จำได้ว่าตอนฝูชางอายุได้สามพันปีนั้น โครงหน้ากลมมนยามเยาว์วัยก็เริ่มดูโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาบ้างแล้ว เพราะเขามีรูปโฉมงดงามเกลี้ยงเกลา จึงดูคล้ายกับเทพธิดาตัวน้อยมาก
เทพบูรพาเวลานึกสนุกขึ้นมา ก็จะตบศีรษะน้อยๆ ของเขาเบาๆ แล้วทอดถอนใจ “เจ้าเด็กนี่พอโตแล้วเกรงว่าจะต้องไม่ได้อยู่อย่างสงบแน่”
ภายหลังเขาถึงได้รู้ว่า ไม่ต้องรอให้ฝูชางโตก่อน เขาก็ไม่ได้อยู่อย่างสงบแล้ว
ในวันเกิดของจักรพรรดิแดง ฮูหยินของเทพบูรพาก็ได้พาเทพฝูชางตัวน้อยไปที่งานเลี้ยง ตอนนั้นอู๋หุย โอรสองค์โตของจักรพรรดิแดงมีอายุได้หกพันปี เมื่อได้เห็นฝูชางเข้าก็ถึงกับชะงักไป ดวงตาจับจ้องมาที่ใบหน้าของเขาอย่างละสายตาไม่ได้ ไม่เพียงแต่เขาเท่านั้น ยังมีเทพอายุน้อยรุ่นราวคราวเดียวกันมากมายที่ลอบมองมาทางด้านนี้ด้วย ฮูหยินเทพบูรพาไม่ระวัง ฝูชางก็ถูกเหล่าเทพอายุน้อยที่ชอบของสวยงามล้อมไว้ตรงกลางแล้ว ตรงหน้าเขามีขนมอร่อยๆ กองสูงเป็นภูเขา ทุกคนต่างนำขนมที่ตนชอบมาให้กับเขาทั้งนั้น
“องค์หญิงน้อยผู้นี้มีใบหน้างดงามเช่นนี้ ต่อไปโตขึ้นแล้วต้องแต่งงานกับข้านะ!” เทพน้อยที่ดูน่าจะอายุราวสี่พันห้าพันปีเท่านั้นเริ่มคิดพิจารณาถึงเรื่องใหญ่ในชีวิตแล้ว
ฝูชางถลึงตาใส่เขาอย่างไม่เป็นมิตร แววตาที่เยือกเย็นนั่นทำให้เทพตัวน้อยตกใจจนร้องไห้จ้า
เทพบูรพาฝืนยิ้มแล้วกวักมือเรียกเขา “ฝูชาง มานี่”
คนงามตัวน้อยที่งามดุจหยกขาวลุกขึ้นยืน เหล่าเทพน้อยถึงได้พบว่าเขาแต่งตัวเยี่ยงเทพบุตร ท่วงท่าการเดินก็คล่องแคล่วว่องไว พริบตานั้นเองเหล่าเทพตัวน้อยก็พากันแตกฮือราวกับฝูงนกมิปาน
เทพบูรพากระแอมไอ ทันใดนั้นก็หันไปมองฮูหยิน “ถูกเหล่าเทพมารุมล้อมก็ยังดีกว่าถูกเหล่าเทพธิดามารุมล้อม ถูกไหม”
ฮูหยินส่ายหน้า “…หากมองในอีกด้านหนึ่งแล้ว มันแย่ยิ่งกว่าเสียอีก”
หลังจากกลับไปแล้ว ฮูหยินก็ไปจัดการแต่งตัวให้ฝูชาง ผมนุ่มสลวยไม่ได้เกล้ามวยเป็นรูปทรงงดงามหลากหลายทรงอีก เสื้อผ้าอาภารณ์ที่เต็มไปด้วยลวดลายงดงามหลากสีสันก็เปลี่ยนมาเป็นชุดคลุมยาวสีขาวบริสุทธิ์ นางกำชับฝูชางอย่างนุ่มนวลอ่อนโยน “ต่อไปให้ใส่อย่างนี้ ชุดมีลวดลายไม่เอาแล้ว”
