บทที่ 1369+1370

ลำนำบุปผาพิษ

บทที่ 1369+1370 Ink Stone_Romance

บทที่ 1369 เรือนกายแฝงไอเซียนอันน่าเกรงขาม

ตามคำพูดของตาเฒ่าเทพศักดิ์สิทธิ์เช่นเขา งานราชกิจเหล่านี้เดิมทีเขาต้องจัดการด้วยตัวเองเสมอมา สิ้นเปลืองสติปัญญายิ่งนัก ยามนี้แต่งศรีภรรยาเข้ามาแล้ว ภรรยาย่อมต้องแบ่งเบาภาระเขา ภายหน้าการช่วยเขาจัดการเรื่องยุ่งยากเหล่านี้ก็เป็นเรื่องที่ชอบธรรมตามเหตุผล ดังนั้นต้องเริ่มเรียนรู้ตั้งแต่ยามนี้…

เริ่มแรกกู้ซีจิ่วคัดค้านอย่างหนัก รู้สึกว่าเขาดูเอ้อระเหยลอยชายนัก ท่าทางเหมือนคนที่ต้องสิ้นเปลืองสติปัญญาเพื่อจัดการงานราชกิจตรงไหนกัน?

แถมเธอยังยุ่งง่วนอย่างยิ่ง ยุ่งจนเท้าแทบไม่ได้แตะพื้น ไหนเลยจะมีเวลาว่างมาเรียนรู้การสะสางงานราชกิจอันใด?

จะเรียนก็รอให้ออกไปจากสถานที่ผีสางแห่งนี้แล้วค่อยว่ากันเถอะ

แต่ตี้ฝูอีผู้นี้เมื่อต้องการบรรลุเป้าหมายใดแล้ว ก็จะอุตสาหะพากเพียร กู้ซีจิ่วถูกเขาพัวพันจนหมดปัญญา ทำได้เพียงหาวิธีประนีประนอม “จะให้ข้าเรียนก็ย่อมได้ เอาเวลาจากการประกอบกิจสามีภรรยามาเรียนก็แล้วกัน!”

กู้ซีจิ่วไม่ทราบว่าชีวิตสมรสของสามีภรรยาคู่อื่นๆ ดำเนินกันอย่างไร แต่เธอรู้สึกว่าหลังจากแต่งกับตี้ฝูอีไปแล้ว เจ้าคนผู้นี้ก็กลายเป็นหมาป่าไม่รู้จักพอตัวหนึ่ง ชีวิตคู่ช่วงสามปีแรก เขาจะบำเพ็ญร่วมคู่กับเธอสองถึงสามครั้งต่อวัน หนึ่งครั้งก็กินเวลาเกือบหนึ่งชั่วยาม ทำให้เธอค่อนข้างรับไม่ไหวยิ่งนัก

ต่อมาภายใต้การประท้วงอย่างหนักหน่วงของเธอ จึงเปลี่ยนเป็นวันละครั้ง จากนั้นก็เปลี่ยนอะไรไม่ได้อีกแล้ว…

ที่เกินเหตุกว่านั้นคือ ในหนึ่งครั้งนี้เขาต้องใช้เวลากว่าหนึ่งชั่วยาม ถึงแม้การบำเพ็ญร่วมคู่จะทำให้สมรรถภาพร่างกายเธอยกระดับขึ้นอย่างรวดเร็ว และไม่ทำให้อ่อนล้าเกินไป แต่กู้ซีจิ่วมักจะรู้สึกอยู่เสมอว่าช่วงเวลาอันมีค่ายิ่งนักของตน ต้องมาสิ้นเปลืองอย่างแสนสาหัสกับวันละหนึ่งครั้งนี้

ด้วยเหตุนี้เมื่อก่อนจึงเสนอไปว่าสัปดาห์ละสองสามครั้งก็พอ จนปัญญาที่เจ้าคนผู้นี้ไม่ยอมฟัง เขามักจะมีวิธีมาหลอกล่อเธอขึ้นเตียงอยู่ทุกวัน…

