“รอช้าไม่ได้แล้ว! ไปกันเถิด อีกเดี๋ยวคงจะมีเหล่าภูตมาขวางพวกเราอีก” หานลี่ระงับอารามตื่นเต้นดีใจเอาไว้ แล้วเอ่ยอย่างเคร่งขรึม

 

 

หยวนเหยาและพวกทั้งสองเองก็ไม่มีข้อคิดเห็น ทันใดนั้นทั้งสามคนจึงพาทหารภูตที่เหลือขับเคลื่อนลำแสงหลีกหนีออกไปจากที่นี่

 

 

ระหว่างทางหยวนเหยาและเหยียนลี่พลันผลึกลำแสงหลีกหนีเข้าด้วยกัน ทั้งสองใช้มือหนึ่งประสานกันเอาไว้ ปากก็บริกรรมคาถาออกมา

 

 

หลังจากที่บนร่างของทั้งสองมีลำแสงสีดำและขาวเปล่งแสงสว่างวาบ ทั้งสองพลันอ้าปากออกพ่นไข่มุกกลมสองเม็ดสีขาวและดำออกมา

 

 

ขณะที่ไข่มุกทั้งสองหมุนติ้วๆ มันก็ผนึกรวมร่างกันกลายเป็นลูกตาขนาดเท่ากำปั้นที่แบ่งสีดำขาวชัดเจน

 

 

ส่วนแววตาคู่งามของเหยียนลี่และหยวนเหยากลับหลับตาลงท่ามกลางลำแสงหลีกหนี จากนั้นก็ควบคุมลูกตาสีดำขาวให้กวาดมองไปรอบๆ แล้วพาหานลี่เลี้ยวไปอีกทางหนึ่ง

 

 

เมื่อเห็นเคล็ดวิชาลับที่มหัศจรรย์เช่นนี้ หานลี่ก็รู้สึกเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง แต่ก็ทำได้เพียงบินตามทั้งสองไป

 

 

“พี่หานเคล็ดวิชาลับสายภูตที่พวกเราใช้ แม้ว่าจะสามารถมองผ่านม่านหมอกได้ แต่ระหว่างทางกลับไม่อาจเปลี่ยนทิศทางได้ มิเช่นนั้นที่ทำมาทั้งหมดก็จะสูญเปล่า” ฉับพลันนั้นเหยียนลี่พลันเตือนสติหนึ่งประโยค

 

 

หานลี่หน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย แล้วอดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น

 

 

“เช่นนั้นระหว่างทางแม้ว่าจะพบกับภูตหรือการต่อสู้อื่น ก็จำต้องฝ่าออกไป”

 

 

“ใช่แล้ว! พี่หานก็น่าจะรู้แล้วสินะว่าเหตุใดพวกเราทั้งสองมีเคล็ดวิชาลับเดินออกจากม่านหมอก แต่ก็ยังคงถูกภูตนี้ขวางทางจนไม่อาจออกไปได้!” เหยียนลี่หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา

 

 

“หึ ขอแค่ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แข็งแกร่งอย่างลิ่วจู๋ มู่ชิง ก็ฝ่าออกไปเลยก็พอ ภูตที่โหดเ**้ยมจริงๆ น่าจะกำลังก่อกวนสี่ราชันย์ปีศาจอยู่” แววตาของหานลี่ฉายแววเย็นยะเยือก หัวเราะอย่างขมขื่นออกมา

 

 

แม้ว่าก่อนหน้านี้จะเคยเห็นหานลี่ลงมือแล้ว แต่เมื่อฟังน้ำเสียงที่ถือดีเช่นนี้แล้ว เหยียนลี่ก็รู้สึกตกใจและเผยสีหน้าเคลือบเแคลงใจเล็กๆ ออกมา

 

 

“อันใด สหายเหยียนคิดว่าผู้แซ่หานถือดีเกินไปหรือ” หานลี่เป็นใคร เมื่อกวาดสายตาไปบนดวงหน้าของสตรีผู้นี้ก็เดาความคิดในใจของนางออกทันที จึงเอ่ยอย่างรู้แจ้งในทันที

 

 

“น้อยหญิงจะคิดเช่นนั้นได้อย่างไร! แม้น้องหญิงจะยังไม่สนิทกับพี่หาน แต่เรื่องที่พี่หานสังหารผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกันในแดนมนุษย์ได้อย่างง่ายดายนัก น้องหญิงได้ยินศิษย์น้องหญิงเล่ามาไม่รู้กี่รอบแล้ว” เหยียนลี่เม้มปากฉีกยิ้มบางๆ ออกมา