ดังนั้นเทพฝูชางที่สวมชุดสีขาว จึงมีชื่อเสียงโด่งดังขึ้นมาเมื่ออายุได้สองหมื่นสองพันปีเพราะการรำกระบี่ในงานพิธีอภิเษกของธิดาจักรพรรดิสวรรค์ และนับแต่นั้นมาก็เริ่มถูกเทพธิดารวมถึงปีศาจสาวมากมายไล่ตามด้วยความชื่นชมเลื่อมใส
สิ่งเดียวที่เทพบูรพารู้สึกโชคดี คิดว่าก็คือหากเทียบกับการออกไปใช้ชีวิตเหลวไหลด้านนอก ฝูชางจะชอบอยู่ลำพังคนเดียวภายในเรือนมากกว่า เขาจะอ่านหนังสือไปเงียบๆ ทีละเล่มๆ และฝึกฝนวิถีกระบี่อย่างเฉื่อยชา
แท้จริงแล้วเทพธิดามากมายแม้จะชื่นชมยกย่องเทพฝูชาง นอกจากเทพีซีเหอที่ผีเข้าผีออกผู้นั้นแล้ว ส่วนมากก็ยังค่อนข้างสงบเสงี่ยมอยู่มาก ไม่ได้ปล่อยตัวตามใจ บางทีอาจเพราะสำหรับพวกนางแล้ว การได้มองเทพบุตรผู้เย็นชาดุจพระจันทร์นี้จากที่ไกลๆ ดีกว่าการเข้าไปใกล้ให้ถูกเมินเฉย
ดังนั้นทุกครั้งที่ฝูชางออกไปไหนจึงมักจะมีสายตามากมายนับไม่ถ้วนคอยจับจ้อง แต่ก็ไม่ได้มีอะไรที่ไม่สะดวกจริงๆ เขาคิดไม่ออกแล้วว่า ผู้แรกที่เขาต้องเผชิญกับการถูกเข้ามายั่วยวนอย่างจริงๆจังๆ คนแรกจะเป็นว่าที่ภรรยาของเพื่อนสนิทเขา
ตอนที่กู่ถิงมีอายุได้สองหมื่นแปดพันปี เพราะงานเลี้ยงสุราทำให้เขารู้จักกับองค์หญิงฟูหลัวแห่งเขาถูเซียง และถูกรูปโฉมงดงามหยาดเยิ้มกับความใจกว้างมีไมตรีของนางสยบเอา เขาตกลงไปในตาข่ายอารมณ์ เมื่อกลับบ้านไปก็ให้ราชาบุปผาผู้เป็นบิดาไปจัดการสู่ขอหมั้นหมายให้ตน ในใจของเทพบุตรหัวโบราณผู้นี้ ชอบใครก็ต้องใช้ฐานะมาผูกมัดไว้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
งานหมั้นของกู่ถิงนั้นถือว่าใหญ่โตอยู่ แต่ว่าอาจเพราะดีใจเกินไป งานเลี้ยงยังดำเนินไปได้ไม่ถึงครึ่ง กู่ถิงก็เมามายไปแล้ว เขาคว้าตัวฟูหลัวที่เขินอายมาแล้วมาดื่มสุรากับฝูชาง พูดยังพูดได้ไม่ชัดเจนเลย “ฝูชาง…นี่คือฟูหลัว…มา เจ้ามาคารวะสุราให้ข้า…”
ฟูหลัวกล่าวเตือนเขาเสียงต่ำ “ต้องเป็นพวกเราที่คารวะสุราให้เทพฝูชางถึงจะถูก”
