ตอนที่ 443 ฉันชอบพี่มาก

นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น

นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 443 ฉันชอบพี่มาก
รถพยาบาลมาถึงโรงพยาบาลแล้ว หลังจากที่คุณหมอตรวจอาการของหลิวเสี่ยวหนิงแล้ว ก็บอกกับเธอว่า:”ทำไมเธอถึงไม่ระวังเลย อาการบาดเจ็บของเธอคือกระดูกหักในระดับกลาง ต้องใช้เวลาอย่างน้อยสามถึงห้าเดือนถึงจะขยับได้ แต่หลังจากที่ทำHIAแล้วจะต้องทำการพักฟื้น จะยกของหนักไม่ได้ ตอนนี้วัยหนุ่มสาว ทำไมถึง…..ฉันจะให้พยาบาลเข้าเฝือกให้เธอ และต้องนอกพักที่โรงพยาบาลเพื่อดูอาการ”

หลิวเสี่ยวหนิงอึ้ง กลัวว่าเฉินจุนเหยียนได้ยินแล้วจะรู้สึกผิด เลยยิ้มแล้วพูดกับคุณหมอ:”ฉันไม่ทันระวังตัว ตอนที่ถ่ายละครได้รับบาดเจ็บที่แขน ที่คุณหมอพูดฉันจะจำไว้ แต่ว่าจะต้องนอนพักที่โรงพยาบาลนานแค่ไหนคะ ฉันยังต้องถ่ายละคร……..”

ตอนนี้เธอมีสภาพอย่างนี้แล้ว อย่าพึ่งเป็นห่วงเรื่องถ่ายละครเลย เธอต้องพักอยู่โรงพยาบาลนานเลย จำเป็นต้องตรวจดูแขนของเธอว่าสมานรึยัง ไม่งั้นหลังจากออกจากโรงพยาบาลแล้วอาการกำเริบ ใครจะรับผิดชอบ”

คุณหมอได้ยินเธอพูดอย่างนั้นก็ถอนหายใจออกมาแล้วส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความรู้สึกจนใจ

ตอนนี้วัยหนุ่ทสาว ทำไมถึงไม่ดูแลตัวเองนะ

“อ้อ อีกเรื่อง เธอได้รับบาดเจ็บที่แขนขวา และจะต้องเข้าเฝือกช่วงนี้จะขยับไม่ได้ และยกของหนักไม่ได้ ฉันว่าทางที่ดีเธอให้คนอื่นมาดูแล้วเธอจะดีที่สุด”

คุณหมอพูดแล้วเงยหน้าขึ้นมองเฉินจุนเหยียนที่ยืนอยู่ข้างๆ หลิวเสี่ยวหนิงด้วยใบหน้ากระวนกระวายใจ และก็คิดว่าทั้งสองเป็นแฟนกัน เลยพูดกับเฉินจุนเหยียนว่า:”ช่วงนี้คุณต้องดูแลแฟนของคุณหน่อยนะ เธอเป็นผู้หญิงก็น่าจะลำบาก”

หลิวเสี่ยวหนิงอึ้ง แล้วหันไปมองเฉินจุนเหยียน กลัวว่าเขาจะรู้สึกลำบากใจ แล้วรีบพูดอธิบายว่า:”คุณหมอเข้าใจผิดแล้วค่ะ เขาไม่ใช่……..”

เฉินจุนเหยียนก็เหมือนจะพูดอะไร แต่ใครจะรู้ว่าคุณหมอจะโบกมือให้ :”เอาละๆ ฉันไม่อยากรู้จักเรื่องของพวกเธอหรอก เสี่ยวหลิวเธอมาก็ดีแล้ว พาเธอไปเข้าเฝือกทีกระดูกหักระดับกลาง และจัดห้องพักฟื้นหนึ่งห้อง”

หลิวเสี่ยวหนิงเห็นอย่างนั้นก็ทำได้เพียงกลืนคำพูดที่จะพูดลงคอ แล้วก็มองเฉินจุนเหยียนอย่างระมัดระวังอย่างจนปัญญา ทั้งสองก็เดินตามพยาบาลออกไปเข้าเฝือก

