปกติที่หลิวกงกงจะไม่รู้ตัวว่าซูฉินได้เห็นการเปลี่ยนแปลงในสีหน้าทั้งหมดของตัวเขาในตอนนี้

 

ตอนที่ซูฉินเห็นโชคชะตาบ้านเมืองขนาดมหึมาในร่างของหลี่เชิง เขาก็จับตำแหน่งของหลิวกงกงไว้ด้วยดวงตาแห่งสัจจะเรียบร้อยแล้ว

 

 

 

ขณะที่กลุ่มมือสังหารเริ่มลงมือ เมื่อจิตสังหารแพร่กระจายไปทั่วโถง หลิวกงกงคนนี้ก็สัมผัสได้ถึงความผิดปกติ และรีบตะบึงมาที่คฤหาสน์ตระกูลซู

 

น่าเสียดายยิ่งที่เมื่อหลิวกงกงมาถึงคฤหาสน์ซูทุกอย่างก็สายเกินไปเสียแล้ว

 

ด้วยเหตุนี้ซูฉินจึงต้องออกมือ

 

“ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาที่จะพบกัน”

 

ซูฉินมองไปที่น้องสาวของเขาซูเยว่หยุน รวมถึงทุกคนในตระกูลซู

 

“ยามใดที่ข้าสำเร็จระดับอรหันต์ อยู่ยงคงกระพันในใต้หล้าอย่างแท้จริงแล้ว มันคงจะไม่สายเกินไปที่จะกลับมาพบกันอีกครั้ง”

 

ซูฉินคิดอยู่ในใจตนเองเงียบๆ

 

แม้ว่าตอนนี้ซูฉินจะอยู่ในระดับชนชั้นนำของยุทธภพ และได้แปรสภาพพลังไปถึงสองครั้ง แต่ก็ยังไม่สามารถพูดได้เต็มปากว่าตนเองอยู่ยงคงกระพัน

 

อย่างน้อยๆ ก็ยังมีตัวตนในระดับเดียวกับซูฉินอยู่ในยุทธภพ

 

ตัวอย่างเช่น ราชครูแห่งเหมิ่งหยวน นักพรตจางแห่งเขาหวู่ตั้ง และขันทีชุดม่วงในวังหลวงราชวงศ์ถัง

 

แน่นอนว่าอาศัยเคล็ดวิชาจำนวนมากมายนับไม่ถ้วนที่เขาเชี่ยวชาญและร่างกายที่ได้รับการเสริมแกร่งมาจากตราประทับภูเขาด้านหลังวัดเส้าหลิน พลังในการต่อสู้ของซูฉินแท้จริงแล้วสามารถบดขยี้ยอดปรมาจารย์ระดับจุดสูงสุดทั่วๆ ไปได้เลย เรียกได้ว่าเป็นตัวตนที่ไร้พ่ายรองลงมาจากระดับ ‘อรหันต์‘ เลยก็ว่าได้…

 

แต่กระนั้น หากไม่ได้ก้าวเข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ ในเร็ววัน ซูฉินยังรู้สึกไม่ค่อยสบายใจนัก

 

ส่วนตอนนี้…

 

ซูฉินก็แค่ต้องการยืนยันว่าตระกูลซูนั้นเป็นไปด้วยดี

 

ในเวลาต่อมา

 

คืนนั้น หลิวกงกงได้เข้าพบองค์ชายหลี่เชิงและสารภาพตัวตนของเขาออกไป

 

หลังจากครึ่งชั่วโมงแห่งความตกตะลึง องค์ชายหลี่เชิงก็ยังไม่อาจเชื่อถือทั้งหมด เพียงเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง

 

ด้วยวิธีการบางอย่างที่หลิวกงกงได้แสดงออกมาให้ได้เห็น หากเขาต้องการจะปล้นหลี่เชิง เขาไม่จำเป็นต้องสร้างเหตุผลเหล่านี้ขึ้นมาหลอกลวงเลย

 