 

 

หานลี่รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย จึงอดที่จะมองไทปางหยวนเหยาปราดหนึ่งไม่ได้

 

 

ผลคือสตรีผู้นั้นกลับหลุบตาลงต่ำ สีแดงปลั่งปรากฎขึ้นบนพวงแก้มขาวนวลดุจหยก

 

 

หานลี่เงียบขรึมไป

 

 

“สหายมั่นใจเช่นนี้ เกรงว่าความสามารถคงเทียบได้กับระดับหลอมสูญแล้วสินะ” เหยียนลี่กลอกตาไปมาแล้วเอ่ยปากถาม

 

 

“หากไม่ปะทะกับระดับหลอมสูญขั้นปลาย ข้าน้อยก็สู้ไหว” ครานั้นไม่ใช่เวลาจะมาถ่อมตนอะไร หานลี่จึงตอบกลับอย่างราบเรียบ

 

 

“จุ๊ๆ! ไม่รู้จริงๆ ว่าสหายฝึกฝนอย่างไร ตอนนั้นที่ข้าและศิษย์น้องหญิงพบสหายครั้งแรก พี่หานเป็นแค่ผู้บำเพ็ญเพียรระดับฝึกปราณ ครานี้คาดไม่ถึงว่าจะเทียบได้กับระดับหลอมสูญแล้ว คิดดูแล้วก็เป็นเรื่องที่ทุกคนใฝ่ฝันจริงๆ” เหยียนลี่เอ่ยพลางส่งเสียงจุ๊ๆ ชื่นชม

 

 

“เหตุใดแม่นางเหยียนต้องเศร้าใจถึงเพียงนั้น!” หานลี่เหลือบตามองสตรีผู้นี้แวบหนึ่ง

 

 

“ไม่มีอะไรหรอก คาถาตะวันจันทราวัฏสงสารที่พวกเราศิษย์พี่น้องฝึกฝนไม่รู้ว่าเป็นเรื่องดีเรื่องร้าย และไม่รู้ว่าหนทางการฝึกฝนในวันข้างหน้าจะเป็นอย่างไร หรือว่าวันข้างหน้าจะเป็นเหมือนแม่เฒ่าภูต ทำให้กายเป็นดั่งภูตโดยสมบูรณ์ และฝึกฝนไปในทางสายภูตผี?” เหยียนลี่ถอนหายใจออกมาคราหนึ่ง

 

 

หยวนเหยาที่อยู่ด้านข้างได้ยินคำนี้ ก็หน้าม่อยลง

 

 

หานลี่กลับย่นคิ้ว หลังจากเงียบขรึมไปชั่วครู่ก็เอ่ยขึ้นว่า

 

 

“แม้นว่าข้าจะรู้เรื่องเคล็ดวิชาสายภูตไม่มากนัก แต่ในเมื่อแดนวิญญาณยังทำให้คนที่ไม่มีรากวิญญาณ มีรากวิญญาณได้ ขอแค่ไม่ใช่ร่างภูตจริงๆ จากเคล็ดวิชาลับอันน่าเหลือเชื่อที่มีอยู่ในมากมายในแดนวิญญาณ ก็น่าจะมีวิธีทำให้กลับมาเป็นดังเดิมได้”

 

 

“จริงหรือ!”

 

 

“แดนวิญญาณจะหาวิธีคืนร่างมนุษย์ได้หรือ?”

 

 

ชั่วพริบตานั้นหยวนเหยาและเหยียนลี่ก็แทบจะร้องถามออกมาเสียงหลงพร้อมกัน ใบหน้าเต็มไปด้วยความยินดี

 

 

“แม้ว่าคาถาตะวันจันทราวัฏสงสารจะแปลดประหลาด แต่ก็ไม่ใช่เคล็ดวิชาที่เลวร้ายอะไร จากการคาดเดาของข้า น่าจะมีวิธีสลายไอทมิฬบนร่างของพวกเจ้า แล้วฟื้นคืนร่างเดิมได้ แต่เดาว่าพลังยุทธ์คงจะได้รับบาดเจ็บอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ แม้กระทั่งอาจจะต้องเจ็บปวดไม่น้อย ทว่าวิธีที่เป็นรูปธรรมนั้นกลับไปยังแดนมนุษย์แล้วจะอธิบายให้ฟังอย่างละเอียดก็แล้วกัน” หานลี่เอ่ยอย่างมีเลศนัย

