ตอนที่ 854 ตรวจสอบ

Elixir Supplier

“ลุงเสวี่ย หรือลงคิดว่า เรื่องนี้เกี่ยวข้องกับสถานที่ที่ถูกเรียกว่าหุบเขาพันโอสถเหรอครับ?”กั่วเจิ้งเหอถาม

“ใช่ มันต้องเมีบางอย่างเกี่ยวข้องกับพวกเขาแน่” ชายวัยกลางคนพูด “คนที่ส่งข้อมูลพวกนี้มาให้คุณชายอาจจะรู้เบื้องลึกเบื้องหลังของเรื่องนี้ก็เป็นได้”

“แล้วทําไมพวกเขาถึงไม่มาหาผมเองล่ะครับ?” กั่วเจิ้งเหอถาม

“เขาอาจจะสืบเรื่องของคุณชายและรู้ประวัติของคุณชายมาบ้างแล้ว” ชายวัยกลางคนพูด “คน คนนี้อาจจะเกลียดชังหุบเขาพันโอสถ แต่เขาคงแก้แค้นพวกเขาด้วยตัวเองไม่ได้เพราะเขาไม่ แข็งแกร่งพอเขาเลยมาหาคุณชายเพื่อให้คุณชายแก้แค้นแทนเขาผ่านทางเส้นสายที่คุณชายมียังไงล่ะครับแต่ว่านี่ก็เป็นแค่การคาดเดาเท่านั้นมันคือความเป็นไปได้เดียวในตอนนี้หรือบางทีเขาอาจจะเป็นนักรบผู้รักความยุติธรรมที่ต้องการกวาดล้างความรุนแรงและผดุงคุณธรรมก็เป็นได้เพราะคุณชายเป็นเจ้าหน้าที่รัฐในพื้นที่เขาก็เลยมาขอความช่วยเหลือจากคุณชาย”

“ผมรู้สึกเหมือนกําลังฟังเรื่องราวในนิยายมากกว่า”กั่วเจิ้งเหอพูดกลั้วหัวเราะเขาไม่เชื่อความเป็นไปได้สุดท้ายที่อีกฝ่ายสันนิษฐานขึ้นมาในสังคมปัจจุบันคนแบบนั้นถือเป็นของหายากพอๆกับแพนด้าหรืออาจจะพูดได้ว่าพวกเขาได้สูญพันธุ์ไปแล้วก็ยังได้

“ลุงเสวี่ยคิดว่าผมควรทํายังไงดีครับ?” เขาถาม

“คุณชายไม่รู้แม้กระทั่งว่า ใครเป็นคนที่ส่งข้อมูลนี้มาให้ มันไม่ง่ายเลยที่จะจัดการกับเรื่องนี้ถ้าหุบเขาพันโอสถมีอยู่จริงมันก็ต้องมีการตรวจสอบผมจะลองหาทางดูก่อนก็แล้วกันครับ”

“ได้ครับ ลุงเสวี่ย ระวังตัวด้วยนะครับ” กั่วเจิ้งเหอพูด “จากข้อมูลที่ได้มา หุบเขาแห่งนั้นเชียวชาญด้านยาพิษอย่าตกลงไปในหลุมพรางของพวกเขาเด็ดขาดนะครับ”

“ผมเข้าใจแล้ว” ชายวัยกลางคนพูด “ถ้าได้เรื่องเมื่อไหร่ ผมจะแจ้งให้คุณชายทราบรอข่าวจากผมก่อนนะครับ”

“ลงเสวี่ย เอาบัตรนี่ไปด้วยสิครับ พาสเวิร์ดเป็นวันเกิดของลุง” กั่วเจิ้งเหอยื่นบัตรเครดิตให้กับเขา“จําไว้ว่าเรื่องความปลอดภัยสําคัญที่สุดถ้ามีอันตรายให้รีบถอนตัวออกมาเลยนะครับ”

“วางใจเถอะครับ คุณชาย ผมไม่ได้ทําเรื่องแบบนี้เป็นครั้งแรก” ชายวัยกลางคนรับบัตรเครดิตมาจากนั้นก็เดินออกไปจากห้อง

กั่วเจิ้งเหอยังคงนั่งสูบบุหรี่เงียบๆอยู่ภายในห้องวีไอพี

เขาคิด แก้แค้นพวกเขาผ่านทางฉันอย่างนั้นเหรอ เป็นความคิดที่น่าสนใจดีแล้วรอยยิ้มประหลาดก็ปรากฏขึ้นบนใบหน้าของเขา

มันเป็นใครกัน?

ในตัวเมืองแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางใต้

“พี่แน่ใจเหรอ?”