ยามนี้กู้ซีจิ่วจึงใช้เรื่องนี้มาข่มขู่เขา นึกไม่ถึงว่าเขาจะใคร่ครวญอยู่หนึ่งแล้วตอบตกลงด้วยสีหน้าปานนักรบที่สละข้อมือเพื่อรักษาชีพ

ด้วยเหตุนี้การประกอบกิจของสามีภรรยาจึงเปลี่ยนเป็นสี่ครั้งต่อสัปดาห์ ช่วงเวลากว่าหนึ่งชั่วยามของอีกสามวันที่เหลือเธอต้องเรียนรู้งานราชกิจ…

เพียงแต่ระหว่างที่เรียนรู้งานราชกิจนั้นก็ค่อนข้างพูดยากยิ่งนัก เขามักจะทดสอบเธออยู่เนืองๆ หากว่าไม่ผ่าน ก็จะได้รับบทลงโทษจากเขา และบทลงโทษของเขามักจะเป็นการประกอบกิจระหว่างสามีภรรยาเพิ่มขึ้นหนึ่งครั้ง

ดังนั้นช่วงเวลาที่ร่ำเรียนสามวันนี้ เธอจึงถูกลงโทษด้วยการเล่นพลิกผ้าห่มอยู่บ่อยครั้ง…

ด้วยเหตุนี้ ถึงแม้สิ่งที่เรียกว่ากิจของสามีภรรยาจะลดน้อยลง ทว่าความจริงแล้วก็ไม่ได้ลดลงสักเท่าไหร่ หนึ่งสัปดาห์ลดลงสักครั้งสองครั้งก็นับว่ายอดเยี่ยมมากแล้ว

….

การคาดคะเนของตี้ฝูอีแม่นยำยิ่งนัก ย่างเข้าครึ่งปีแรกของปีที่แปด ในที่สุดพลังวิญญาณของกู้ซีจิ่วก็บรรลุขั้นสิบแล้ว!

วินาทีที่พลังวิญญาณฝ่าทะลวงขั้น เมฆมงคลนับไม่ถ้วนก็ห้อมล้อมอยู่รอบกายเธอ บนร่างมีแสงสีเงินที่คล้ายกับแสงจันทร์สาดส่องออกมา มีสีรุ้งเหลือบอยู่ในแสงสีเงินนี้ สาดส่องทั้งห้องโถงให้เปี่ยมสีสันละลานตา

เคราะห์ดีที่ยามนั้นเธออยู่ในสถานที่ฝึกฝนลับแห่งนั้นของตี้ฝูอี มิเช่นนั้นเกรงว่าคงดึงดูดให้ผู้คนมากมายมามุงดูแล้ว

เมื่อเธอลืมตาขึ้นมา ก็เห็นว่าตี้ฝูอีนั่งอารักขาเธออยู่ที่ด้านหนึ่ง สายตาที่มองเธอลุ่มลึกดั่งบึงน้ำ

แต่งงานกันมาแปดปี ทั้งสองคนแทบไม่เคยแยกจากกันเลย ต่างฝ่ายต่างคุ้นเคยกันดีราวกับมือซ้ายมือขวาของตน แต่ทุกครั้งที่ตี้ฝูอีมองเธอเช่นนี้ หัวใจเธอจะเต้นกระหน่ำขึ้นมา

เธอกระโดดผลุงขึ้นมาหมุนตัวรอบหนึ่ง โอ้อวดอยู่ตรงหน้าเขา “เป็นยังไงบ้าง? ข้างดงามขึ้นมากเลยใช่ไหม?”

การทะลวงจากขั้นแปดสู่ขั้นสิบ อันที่จริงเป็นการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด หากว่าขั้นเก้าถือเป็นเซียน เช่นนั้นขั้นสิบก็นับว่าทะลวงผ่านด่านเคราะห์แล้ว หากไม่เกิดเหตุเหนือความคาดหมายขึ้น จะมีชีวิตอมตะไม่แก่ชรา ร่างของเธอในยามนี้ก็เป็นร่างเซียนแล้ว ผิวพรรณย่อมเปล่งปลั่งยิ่งขึ้น ริมฝีปากแดงเรื่อโดยไม่ต้องแต้มชาด คิ้วเข้มโดยไม่ต้องวาด เรือนกายแฝงไอเซียนอันน่าเกรงขามประการหนึ่ง