 

 

“มีวิธีฟื้นคืนร่างเดิม ต่อให้ต้องเจ็บปวด หรือเสียพลังยุทธ์ แล้วจะเป็นไรไป!” หยวนเหยาตอบกลับอย่างไม่ต้องขบคิด

 

 

เหยียนลี่เองก็พยักหน้าเห็นด้วยอย่างต่อเนื่อง

 

 

หานลี่หัวร่อน้อยๆ ออกมา คราที่คิดจะเอ่ยอะไรอีกนั้น กลับมีสีหน้าเคร่งเครียด ลำแสงหลีกหนีเปล่งแสงสว่างวาบ ชั่วครู่ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวจมหายเข้าไปในม่านหมอกเบื้องหน้าแล้วหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

 

 

สตรีทั้งสองพลันตะลึงงัน อดที่จะประสานสายตากันแวบหนึ่งไม่ได้

 

 

แค่สองสามชั่วลมหายใจกลางหมอกเบื้องหน้าก็มีเสียงกรีดร้องระเบิดออกมา จากนั้นไอทมิฬสีเทาสิบกว่ากลุ่มก็พวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า เสียงไอกระบี่ตัดสลับกันดังขึ้น แต่ทันใดนั้นเสียงนั้นก็เงียบหายไป

 

 

ลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ สายรุ้งสีเขียวพุ่งออกมาจากม่านหมอก หลังจากหมุนวนรอบหนึ่งก็มาอยู่ข้างกายสตรีทั้งสอง เผยร่างของหานลี่ออกมา

 

 

“ไปกันเถิด แต่ภูตธรรมดาเท่านั้น!” หานลี่มีสีหน้าเรียบเฉย ขณะอธิบายอย่างคร่าวๆ

 

 

“ภูตธรรมดา!”

 

 

เหยียนลี่และหยวนเยาพลันรู้สึกหมดคำพูด!

 

 

แม้ว่าพวกนางจะไม่ได้เห็นสถานการณ์การต่อสู้กับเหล่าภูตในม่านหมอกกับตา แต่ไอทมิฬสิบกว่ากลุ่มที่น่าตกใจเมื่อครู่ ก็ไม่ใช่สิ่งที่ภูตธรรมดาๆ จะปล่อยออกมาได้อย่างแน่นอน

 

 

ทว่าท่าทีไม่แยแสของหานลี่ ก็ทำให้สตรีทั้งสองวางใจ จากนี้พวกนางสองคนก็แค่จดจ่อสมาธิไปกับการกระตุ้นลูกตาสีดำขาว ตามหาเส้นทางที่เหมาะสม แล้วบินไปข้างหน้าไม่หยุด

 

 

เช่นนั้นภูตที่ระหว่างทางจึงถูกหานลี่ใช้อัสนีสังหารไปจนเกลี้ยง

 

 

แม้กระทั่งพบกับปีศาจเหวพสุธาที่กำลังสู้กับภูตอื่นๆ เป็นกลุ่มเล็กๆ ก็จะถูกหานลี่สังหารภูตที่ขวางทางอยู่ส่วนหนึ่งออกไปเปิดทางให้ด้วยความรวดเร็วปานสายฟ้า

 

 

สตรีทั้งสองและทหารภูตที่เหลือจึงร้องคำรามขณะพากันกรูตามไป

 

 

ปีศาจเหวพสุธาที่คิดว่ากองหนุนมาแล้วพลันสบตากันไปมา แล้วพยายามต่อสู้กับภูตชนิดอื่นอย่างสุดชีวิตต่อ

 

 

และไม่รู้ว่าหานลี่และพวกดวงดีหรือว่าเส้นทางที่พวกเขาไปจุดที่หละหลวมพอดีกันแน่

 

 

ระหว่างทางไม่พบกับภูตร้ายที่รับมือยาก และไม่พบกับการต่อสู้วงใหญ่ เช่นนั้นจึงทำให้พวกเขาบินอ้อมไปเพียงเล็กน้อยก็บินออกมาได้ไกลแสนไกล

 

 

หลังจากผ่านไปสองสามชั่วยามในที่สุดหมอกรอบด้านก็เบาบางลง อัตราการปะทะกับเหล่าภูตก็น้อยลง

 

 

เมื่อเห็นสถานการณ์เช่นนี้ หานลี่และพวกย่อมรู้สึกลิงโลด!