ห้องพักผู้ป่วย

หลิวเสี่ยวหนิงได้ทำการเข้าเฝือกเรียบร้อยแล้ว มือขวาถูกแขวนไขว้มาตรงข้างหน้า ขยับไม่ได้ เฉินจุนเหยียนนั่งลงเก้าอี้ที่อยู่ข้างเตียงปอกผลไม้ให้เธอ หลินเสี่ยวหนิงนั่งพิงหัวเตียง มองหน้าจุนเหยียนอย่างเกรงใจอยู่นานถึงได้พูดว่า:”ขอด้วยนะคะรุ่นพี่ ……..ที่ต้องรบกวน”

“เสี่ยวหนิง เธอพูดเกรงใจไปแล้ว “เฉินจุนเหยียนอึ้ง มองหลิวเสี่ยวหนิงอย่างสงสัย ยิ้มให้ พร้อมกับพูดขอโทษ:”ถ้าไม่ใช่เธอเอาตัวเข้ามาช่วยฉันไว้ คนที่จะนอนอยู่ตรงนี้คงจะเป็นฉัน คงจะเป็นฉันมากกว่าที่ต้องขอโทษเธอ ตอนนี้ดูแลเธอก็สมควรแล้ว เธอไม่ต้องเกรงใจฉันหรอก”

หลิวเสี่ยวหนิงยิ้มออกมา แต่ว่าพอนึกถึงเรื่องที่คุณหมอผู้หญิงพูดเมื่อกี้ เธอก็รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง มองเฉินจุนเหยียนอยู่นานเหมือนจะพูดอะไรก็ไม่พูด แล้วรวบรวมความกล้าพูดอย่างลังเล:”อ้อ….รุ่นพี่คะ เมื่อกี้ ที่คุณหมอพูด พี่อย่าไปใส่ใจเลยนะคะ…..’

เฉินจุนเหยียนเม้มปาก แล้วก็ยิ้มพูด:”ไม่เป็นไร ฉันจะถือสาได้ยังไง เธอเข้าใจผิดแล้ว พวกเราไม่ใช่เป็นเพื่อนกันหรอ เธอวางใจเถอะ ฉันไม่ถือสาหรอก”

เพื่อนกัน แค่เพื่อนกันเองหรอ…..

แววตาของหลิวเสี่ยวหนิงสลดลง เธอค่อยปิดเปลือกตาลง มือวางบนผ้าห่มนิ้วโป้งก็จิกแน่นอย่างไม่รู้ตัว เดิมทีเธอก็เตรียมใจไว้แล้ว ก็รู้ว่าเฉินจุนเหยียนชอบซูฉิง เธอเลยคิดว่าจะไม่พูดออกมาตลอดไป…..

แต่ว่าคำพูดนี้ของเฉินจุนเหยียน ทำให้เธอรู้สึกไม่ยอมแพ้ หลิวเสี่ยวหนิงรู้ว่า ที่จริงแล้วเธออยากจะพูดออกมา

และอาจจะเป็นครั้งเดียวที่เธอกล้าเผชิญหน้ากับเฉินจุนเหยียน

“รุ่นพี่คะ ”

“ให้”

ทั้งสองที่พูดออกมาพร้อมกัน เฉินจุนเหยียนที่ปลอกแอปเปิลเสร็จแล้วก็ยื่นให้กับหลิวเสี่ยวหนิง หลังจากเงียบอยู่นาน และก็เป็นเฉินจุนเหยียนที่ยิ้มขึ้นมาก่อนแล้วมองไปที่เธออย่างสบายอารมณ์

“เธอพูดก่อนเถอะ มีอะไรหรอ”

หลิวเสี่ยวหนิงจ้องตาเฉินจุนเหยียน ก็รู้สึกตื่นเต้นมา เธอรู้ว่าตนไม่ควรพูดออกมา แต่ถ้าไม่พูดออกมาตอนนี้ เธอก็คงไม่มีโอกาสตลอดชีวิต

สุดท้าย ความหุนหันพลันแล่นก็ชนะเหตุผล

หลิวเสี่ยวหนิงกลืนน้ำลายอึก พยายามเอาชนะความตื่นเต้น แล้วก็มองเฉินจุนเหยียนพูดออกมาอย่างชัดเจนด้วยความรวดเร็ว :”รุ่น รุ่นพี่เฉิน …..ที่คุณหมอผู้หญิงพูดเมื่อกี้ ที่จริงแล้วฉันไม่อยากคิดว่าเป็นเรื่องเข้าใจผิด ฉันชอบพี่มาก และฉันก็รู้ว่าพี่ชอบพี่ซูฉิง แต่ฉันก็แค่อยากลองดูสักครั้ง ฉันอยากจะอยู่กับพี่!”