————————————————————————————-

บทที่ 1370 ข้าเป็นแม่น้ำสายเล็กท่านเป็นมหาสมุทรใหญ่

เมื่อก่อนถึงแม้เธอจะงดงามยิ่งนัก แต่ถึงอย่างไรก็เป็นเพียงกายหยาบของมนุษย์ บนร่างมีไอโลกียะอยู่ ยามนี้ไอโลกียะนั้นสลายไปอย่างสมบูรณ์แล้ว

เธองดงามยิ่งนัก งดงามจนสะท้านจิตสะเทือนวิญญาณ

ตี้ฝูอีตวัดแขนเสื้อคราหนึ่ง เสาเล่มหนึ่งก่อตัวขึ้นกลางห้องโถง นัยน์ตาเขาวาววับ “มาเถอะ เต้นรูดเสาให้ข้าชมหน่อย”

กู้ซีจิ่วหน้าแดงทันที ไม่หลงกลเขา ทุกครั้งที่เจ้าคนผู้นี้ให้เธอเต้นรำเช่นนี้ จะโผเข้าใส่เธออย่างเร่าร้อนทุกที…

เธอยังต้องรีบออกไปดูพวกเจ้าหอยยักษ์ ดังนั้นเธอจึงหมุนกายทันที “ไม่มีทาง!”

หนีไปหาพวกเจ้าหอยยักษ์อย่างลิงโลดปรีดา

แต่ก่อนตอนที่เธอฝึกฝนจนบรรลุขั้นเก้า ก็สามารถเข้ามาที่นี่เองได้แล้ว ดังนั้นไม่จำเป็นต้องให้ตี้ฝูอีพาเธอมาอีก เพียงแต่เจ้าคนผู้นี้ประหนึ่งแผ่นยาหนังสุนัข ชอบติดหนึบอยู่ข้างกายเธอ ทุกครั้งที่เธอเข้ามาฝึกฝนเขาก็จะเข้ามาฝึกฝนด้วย

แปดปีมานี้วรยุทธ์ของเธอเพิ่มพูนขึ้นอย่างต่อเนื่อง ตี้ฝูอีกลับดูคล้ายว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเลย

กู้ซีจิ่วเคยสอบถามสาเหตุจากเขา ตี้ฝูอีใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่งแล้วเอ่ยถามเธอ “เมื่อลำธารสายน้อยมาบรรจบกันในแม่น้ำสายเล็กถึงจะมองเห็นกระแสน้ำเชี่ยวกราก หากว่าลำธารสายน้อยมาบรรจบกันในมหาสมุทรเล่า? เจ้าจะมองเห็นความเชี่ยวกรากของมันอยู่หรือไม่?”

กู้ซีจิ่วเงียบไปครู่หนึ่ง

เธอกระโดดขึ้นหลังเขาแล้วข่วนเขา “ความหมายของท่านคือข้าเป็นแม่น้ำสายเล็กส่วนท่านเป็นมหาสมุทรใหญ่สินะ?”

ตี้ฝูอีดึงเธอลงมาจากแผ่นหลังตน รั้งเข้าสู่อ้อมกอด ยิ้มละไมแล้วขบใบหูเธอ “เปรียบเปรย เป็นการเปรียบเปรยเท่านั้น อย่าโมโหสิ”

กู้ซีจิ่วย่อมไม่โมโหแล้ว เนื่องจากขณะที่เขาดึงเธอเข้าสู่อ้อมกอดก็ทำการลอกคราบเธอเสมือนแกะบ๊ะจ่าง กดเธอลงบนเตียงเมฆาหลังนั้น “เด็กน้อย ยากนักกว่าเจ้าจะฝ่าทะลวงข้นได้สำเร็จ พวกเรามาฉลองกันดีกว่า”

“สุนัขหื่น! ท่านมันสุนัขหื่นโดยกำเนิด!” กู้ซีจิ่วหน้าแดงก่ำ

“อืม ประโยคนี้ดูเหมือนเจ้าจะกล่าวมาหลายรอบแล้ว เปลี่ยนคำเถอะ ข้ารู้สึกว่าสุนัขหื่นไม่คู่ควรจะใช้บรรยายตัวข้า” ตี้ฝูอีคร่อมอยู่บนร่างเธอ มือลูบไล้ริมฝีปากจิ้มลิ้มของเธอเบาๆ “เป็นเสือหื่นมังกรหื่นจะเหมาะกว่าหรือเปล่า?”