 

 

รู้ว่าพวกเขามาไม่ผิดทาง และมาถึงขอบของม่านหมอกแล้ว

 

 

เมื่อหานลี่สังหารเหล่าภูตไปอีกสองสามกลุ่ม ครั้นจะพาสตรีทั้งสองและทหารภูตกลุ่มนั้นกระโจนออกไปภายนอก ฉับพลันนั้นเขาพลันหน้าเปลี่ยนสี ลำแสงหลีกหนีหยุดลงอย่างฉับพลัน และจ้องเขม็งไปยังเบื้องหน้า

 

 

“อันใด พี่หานเกิดอะไรขึ้น!” หยวนเหยาใจหายวาบ อดไม่ไหวเอ่ยถามขึ้น

 

 

เหยียนลี่เองก็เผยสีหน้าตกตะลึงระคนสงสัยออกมา น่าเสียดายที่จิตสัมผัสถูกจำกัด จึงไม่อาจแผ่ออกไปได้ไกลนัก

 

 

“ดูแล้วหากจะหนีออกจากที่นี่ ก็ยุ่งยากหน่อยแล้ว” หานลี่เอ่ยด้วยสีหน้าไม่ยินดียินร้าย

 

 

และในครานั้นเองฉับพลันนั้นท่ามกลางกลุ่มหมอกบางๆ ที่ไกลออกไปก็มีเสียงของหัวเราะ “คิกๆ” ของสตรีดังขึ้น!

 

 

เสียงหัวเราะยิ่งดังขึ้นเรื่อยๆ ชั่วพริบตาก็เข้ามาประชิดและดังขึ้นจากสี่ทิศแปดด้านไม่หยุด

 

 

คราแรกเหยียนลี่และหยวนเหยาทั้งสองต่างไม่ได้สนใจ ถึงอย่างไรเสียพวกนางก็เป็นครึ่งคนครึ่งภูต การหล่อลวงธรรมดาๆ ของเหล่าภูตจะทำร้ายพวกนางแม้แต่ปลายก้อยได้อย่างไร

 

 

แต่เมื่อเสียงหัวเราะเข้ามาในโสตประสาทหู สตรีทั้งสองก็รู้สึกว่าร่างกายอ่อนเปลี้ยเพลียแรง สติสัมปชัญญะเริ่มลางเลือน เปลือกตาหนักอึ้ง

 

 

“แย่แล้ว!” หยวนเหยากลับมีปฏิกิริยายาตอบสนองรวดเร็ว หลังจากตะโกนด้วยเสียงต่ำๆ แล้ว ก็พยายามประคองสติเอาไว้ คิดจะต้านทานความรู้สึกอ่อนล้านี้ แต่เมื่อโคจรไอทมิฬในร่าง สตรีนางนั้นพลันใจหายวาบ ตกตะลึงพรึงเพริดไปยกใหญ่

 

 

ไอทมิฬในร่างนั้นว่างเปล่า ไม่มีเลยสักกระผีก!

 

 

“นี่มันเรื่องอะไรกัน?” แม้จะรู้ว่าสถานการณ์ภายในร่างกายจะต้องเกี่ยวข้องกับเสียงหัวเราะของสตรี แต่หลังจากที่ความง่วงหงาวหาวนอนผุดขึ้นมา หยวนเหยาก็ไม่อาจฝืนต้านทานได้อีก สองตาปรือลง กำลังล้มตึงลงไปกับพื้น

 

 

เหยียนลี่ที่อยู่ด้านข้างพลิ้วไหวกาย สถานการณ์ไม่ได้ต่างอะไรกับสตรีผู้นี้นัก ภูตทมิฬเกราะจันทราต่างคลายอาวุธในมือทั้งสองออก แล้วร่วงลงสู่พื้น

 

 

“หึ!” เสียงแค่นเสียงด้วยความเย็นชาพลันดังขึ้นมาจากด้านข้าง

 

 

แม้ว่าเสียงจะไม่ดังนัก แต่กลับดังในโสตประสาทหูของหยวนเหยาอย่างชัดแจ้ง ทันใดนั้นความเจ็บปวดต่อจิตสัมผัสก็เริ่มทิ่มแทงมาทีละนิดๆ ร่างของนางสั่นเทิ้ม ชั่วครู่ความง่วงพลันหายวับไป ไอทมิฬในร่างทะลักกลับเข้ามาอีกครั้ง

 

 