“อืม ฉันแน่ใจ”

“เขาตายแล้ว แต่ใครกันล่ะที่ฆ่าเขา?”

“ฉันไม่รู้อะไรสักอย่างเลย”

“นายช่วยสืบดูที่”

“ผมจะพยายามสุดความสามารถ พี่จาง สถานการณ์ตอนนี้ไม่เหมาะจะให้พี่ปรากฏตัวข้างนอกพี่ก็รู้นี่ว่าพี่เป็นอาชญากรที่ทางการต้องการตัวอยู่น่ะ!”

“อม ถ้านายกลัว นายจะแจ้งตํารวจก็ได้นะ” ชายสวมหมวกเบสบอลพูด

“ผมจะทําแบบนั้นได้ยังไง? ถ้าไม่ใช่เพราะพี่ ผมคงตายอยู่ที่นั่นไปแล้ว”ชายสวมแว่นกันแดดใบหน้าซีดเหลืองพูด“ถึงชื่อเสียงของผมจะไม่ดีแต่ผมก็ไม่ใช่คนขี้ขลาดถ้าไม่อย่างนั้นผมก็คงไม่มานั่งคุยกับพี่อยู่แบบนี้หรอก”

“อืม คนเรารู้หน้าไม่รู้ใจนี้นะ” ชายสวมหมวกเบสบอลพูด

ฮาฮา!

“นอกจากเรื่องนี้แล้ว พี่ยังมีเรื่องอื่นให้ผมทําอีกไหม?” ชายสวมแว่นกันแดดถาม

“ไม่มีแล้วล่ะ เอานี่ไปสิ”

“ขอบคุณ”

เมื่อพวกเขาออกมาจากร้านน้ำชา ท้องฟ้าด้านนอกขมุกขมัวเล็กน้อย

“พี่จาง ร่างกายของพี่ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากใช่รึเปล่า?” ชายสวมแว่นกันแดดถาม

“อม ดีแล้ว ฉันไม่เคยสุขภาพดีขนาดนี้มาก่อนเลย” ชายสวมหมวกเบสบอลพูด

“ถ้าอย่างนั้นก็ดี มีความสุขกับชีวิตเข้าไว้ อย่าทําอะไรที่มันเหนื่อยเกินไปล่ะ”

“มีความสุขกับชีวิตเหรอ! เป็นไปไม่ได้หรอก!” เขาดึงหมวกลงและเดินหายเข้าไปในฝูงชน

เป็นไปไม่ได้เหรอ? ชายสวมแว่นตากันแดดจุดบุหรี่สูบและเดินไปในทิศทางตรงกันข้าม

หลังจากสายฝนโปรยลงสู่ภูเขาที่ว่างเปล่า อากาศของฤดูใบไม้ร่วงก็เริ่มสดใสขึ้น ช่วงเวลาเย็นฝนตกรอบที่ห้าตั้งแต่เริ่มเข้าสู่ฤดูใบไม้ร่วงได้โปรยปรายลงสู่หมู่บ้านกลางเขามันไม่ตกหนักแต่กลับเย็นเฉียบ

ไม่มีคนไข้มาที่คลินิก เมื่อหวังเย้ากําลังเตรียมจะปิดประตูเพื่อกลับขึ้นไปบนเนินเขาหนานชานเจิ้งเหว่ยจวินก็เดินเข้ามาในคลินิก

“เชียนเชิง อุปกรณ์ทุกอย่างถูกติดตั้งเอาไว้เรียบร้อยแล้วครับ” เขาพูด“เราไปดูกันไหมครับ?”

“เร็วขนาดนี้เลยเหรอ” หวังเย้าแปลกใจเล็กน้อย อุปกรณ์หลายอย่างเพิ่งถูกส่งมาในตอนที่เขาเข้าไปดูครั้งก่อน

“ผมบอกให้พวกเขาปรับระยะเวลาการติดตั้งเพื่อให้เป็นไปตามตารางเวลาที่เราวางเอาไว้น่ะครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “พวกเขาเลยต้องทํางานล่วงเวลาเพื่อติดตั้งอุปกรณ์ทั้งหมดให้เสร็จทันเวลา”

“ดีครับ ถ้าอย่างนั้นพวกเราไปดูกันเถอะ” หวังเย้าพูด ถึงยังไงที่คลินิกก็ไม่มีคนไข้มาอยู่แล้ว

เขาล็อกประตูและแขวนป้ายเพื่อแจ้งว่าคลินิกปิด จากนั้นก็ขับรถไปที่บริษัทหนานชานเภสัชกับเจิ้งเหว่ยจวิน เป็นที่แน่นอนแล้ว่า อุปกรณ์การผลิตยาทุกอย่างถูกติดตั้งเอาไว้เกือบหมดแล้วความสะอาดภายในโรงงานถือว่าดีมันดูสะอาดเจ้าหน้าที่บางคนกําลังปรับแต่งอุปกรณ์สําหรับการทดสอบการทํางานของอุปกรณ์ พวกเขาจะใช้พลังงานไฟฟ้าหรือไม่ก็พลังงานน้ำ การทํางานของพวกเขาเป็นไปอย่างรวดเร็ว

“เชียนเชิงได้เห็นแล้วคิดว่าเป็นยังไงบ้าง? พอใจไหมครับ?”