นางบีบแก้วสุราไว้แล้วคลี่ยิ้มงดงาม แววตาเป็นประกายเร่าร้อน นางก้าวไปด้านหน้าแล้วเอาแก้วไปแตะกับแก้วของฝูชางเบาๆ นิ่งไปครู่หนึ่งแล้วจึงเอากลับมาพลางกล่าวเสียงเบาว่า “เทพฝูชาง ได้ยินว่าท่านกับกู่ถิงมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันมาก ท่านอายุน้อยกว่าข้าเล็กน้อย ข้าเรียกท่านว่าน้องฝูชางเป็นอย่างไร”
กู่ถิงที่เมามายหัวเราะออกมาเสียงดังเพราะคำว่า “น้องฝูชาง” ท่ามกลางเสียงหัวเราะนั่น ฟูหลัวแอบบีบนิ้วก้อยของฝูชางเอาไว้ เทพชุดขาวก้าวถอยหลังไปสองก้าว แล้วดื่มสุราในแก้วเงียบๆ พลางหมุนตัวหลีกไปไกล
คืนนั้นเหล่าแขกทั้งหลายต่างพำนักกันที่เกาะสวรรค์ของราชาบุปผา ฝูชางอ่านหนังสือที่นำมาด้วยจบแล้ว เพิ่งจะดับไฟไม่ทันไร ประตูก็มีเสียงเคาะดังขึ้น
“น้องฝูชาง เปิดประตู” เสียงที่ยั่วยวนหยาดเยิ้มยิ่งกว่ายามกลางวันหลายเท่าของฟูหลัวดังขึ้นด้านนอกเบาๆ
ฝูชางขมวดคิ้วขึ้น เขาไม่ได้ขยับแต่กลับกล่าวเสียงเรียบ “มีเรื่องอันใด”
ฟูหลัวกล่าวเสียงเบาว่า “กู่ถิงดื่มมากไป เขากำลังเมามายอาละวาด เหล่าเทพขุนนางต่างก็ควบคุมเขาไม่ได้ ดึกขนาดนี้แล้วจะไปเรียกผู้ใหญ่อย่างราชาบุปผาก็ไม่ดีนัก”
กู่ถิงเมาอาละวาดด้วยหรือ ฝูชางยิ่งขมวดคิ้วแน่นขึ้น จากนั้นจึงคลายออก เขาลุกขึ้นแล้วเปิดประตูห้อง เงาร่างงดงามเงาหนึ่งพุ่งเข้ามาซบอกเขาทันที เสื้อผ้าชุดบางบนร่างนางถูกแสงจันทร์สาดส่องจนราวกับโปร่งแสงได้
ฝูชางเบี่ยงกายหลบการกระทำของนาง แล้วพลิกมือจับเก้าอี้ตัวหนึ่งกระแทกกับเข่าของนางตามสถานการณ์ที่เป็นไป ฟูหลัวจึงทรุดนั่งลงไปอย่างคุมไม่อยู่
“เจ้าทำข้าเจ็บแล้ว” นางกล่าวเสียงออดอ้อน พลางยกขาขึ้นแล้วใช้มือกดบริเวณที่เจ็บ ท่อนขาเปลือยเปล่าทั้งคู่โผล่ออกมานอกเสื้อตัวบาง
ฝูชางคลุมชุดตัวนอกให้ดีแล้วหยิบเอาหนังสือขึ้นมาพร้อมกล่าวเสียงเบาว่า “หลับตาลง”
ติดเบ็ดแล้ว! ฟูหลัวหายโกรธทันทีแล้วหลับตาทั้งสองลง รออยู่นานก็ยังไม่เห็นเกิดอะไรขึ้น นางจึงเรียกเขาอย่างเหนียมอาย “น้องฝูชาง?”
ไม่มีเสียงตอบ นางลืมตาขึ้นมาอย่างดีใจ กลับพบว่าตอนนี้ในห้องไม่มีเงาร่างสีขาวนั้นอีกแล้ว ประตูถูกปิดและลงกลอนเอาไว้ หน้าต่างวงเดือนเองก็ถูกปิดและลงกลอนไว้ นางกลับถูกเทพผู้นี้ขังเอาไว้ในห้องรับแขก!