กู้ซีจิ่วพูดไม่ออกเลย

นัยน์ตาเธอวูบไหว ร่างกายเปล่งแสงสีขาวแวบหนึ่ง ร่างกายตี้ฝูอีพลันเหน็บชา จากนั้นฟ้าดินก็พลิกตาลปัตร รอจนปฏิกิริยาตอบสนองของเขากลับคืนมา คนทั้งสองก็สลับตำแหน่งบนล่างกันแล้ว เธอค่อมอยู่บนเอวเขา แย้มยิ้มปานจิ้งจอกน้อย “ในเมื่อเป็นการฉลองให้ข้า เช่นนั้นก็สมควรฟังความคิดเห็นข้า ครั้งนี้เปลี่ยนให้ข้าอยู่ด้านบนบ้าง!”

เดิมทีตี้ฝูอีคิดจะทำอะไรบางอย่าง เมื่อได้ยินประโยคนี้ของเธอ ก็ไม่ดิ้นรนอีก นอนแผ่อยู่ตรงนั้นประหนึ่งปลาบนเขียง “เชิญ!”

กู้ซีจิ่วอับจนวาจาแล้ว

กู้ซีจิ่วมองร่างกายที่เปลือยเปล่าของตน แล้วมองเขาที่ยังสวมเสื้อผ้าครบถ้วน รู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตนค่อนข้างเสียเปรียบ!

ทุกครั้งยามที่ประกอบกิจ เขาล้วนชมชอบลอกคราบเธอจนเปลือยเปล่าไร้สิ่งกีดขวาง ส่วนเขากลับถอดอาภรณ์ออกเพียงครึ่งเดียว ทำให้เธอที่แต่งงานกับเขามาแปดปีเคยเห็นร่างกายของเขาอย่างแท้จริงเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น หนนี้…เธอจรดนิ้วทำมุทรา ชี้ไปที่ร่างเขา ด้วยเหตุนี้จึงมีเสียงแคว่กดังขึ้น อาภรณ์บนร่างตี้ฝูอีขาดออกเป็นชิ้นๆ ในทันใด…

ตี้ฝูอีนิ่งไปครู่หนึ่ง เขามีสีหน้าปานจะสละชีพเพื่อรักษาพรหมจรรย์ “เสี่ยวซีจิ่ว นี่เจ้าจะเป็นป้าอ๋องฝืนน้าวธนู[1]หรือ?”

จากนั้นก็ถอนหายใจ “ที่แท้เจ้าก็รีบร้อนถึงเพียงนี้…” พลันหลับตาลง “เช่นนั้นมิสู้ข้ายอมโอนอ่อนเสีย”

ยอมโอนอ่อนกับหัวเจ้าสิ!

กู้ซีจิ่วอยากร่ำไห้ทว่าไร้น้ำตา อันที่จริงเธอก็แค่อยากเปลื้องผ้าเขาเท่านั้น ไม่นึกเลยว่าเนื่องจากไม่คุ้นชินกับเวทวิชานี้ จึงผิดพลาดไปอย่างใหญ่หลวงถึงเพียงนี้

เดิมทีเธอคิดจะเป็นหญิงแกร่งแทะโลมลูบไล้เขาสักหน่อยเท่านั้น ยามนี้กลับค่อนข้างทำไม่ลงแล้ว ขณะที่หมายจะลุกขึ้น กลับถูกเขารั้งไว้

————————————————————————————-

[1] ป้าอ๋องฝืนน้าวธนู หมายถึง คนที่ชอบใช้กำลังบังคับในเรื่องต่างๆ และหมายถึงการบังคับขืนใจด้วย