หยวนเหยาฟาดหายนะครั้งนี้ได้ ด้วยอาคมตกตะลึงระคนดีใจ พลันใช้ลมปราณในร่างสร้างลำแสงวิญญาณสีเทาออกมาโคจรรอบกายอย่างไม่ต้องขบคิด ชั่วพริบตาก็ห่อหุ้มร่างกายทั้งหมดเอาไว้

 

 

นางแหงนหน้าขึ้นเล็กน้อย เห็นเพียงครานี้ร่างของเหยียนลี่มีลำแสงสีเทาแผ่ออกมา แม้กระทั่งภูตทมิฬสิบกว่าตนที่ร่วงลงไป ก็ยังลอยขึ้นมาอีกครั้ง

 

 

หยวนเหยาพ่นลมหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง เลื่อนสายตาไปตกอยู่บนร่างกายของชายหนุ่มที่ลอยอย่างมั่นคงดุจภูเขาไท่ซานด้านข้างตั้งแต่ต้นจนจบ

 

 

เห็นได้ชัดว่าการช่วยเหลือให้พ้นจากวิกฤติอันตรายเมื่อครู่มาจากหานลี่

 

 

หานลี่ในครานี้มีสีหน้าไม่แยแส แต่เสียงหัวเราะกลับดูเหมือนมาจากรอบด้าน แต่ฉับพลันนั้นแววตาของเขาพลันเปล่งแสงสีฟ้า สะบัดแขนเสื้ออกไป กระบี่ลำแสงสีทองสายหนึ่งพุ่งไปยังจุดที่อยู่ไม่ไกลนัก

 

 

เสียง “สวบ” ดังขึ้น ทุกแห่งที่ลำแสงสีทองพุ่งผ่านไป กลางอากาศที่ว่างเปล่าจะมีเงาสีขาวจางๆ ปรากฎขึ้นสายหนึ่ง

 

 

เงาสีขาวเบี่ยงตัวไปเล็กน้อย กระบี่ลำแสงเปล่งแสงสว่างวาบพุ่งผ่านไป คาดไม่ถึงว่าจะไม่อาจทำอันตรายได้เลยสักนิด

 

 

หานลี่ชักสีหน้า มือยักษ์สีดำข้างหนึ่งและฝ่ามือสีขาวข้างหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบกดลงไปทางเงาสีขาวด้วยความรวดเร็วดุจสายฟ้า!

 

 

ชั่วขณะนั้นหมอกลำแสงสีเทาและเปลวเพลิงห้าสีพลันปรากฎขึ้นบนเงาสีขาว แล้วม้วนลงไปด้านล่างพร้อมกัน

 

 

หมอกสีเทาและเปลวเพลิงแพร่ไปทั่วท้องฟ้า ราวกับแหตาข่ายดิน[1]อย่างไรอย่างนั้น ปกคลุมเงาสีขาวเอาไว้จนไม่มีทางให้หลบหนีได้

 

 

หยวนเหยาและเหยียนลี่เห็นเช่นนั้นใบหน้าก็เผยความยินดีออกมายอย่างระงับไม่อยู่ อิทธิฤทธิ์ที่ร้ายกาจทั้งสองชนิด พวกนางเคยเห็นหานลี่สำแดงมาสองสามครั้งแล้ว ก่อนหน้านี้ภูตกว่าครึ่งก็ถูกอิทธิฤทธิ์ทั้งสองชนิดนี้สังหาร

 

 

แต่ฉากที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของสตรีทั้งสองพลันปรากฎขึ้น!

 

 

เงาสีขาวเปล่งเสียงหัวเราะแผ่วเบาออกมา ร่างกายพลิ้วไหว คาดไม่ถึงว่าจะแยกร่างจากหนึ่งเป็นสี่ สี่เป็นแปดได้ภายในพริบตา

 

 

…….

 

 

ชั่วพริบตากลางอากาศทุกแห่งต่างก็เต็มไปด้วยเงาสีขาวจางๆ และยิ่งไปกว่านั้นยังแยกออกมาไม่หยุด ราวกับว่าไม่มีที่สิ้นสุด ชั่วครู่ก็ออกไปนอกอาณาเขตของหมอกสีเทาและลำแสงห้าสี

 

 

หยวนเหยาและเหยียนลี่เห็นเช่นกันก็มองสบตากันแวบหนึ่ง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าหวาดผวา

 

 

 

 

 

 

——

 

 

[1] ราวกับแหตาข่ายดิน หมายถึงล้อมศัตรูหรือผู้หลบหนีเอาไว้อย่างแน่นหนา