บทที่ 33 ยอดผู้ฝึกกระบี่ ! (ปลาย)

หนึ่งกระบี่นิจนิรันดร์

บทที่ 33 ยอดผู้ฝึกกระบี่ ! (ปลาย)

“ผนึกกำลังคลายตัว !”

เยี่ยฉวนสูดหายใจลึก แน่นอนว่าเขาไม่ลืมสิ่งที่สตรีลึกลับได้เอ่ยไว้ ! ในหอคอยชั้นแรกมีเซียนกระบี่ที่ ตายไปแล้วก่อนที่เขาจะมาถึง… แต่สิ่งที่ถูกขังอยู่บนชั้นสองยังไม่ตาย เมื่อใดที่ผนึกคลายตัว สิ่งที่อยู่ในนั้นก็จะ เข้าสังหารเขาก่อนใคร !

โชคดีที่ชายหนุ่มยังมีเวลาเหลืออยู่บ้าง !

เยี่ยฉวนดึงสติและลืมตาขึ้น ในตอนนี้แม้ทั้งร่างของเขาจะหมดแรงและอ่อนปวกเปียก แต่เขาก็รู้สึกดีขึ้นมากกว่าเดิม คราวหน้าเขาต้องระวังตัวอย่างยิ่งเมื่อกำลังจะใช้กระบวนท่าหนึ่งกระบี่ชี้ชะตา !

หากศัตรูไม่ตายในเพลงกระบี่เดียว เขาก็จะต้องเป็นฝ่ายตกตาย !

หากชายชรานั้นสู้ต่อไป เขาก็คงจะตายไปแล้ว !

ขั้นพลังทะยานสวรรค์ยังคงห่างไกลจากเขานัก แต่ถ้าใส่พลังทั้งหมดลงไป เขาก็อาจยังมีโอกาสที่จะ ชนะอยู่ !

ในตอนนี้เอง เยี่ยหลิงพลันถามขึ้น “ท่านพี่… ท่านเป็นอะไรไหมเจ้าคะ ?”

มองเยี่ยหลิงที่ยังคงดูซีดเซียว เยี่ยฉวนจึงพลันยิ้มอ่อนโยนและเอ่ยตอบ “อย่ากังวลไปเลย ข้าแค่อยากพัก”

ได้ยินเขาเอ่ยดังนี้ เยี่ยหลิงก็ดูสบายใจขึ้นเล็กน้อย ทว่าดวงตาของนางกลับมืดครึ้มลงเมื่อดูเหมือนจะ คิดอะไรบางอย่างได้ “ท่านพี่ ข้ามันไร้ประโยชน์ ข้า…”

เยี่ยฉวนเอ่ยจริงจัง “อย่าคิดมากเลย เมื่อเจ้าอาการดีขึ้นแล้ว ข้าจะฝึกวรยุทธ์พร้อมกันกับเจ้า เมื่อเจ้า กลายเป็นผู้ฝึกยุทธ์ เจ้าก็จะได้ปกป้องพี่ได้ แบบนั้นถูกใจเจ้าไหม ?”

เยี่ยหลิงเหลือบมองเยี่ยฉวน “ข้าฝึกวรยุทธ์ได้จริง ๆ หรือเจ้าคะ ?”

เยี่ยฉวนยิ้มและเอ่ยตอบ “แน่นอนสิเจ้าทำได้ !”

เยี่ยหลิงกำมือเล็กคู่นั้นเสียแน่น ก่อนที่นางจะแสดงท่าทีแน่วแน่ออกมา “ท่านพี่ ข้าจะต้องกลายเป็น บุคคลที่มีพลังฝีมือแก่กล้าในภายภาคหน้าแน่ เพราะข้าก็อยากปกป้องท่านพี่ของข้าด้วยเหมือนกัน !”

เยี่ยฉวนลูบศีรษะเล็กของเยี่ยหลิงและเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “ข้าจะรอวันนั้นนะ !”

เยี่ยฉวนไม่รู้เลยว่าเด็กสาวตัวน้อยตรงหน้าเขาจะจดจำคำพูดดังกล่าวไปตลอดชั่วชีวิตของนาง !

หลังพักผ่อนราวหนึ่งชั่วยาม เยี่ยฉวนก็พาเยี่ยหลิงไปกับเขาและเดินทางต่อบนเส้นทางของพวกเขา

เมืองพันภูผา !