จากนั้นองค์ชายหลี่เชิงจึงออกจากคฤหาสน์ตระกูลซู มุ่งหน้าไปยังเมืองหลวงของอาณาจักรถัง

 

อย่างไรก็ตามด้วยการร้องขอที่แข็งขันของหลี่เชิง หลิวกงกงจึงต้องแสดงป้ายอาญาสิทธิ์ที่จักรพรรดิถังมอบไว้ให้ ในการนำกำลังพลป้องกันเมืองคังโจวมาคุ้มกันตระกูลซู

 

และหลังจากที่หลิวกงกงอธิบายให้องค์ชายหลี่เชิงทราบ เขาก็ตระหนักและเข้าใจแล้วว่ากลุ่มมือสังหารในช่วงกลางวันนั้นมุ่งเป้ามาที่เขา

 

ตระกูลซูได้รับผลกระทบมาจากเขา

 

ด้วยเหตุนี้หลี่เชิงจึงเป็นกังวลว่าเมื่อเขาจากไป กลุ่มมือสังหารจะโยนความโกรธแค้นไปที่ตระกูลซู

 

แม้หลิวกงกงจะอธิบายซ้ำแล้วซ้ำเล่าว่ากองกำลังที่อยู่เบื้องหลังเหล่ามือสังหารนั้นไม่เหลือบแลตระกูลเล็กจ้อยเช่นตระกูลซูหรอก แต่หลี่เชิงมีสถานะที่ไม่ธรรมดา หลิวกงกงทำได้เพียงปฏิบัติตามคำขอของเขาเท่านั้น

 

ซูฉินเห็นดังนี้ก็มีความประทับใจในทางที่ดีขึ้นต่อองค์ชายหลี่เชิง

 

ถ้าคนธรรมดาทั่วไปรู้ว่าเขาเป็นสายเลือดของจักรพรรดิถังก็อาจจะลืมตัวลืมตนของตัวเองกลายเป็นวัวลืมตีนไปนานแล้ว

 

ขณะที่หลี่เชิงผู้นี้ให้ความสำคัญกับความปลอดภัยของตระกูลซูเป็นอันดับแรก เห็นได้ชัดว่าเขาเป็นคนดี

 

ในท้ายที่สุดองค์ชายหลี่เชิงก็ได้ให้สัญญากับซูเยว่หยุนว่าจะกลับมารับนางยามเมื่อทุกอย่างเข้าที่เข้าทาง และจากไปพร้อมกับหลิวกงกงในยามค่ำคืน

 

วันต่อมา

 

จอมยุทธจำนวนมากที่ถูกส่งตัวมาจากกองกำลังป้องกันคังโจวก็มาถึง ระดับต่ำที่สุดของกลุ่มคือระดับชั้นที่หก และผู้นำกลุ่มสองคนถึงกับมีพลังอยู่ในสามระดับบน

 

ผู้นำกองกำลังปกป้องเขตคังโจวเห็นได้ชัดว่าหวาดกลัวต่ออำนาจเบื้องบนจึงส่งทหารคนสนิทออกไป

 

ต้องรู้ว่าป้ายอาญาสิทธิ์ที่หลิวกงกงนำมาแสดงนั้นมอบให้โดยองค์จักรพรรดิถัง มันแสดงถึงพระประสงค์ขององค์จักรพรรดิ

 

ผู้ครองเขตคังโจวไหนเลยจะกล้าละเลย และดูแลอย่างขอไปทีได้อย่างไร?