“พูดตามตรง ผมไม่รู้เรื่องเครื่องกลพวกนี้เลย” หวังเข้าตอบ “ผมเป็นแค่คนว่างงานเท่านั้นแต่ผมเดาว่าของทั้งหมดเป็นของที่นําเข้ามาจากต่างประเทศใช่ไหมครับ?”

“มันถูกนําเข้ามาจากประเทศเยอรมันนี้ครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “ถ้าในเรื่องของการผลิตยาเครื่องจักรจากญี่ปุ่นถือว่าเหมาะมากกว่า แต่ผมไม่ชอบทางนั้นเท่าไหร่น่ะครับ”

“ไม่จําเป็นต้องรู้สึกแบบนั้นหรอกครับ ในเมื่อเราสามารถขายของให้พวกเขาโดยที่ของพวกนั้นผลิตจากเครื่องจักรของพวกเขาก็ได้นี้ครับ”หวังเย้าหัวเราะ

เรื่องนี้ถือเป็นการเอาคืนต่างชาติโดยการเอาความรู้ของพวกเขามาศึกษาเอง

“เชียนเชิง เรามาเริ่มผลิตยากันเลยไหมครับ?”

“ดีครับ เริ่มผลิตยากัน แล้วมาดูกันว่ามันจะออกมาเป็นยังไง” หวังเย้าพูด “หลังจากนั้นเราจะได้เริ่มคิดเรื่องยาตัวต่อไป”

“ตกลงครับ ผมจะฟังเชียนเชิง” เจิ้งเหว่ยจวินพูด

“พวกเขาคาดการณ์เอาไว้ว่า การติดตั้ง, ปรับแต่ง, และการทําให้ผู้บริโภคยอมรับสินค้าของเราได้อาจจะต้องใช้เวลามากกว่าหนึ่งเดือนพูดได้ว่าพวกเขาจะสามารถผลิตยาได้จริงๆก็ตอนปลายเดือนพฤศจิกายนหรือไม่ก็ต้นเดือนธันวาคม

“ดี!”

ขั้นตอนการผลิตยา, โฆษณาตัวยาเข้าสู่ตลาด, และได้รับการยอมรับจากผู้บริโภคนั้นจําเป็นต้องใช้เวลาทั้งยังต้องขึ้นอยู่กับประสิทธิภาพในการโฆษณาและคุณภาพของตัวยาด้วย

“เชียนเชิง ผมวางแผนที่จะเริ่มโฆษณาตอนเดือนธันวาคมนะครับ” เจ้งเหว่ยจวินพูด

“เริ่มเผยแพร่เหรอ?”

“ถูกแล้วครับ”

“แล้วเรื่องเงินลงทุนล่ะครับ?” หวังเย้าถาม

“ในเฟสแรก ผมคิดว่าควรจะต้องลงทุนประมาณ 700,000หรือ800,000 ดีไหมครับ?”

“เยอะขนาดนั้นเลยเหรอ!”

“เราจําเป็นต้องรู้ผลก่อนที่เราจะพิจารณาเรื่องเงินลงทุนโฆษณาในเฟสที่สองครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูดเรื่องนี้ถือเป็นเรื่องที่เขาค่อนข้างเชี่ยวชาญเพราะในธุรกิจของตระกูลเขามีหน้าที่รับผิดชอบเรื่องการโฆษณาเป็นหลักอยู่แล้ว

“คุณเคยคิดเรื่องการขายโดยไม่ต้องโฆษณาบ้างไหมครับ?”

“ไม่ทําโฆษณา?” เจิ้งเหว่ยจวินอึ้งไปครู่หนึ่ง “เชียนเชิงหมายถึงเราจะขายผานช่องทางหลักอย่างเดียวเท่านั้นน่ะเหรอครับ?”