เยี่ยฉวนจำต้องเร่งความเร็วเพราะเขาพบว่าเยี่ยหลิงต้องสวมเสื้อผ้าหนา ๆ ในตอนกลางวันแล้ว ยิ่งกว่านั้นนางยังต้องการยาบำรุงปราณ 2 เม็ดในทุกครั้งเพื่อสยบไอเย็นในร่าง !

ด้วยความเร็วนี้ ยาบำรุงปราณของพวกเขาจะหมดลงในอีกครึ่งเดือน แต่ทว่ามันไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด ในตอนนี้ เพราะสิ่งสำคัญที่สุดคือเขาเกรงว่ายาบำรุงปราณจะไม่มีผลต่อการรักษาอาการป่วยของเยี่ยหลิงอีก ต่อไป !

หากเป็นเช่นนั้น สถานการณ์ก็จะกลายเป็นเลวร้ายยิ่ง !

พวกเขาต้องรีบไปที่เมืองหลวง !

ไม่นานหลังจากที่เยี่ยฉวนกับน้องสาวจากไป ฉินปา ประมุขตระกูลฉิน และฉินเยว่ที่ถูกเยี่ยฉวนฟันแขนขาดทั้งสองข้างก็พลันปรากฏกายที่โถงรับแขกของโรงเตี๊ยมร้าง

ครั้งเห็นแขนสองเเขนที่ถูกตัดอยู่บนพื้น ใบหน้าของฉินเยว่พลันกลายเป็นน่าเกลียดอย่างยิ่ง ส่วนใบหน้าของฉินปาก็ดูมืดครึ้มไปเช่นกัน

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฉินปาจึงเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้ม “เขาเป็นผู้ฝึกกระบี่จริงหรือ ?”

ฉินเยว่พยักหน้า “หากเขาไม่ใช่ผู้ฝึกกระบี่ เขาจะตัดแขนข้าได้อย่างไรล่ะขอรับ ?”

ฉินปากำหมัดแน่น ส่วนใบหน้าของเขาก็มืดครึ้มลงราวกับนิ่ง ไม่มีใครรู้ว่าคนคนนี้กำลังคิดอะไรอยู่

หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฉินปาพลันระบายลมหายใจและกระซิบ “เราไม่อาจล้างแค้นให้ท่านได้อีก !”

ฉินเยว่ดูสลดลงและไม่เอ่ยอะไร

แน่นอนว่าการเป็นยอดผู้ฝึกกระบี่ด้วยอายุน้อยเท่านี้ เพียงแค่คิดก็ทำให้พวกเขาหวาดกลัวขึ้นมาแล้ว ! แล้วพวกเขาจะมีความกล้าล้างแค้นอีกฝ่ายได้อย่างไร ?

ในตอนนี้ฉินปาก็พลันเอ่ยอีกครั้ง “แต่เราไม่อาจทำแค่ปล่อยมันไป เราควรกระจายข่าวได้ว่าเยี่ยฉวนมี หินเสริมปราณระดับสูงนับสิบอยู่กับตัว เมื่อได้ยินข่าวนี้แล้ว ข้าเชื่อว่าใครหลายคนจะต้องคิดอกุศลกับเขาอย่างแน่นอน !”

เมื่อฉินเยว่ได้ยินดังนี้ ร่างกายของเขาก็ดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย “แน่นอนขอรับ แม้ตระกูลฉินจะไม่อาจล้างเเค้นเขาต่อ ทว่าเราก็สามารถให้คนอื่นทำให้เราแทนได้”

เอ่ยดังนี้แล้วเขาก็เหมือนนึกอะไรบางอย่างออก เขามองฉินปา “บุคคลนั้นชื่อว่าเยี่ยฉวนใช่ไหมขอรับ ? เขาเป็นคนตระกูลเยี่ยหรือเปล่า ?”

ฉินปาพยักหน้าและเอ่ยขึ้น “เดิมทีเขาเป็นทายาทว่าที่ผู้นำตระกูลเยี่ย แต่หลังจากที่ตระกูลเยี่ยได้พบ กับเยี่ยหลาง ผู้ถูกเลือก เขาก็ถูกขับไล่และกดทับไว้ด้วยตระกูลของเขาเอง จนในที่สุดเขาก็ถูกบีบให้สาบานตน ว่าจะออกจากตระกูลเยี่ยและไม่ใช่คนตระกูลเยี่ยอีกต่อไป !”