…
ตอนที่ฝูชางหากู่ถิงเจอ เขาก็เมามายมากเสียจนหลับอุตุไปนานแล้ว เขากำลังคิดจะเรียกฝนมาปลุกเขาและกล่าวเตือนเขา บอกว่าคู่หมั้นที่เขาหามาคนนี้ใช้ไม่ได้เลย แต่ว่าคิดดูแล้ว สุดท้ายก็ไม่ได้ทำอะไร
ดูท่าแล้วกู่ถิงจะตกลงไปในหลุมที่ลึกมาก หนำซ้ำยังดีใจเสียขนาดนี้ กระทั่งงานหมั้นก็ยังหมั้นแล้วด้วย หากว่าไม่ได้หมั้นกัน ตนจะต้องบอกเขาโดยไม่ลังเลแน่ ด้วยนิสัยเผ่าตระกูลเหยาของราชาบุปผาที่เห็นแก่หน้าตาเช่นนี้ เพิ่งจะหมั้นกันก็ต้องมายกเลิก แน่นอนว่านับเป็นการกระทบกระเทือนอย่างแรง
เรื่องนี้เอาไว้ก่อน บางทีให้กู่ถิงค่อยๆ รู้ตัวไปเองเถอะ ไม่อย่างนั้นเพิ่งจะดีใจจนถึงขีดสุดไม่ทันไรก็ต้องร่วงลงมาในความทุกข์ทรมานอันลึกล้ำ รสชาติของมันจะต้องไม่ดีมากเป็นแน่
เสียงลมพัดมา ฟูหลัวที่กว่าจะออกมาจากห้องรับแขกได้กลายเป็นสายลมบ้าคลั่งมาที่ด้านหลัง นางจ้องไปที่ฝูชางด้วยความหวาดกลัวและตำหนิต่อว่า ชุดตัวบางราวกับโปร่งแสงบนร่างมีแสงสีม่วงเรืองขึ้นมาชั้นหนึ่ง ในที่สุดก็ไม่โปร่งแสงอีกแล้ว
ฝูชางเรียกพายุฝนมา แล้วโยนใส่หน้ากู่ถิง ทำให้เขาตกใจกลิ้งตกลงมา ร้องลั่นอย่างมึนงง เทพชุดขาวจากไปเงียบๆ ทิ้งไว้เพียงว่า “ทำตัวเองให้ดีๆ”
นับจากคราวของฟูหลัวมา ฝูชางก็ให้ความเคารพแต่เว้นระยะห่างจากบรรดาเทพธิดาที่คอยทอดสายตาให้เขาเหล่านั้นอยู่ตลอด จนกระทั่งเขาได้พบกับองค์หญิงมังกรที่จะทอดสายตาให้เขาโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าผู้หนึ่งเข้า
ตอนแรกเริ่ม เขาคิดว่า นางเป็นประเภทเดียวกันกับฟูหลัว
ภายหลัง เขาคิดว่า ดูคล้ายจะไม่เหมือนกันนัก
สุดท้าย เขาคิดว่า มีเพียงสายตาของนางที่ทอดมองมาเท่านั้นที่น่ามองหน่อย
ภายหลังวันหนึ่งเมื่อผ่านไปนานมากแล้ว จู่ๆ องค์หญิงมังกรถามเขาว่า ‘ตอนนั้นศิษย์พี่หญิงฟูหลัวยั่วยวนท่านอย่างไรหรือ’
ฝูชางลองครุ่นคิดพิจารณาเพียงชั่วอึดใจ ก็ตัดสินใจว่าจะไม่บอกความจริงกับนาง
ไม่บอกนาง ดูน่าจะเหมาะกว่า เทพบุตรชุดขาวที่มีเหล่าดอกท้องดงามเข้ามาไม่ขาดสายคิดเช่นนี้