“ใช่ เราอาศัยแค่ปากต่อปากเท่านั้น” หวังเย้าพูด

“เชียนเชิง ตลาดเศรษฐกิจ เรื่องชื่อเสียงก็เป็นเรื่องหนึ่ง” เจิ้งเหว่ยจวินพูด“แต่ในเวลาเดียวกันการโฆษณาก็มีส่วนสําคัญเหมือนกัน”

“ผมแค่เสนอขึ้นมาเท่านั้น” หวังเย้าพูด “คุณสามารถตัดสินใจเรื่องพวกนั้นได้เองเลย”

“ได้ครับ” เจิ้งเหว่ยจวินโล่งอก เขากังวลว่าหวังเข้าไม่ต้องการให้ทําโฆษณาและต้องการใช้การพูดปากต่อปากเพื่อให้สินค้าติดตลาดเท่านั้นในทางกลับกันสําหรับเจิ้งเหว่ยจวินที่เป็นนักธุรกิจแล้วเขารู้ว่าในธุรกิจจําเป็นต้องทําอะไรบ้าง

“เครื่องจักรหลายตัวไม่จําเป็นสําหรับการผลิตยาตัวนี้เลยนะครับ” หวังเย้าพูด

“พวกมันมีไว้ใช้งานในอนาคตครับ” เจิ้งเหว่ยจวินพูด

“เชียนเชิง ผมหาก้อนหินมาวางในจุดที่เชียนเชิงพูดไว้คราวก่อนแล้วนะครับ”เขาพูด “เชียนเชิงจะไปดูหน่อยไหมครับ ว่าวางถูกไหม?”

“ได้ครับ เราไปดูกันเถอะ” หวังเย้าพูด

ทั้งสองเดินถือร่มคนละคันไปยังจุดที่พวกเขาเคยมาครั้งก่อน พื้นที่เดิมที่เคยว่างเปล่าได้มีก้อนหินรูปร่างโดดเด่นวางตั้งอยู่

“หินหลิง!?”

เมื่อมองดูก้อนหินแล้ว หวังเย้าก็รู้ชนิดของมันทันที

“เชียนเชิงเก่งมาก” เจิ้งเหว่ยจวินพูด “เชียนเชิงรู้ได้ยังไงเหรอครับ?”

หินหลิงบี้เป็นหินที่มีชื่อเสียง มันเป็นหินที่ถูกนํามาใช้ในเรื่องของฮวงจุ้ยในหลายๆที่

“หินก้อนนี้ราคาเท่าไหร่เหรอครับ?” หวังเย้าถาม

“200,000 ครับ”

“ฮาฮา ก็ดีนะครับ” หวังเย้าหัวเราะ คนรวยนั้นต่างจากคนทั่วไป พวกเขายินดีจ่ายเงินจํานวนมากเพื่อซื้อหินก้อนหนึ่งได้ ความจริง เขาคิดว่าแค่นําก้อนหินจากภูเขาทางทิศเหนือมาไว้ที่นี่สักก้อนก็ถือว่าดีพอแล้วและมันก็ไม่ได้มีราคาค่างวดมากมายเท่าหินที่วางอยู่ตอนนี้ด้วย

“เชียนเชิงคิดว่า จุดที่วางเหมาะสมหรือยังครับ?” เจิ้งเหว่ยจวินถาม

“อ็ม วางตรงนี้ดีแล้วครับ” หวังเย้าพูด

ตอนนี้ อากาศในบริเวณนี้ราบรื่นและเย็นสบาย อากาศที่ส่งผลเสียก่อนหน้านี้ได้ถูกปิดกั้นเอาไว้แล้ว

กริ้งกริ้ง! มือถือของเจิ้งเหว่ยจวินดังขึ้น เขามองดูหมายเลขที่หน้าจอ จากนั้นก็ขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ขอโทษนะครับ เชียนเชิง ผมคงต้องรับสายนี้”

“เชิญเลยครับ” หวังเย้าพูด

ฮัลโหล”

“นายทําตัวห่างเหินกับฉัน จนไม่คิดจะเรียกฉันว่าพี่แล้วงั้นเหรอ?”

“พวกเราไม่จําเป็นต้องมาเสแสรั้งอะไรกันแล้ว มีอะไรก็พูดมา” เจิ้งเหว่ยจวินพูด

“ฉันอยู่ที่จังหวัดฉี พรุ่งนี้นายว่างเปล่า? ฉันอยากเจอนาย”

“ฉันยุ่ง” เจิ้งเหว่ยจวินพูด

“นายยุ่งจนไม่มีเวลากินข้าวเลยเหรอ?”

“พรุ่งนี้เที่ยงแล้วกัน” เจิ้งเหว่ยจวินพูด

“ได้ แล้วฉันจะไปหานาย”

ถึงเขาจะยืนอยู่ห่างจากหวังเข้าพอสมควร แต่หวังเย้าก็ยังคงได้ยินเสียงสนทนาของเขาอยู่ดี

เขาคิด ดูเหมือนความสัมพันธ์ระหว่างเขากับพี่น้องจะไม่ค่อยดีเท่าไหร่