ฉินเยว่ดูจะอึ้งไปเล็กน้อย ก่อนจะเอ่ยขึ้น “พวกคนตระกูลเยี่ยพวกนั้น พวกเขาสมองฟั่นเฟือนกันหมด หรืออย่างไร ?”

ฉินปาพยักหน้า “ตระกูลเยี่ยทุกวันนี้แทบจะกลายเป็นตัวตลกของเมืองใกล้เคียงหลายเมืองแล้ว ท่าน ต้องรู้ว่าเยี่ยฉวนถูกผู้เยี่ยมยุทธแห่งแคว้นท้าประลองด้วยตัวเอง กล่าวกันว่าผู้เยี่ยมยุทธ์คนนั้นถึงกับมีไมตรีจิต เป็นพิเศษต่อเขา ยิ่งกว่านั้นก็คือนิมิตแห่งฟ้าดินเป็นของเยี่ยฉวน ไม่ใช่เยี่ยหลาง แต่ผู้นำตระกูลเยี่ยเชื่อว่าเยี่ย หลางเป็นคนที่มีนิมิตอยู่ พวกเขาถึงกับจัดงานเลี้ยงฉลองใหญ่โต… ผู้อาวุโสทั้งหลายของตระกูลเยี่ยและผู้นำ ของพวกเขาช่างโง่เขลานัก โง่อย่างไม่มีที่เปรียบ !”

ฉินเยว่พยักหน้า “พวกเขาช่างโง่เขลาเสียจริง แล้วตอนนี้ตระกูลเยี่ยเป็นอย่างไรบ้างขอรับ ?”

ฉินปาเอ่ยอย่างไม่แยแส “พวกเขาถูกตระกูลอื่นสยบราบคาบน่ะสิ ! ถูกแล้ว แม้ข้าจะเล่นงานเยี่ยฉวน ไม่ได้ แต่ข้าก็จะใช้เรื่องนี้เป็นข้ออ้างในการหาประโยชน์จากตระกูลเยี่ย ไปกันเถอะ กลับไปรวบรวมคนเพื่อล้าง แค้นกับตระกูลเยี่ยในเมืองชิงกัน !”

หลังจากนั้นฉินปาก็หันหลังจากไป

บนลานกว้าง ฉินเยว่เหลือบมองเเขนที่ถูกตัดของตนเอง …สายตาของเขานั้นดูซับซ้อนไม่น้อย เพราะ เขาไม่อาจแก้เเค้นเยี่ยฉวนได้ ! แล้วไหนจะความแค้นของฉินชางที่ไม่อาจชำระได้นั่นอีก !

แม้จะมีปมแค้นนี้อยู่ในใจ แต่ชายชราก็รู้ดีว่านี่ควรจะเป็นจุดจบของเรื่องนี้ !

ในฐานะตระกูลขนาดเล็กแล้ว พวกเขาต้องรู้ตัวว่าใครสามารถต่อกรด้วยได้ และใครไม่อาจต่อกรด้วย ได้ !

หากตระกูลฉินยังคงต้องการแก้แค้น มันก็อาจทำให้ตระกูลฉินต้องพังพินาศอย่างไม่สิ้นสุด ! เพราะเยี่ยฉวนไม่เพียงแต่มีพลังยุทธ์แก่กล้า แต่ยังได้รับการชื่นชมจากผู้เยี่ยมยุทธแห่งแคว้นอีกด้วย มันคงเป็นเรื่องโง่ เขลาหากตระกูลฉินยังต้องการล้างแค้นเขาอยู่ !

…หลังจากนั้นครู่หนึ่ง ฉินเยว่ก็พลันหันหลังเดินจากไป

ไม่นานนัก คนจากตระกูลฉินก็พากันมุ่งหน้าไปที่ตระกูลเยี่ยในเมืองชิง…

พวกเขาไม่อาจต่อสู้หรือล้างแค้นเยี่ยฉวนได้ แต่พวกเขาสามารถทำเช่นนั้นกับตระกูลเยี่ยได้ !