 

ซูฉินที่รั้งรอมาจนถึงช่วงเวลานี้ ในที่สุดก็ถอนหายใจออกมา

 

“หมดเรื่องหมดราวแล้ว”

 

ซูฉินออกเดินช้าๆ ไปบนถนนของเมืองเยี่ยน “ได้เวลาออกเดินทางแล้วล่ะ”

 

ตอนนี้ตระกูลซูได้รับการคุ้มกันจากกำลังพลป้องกันเขตคังโจวแล้ว กล่าวได้ว่ามีความปลอดภัยอย่างยิ่ง ซูฉินไม่จำเป็นต้องคอยเฝ้าระวังอยู่ที่นี่อีกต่อไป

 

“อย่างไรก็ตามก่อนที่ข้าจะกลับไปวัดเส้าหลิน ข้าสามารถแวะไปดูที่ภูเขาหวู่หนานตรงจุดที่ตั้งของพรรคมารก่อนได้”

 

ความคิดของซูฉินแล่นไปมา

 

เมื่อวานนี้เขาลงชื่อเข้าใช้ในฐานที่มั่นของพรรคมารและได้รับ ‘กลมารฟ้า‘ ซูฉินใคร่รู้ว่าวันนี้เขาจะสามารถลงชื่อเข้าใช้ที่นั่นได้อีกครั้งหนึ่งหรือไม่

 

สุดท้ายแล้ว จนถึงตอนนี้ฐานที่มั่นหลักของพรรคมารก็เป็นสถานที่เดียวที่ซูฉินสามารถลงชื่อเข้าใช้ได้ถ้าไม่นับวัดเส้าหลิน

 

 

หลังจากนั้นไม่กี่ชั่วโมง

 

หิมะก็ตกลงมาจากท้องฟ้าอย่างช้าๆ

 

ซูฉินยืนอยู่ด้านหน้าฐานที่มั่นหลักของพรรคมารด้วยสีหน้าผิดหวังเล็กน้อย

 

“ดูเหมือนว่าจะสามารถลงชื่อเข้าใช้ที่นี่ได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น”

 

ซูฉินทอดสายตาที่เต็มไปด้วยอารมณ์ออกไป รับรู้ได้ถึงความล้ำค่าของ ‘ดินแดนแห่งขุมทรัพย์‘ อย่างวัดเส้าหลินมากขึ้นเรื่อยๆ

 

แม้จะเป็นสถานที่เช่นแท่นบูชาของพรรคมารก็มีทรัพยากรให้ซูฉินลงชื่อเข้าใช้ได้เพียงแค่ครั้งเดียว

 

แต่วัดเส้าหลินล่ะ?

 

ซูฉินลงชื่อเข้าใช้มามากว่าสิบห้าปี…

 

‘เต๋าสะสม‘ มีอยู่ในที่นั้นมากแค่ไหนกัน ถึงขนาดให้ซูฉินลงชื่อซ้ำราวกับ‘ทอผ้าขนแกะ‘[1]…

 

“ใกล้ถึงเวลาแล้ว”

 

ซูฉินหมุนตัวจากไป

 

เนื่องจากเวลานี้ยังเช้าอยู่ ซูฉินจึงไม่ได้รีบกลับวัดเส้าหลินแต่วางแผนจะเดินเล่นสำรวจดูว่ามีสถานที่อื่นอีกไหมที่สามารถลงชื่อเข้าใช้ได้

 

เวลาผ่านไปอย่างรวดเร็ว

 

ซูฉินก็เดินทางมาถึงเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่ง

 

เมืองเล็กๆ แห่งนี้ตั้งอยู่ที่ตีนเขาหวู่หนานและชาวบ้านต่างดำรงชีพด้วยการล่าสัตว์

 

ซูฉินไม่ได้ปิดบังรูปลักษณ์ของเขาเอาไว้ เดินเข้าไปในเมืองอย่างเปิดเผย

 

หลังจากที่เข้าเมืองมาได้ไม่นาน ซูฉินก็เบนสายตามองไปยังสถานที่แห่งหนึ่ง

 

 

 

——————————————————

 

[1] ทอผ้าขนแกะ撸羊毛หมายถึง พฤติกรรมที่นักลงทุนได้รับผลประโยชน์หรือผลตอบแทนจากการเข้าร่วมกิจกรรมการลงทุนโดยไม่ลงทุน ซึ่งการลงทุนนี้ทำให้ผู้ดำเนินกิจการไม่ได้รับประโยชน์ แต่เป็นผู้เข้าร่วมที่ได้รับประโยชน์แทน