พอเธอพูดจบเฉินจุนเหยียนก็ตกใจอึ้ง เขามองหลิวเสี่ยวหลินอย่างคาดไม่ถึง แต่แววตาของอีกฝ่ายนั้นดูจริงและจริงจังด้วย

เฉินจุนเหยียนไม่รู้จะทำตัวยังไง เขาไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าหลิวเสี่ยวหนิงจะชอบตน และเขาก็ดูแลเธอเหมือนกับน้องสาวคนหนึ่งก็เท่านั้น

“………” เฉินจุนเหยียนที่พูดอย่างพิจารณา”เสี่ยวหนิง ตอนนี้ในใจฉัน ฉันคิดว่าพวกเราเป็นเพื่อนกันดีกว่า ฉันก็สามารถช่วยเธอเรื่องการแสดงในส่วนที่เธอยังทำไมดีพอ ฉันก็สามารถช่วยเธอได้ พวกเราก็รักษาความสัมพันธ์แบบนี้ไว้ดีกว่ามั้ย”

แม้เฉินจุนเหยียนจะไม่ได้พูดอย่างชัดเจน แต่ก็สื่อความหมายปฏิเสธออกมาอย่างชัดเจนแล้ว หลิวเสี่ยวหนิงได้ยินอย่างนั้น ใจก็ดิ่งลง

ดูท่า เธอไม่มีความหวังแม้แต่นิดเดียวเลย

หลิวหนิงที่เผยแววตาเศร้าออกมา สุดท้ายก็ทำได้เพียงพยักหน้ายอมรับ คิดอยู่ชั่วครู่ก็พูดเสียงเบา:”โอเค ฉันเข้าใจแล้ว”

เฉินจุนเหยียนอยากจะพูดอะไรเพื่อทำให้บรรยากาศดีขึ้น แต่เขากลับพูดไม่ออก อยู่ในห้องพักคนไข้อย่างเงียบ

ภายในห้องผู้ป่วยที่เงียบอยู่นาน เขาก็ทำได้เพียงยื่นแอปเปิลที่ปอกเสร็จแล้วให้กับหลิวเสี่ยวหนิง แล้วก็หาข้ออ้าง

“เสี่ยวหนิง ฉันนึกขึ้นมาได้ว่าฉันต้องไปบอกอาการของเธอกับผู้กำกับและทีมกองถ่าย งั้น….งั้นฉันคงจะไม่ได้เฝ้าเธอนะ เธอก็พักผ่อนก่อน เดี๋ยวพรุ่งนี้ฉันจะมาเยี่ยมเธอใหม่”

เหตุผลนี้ก็สมเหตุสมผล แต่เพราะอะไรถึงได้รีบกลับไปนั้น ทั้งสองคนต่างก็รู้ดี

เฉินจุนเหยียนลุกขึ้นเดินออกไปจากห้องพักผู้ป่วย และไม่ได้หันมามองหลิวเสี่ยวหนิงอีกเลย หลิวเสี่ยวหนิงมองดูประตูปิดสนิท ด้วยสายแววตาเศร้าเสียใจ

………

สวีหว่านเอ๋อร์อยู่ที่โรงพยาบาลศัลยกรรมมาระยะหนึ่งแล้ว เพราะตอนที่เธอกรีดแขนตัวเองโดยไม่ยั้ง ทำให้แผลลึก ดังนั้นแม้จะกลับประเทศไปแล้วก็ต้องทายาที่หมอให้จากโรงพยาบาลอีกสักระยะหนึ่ง รอยแผลเป็นถึงจะค่อยๆ หาย กลับมาเป็นแขนที่ไร้ร่องรอยอีกครั้ง

และขณะเดียวกันเธอก็ให้คนตามสืบเรื่องของซูฉิงกับฮ่อหยุนเฉิงตลอด หลังจากรู้ว่าทั้งสองไปปารีสด้วยกัน สวีหว่านเอ๋อร์ก็รู้ว่าโอกาสมาถึงแล้ว เธอได้ติดต่อกับทางตำรวจไว้แล้ว

ให้คนไปเรือนจำและเคลียร์กับผู้คุมเรียบร้อยด้วยตัวเอง