บทที่ 182 สัญญาของลาซาร์

Throne of Magical Arcana ศึกบัลลังก์เวทอาร์คานา

แสงแดดที่สดใสกับสภาพแวดล้อมที่ชื้นเล็กน้อยพร้อมกลิ่นคาวจางๆ ในอากาศ ทั้งอาคารเก่าแก่แต่หรูหราหรือเมืองที่แสนจะวุ่นวายของเมืองท่าชายฝั่งที่ใหญ่ที่สุดในโฮล์มที่ชื่อว่าแพทเรย์ ได้กลายเป็นความประทับใจแรกของลูเซียน

รถม้าสองคันวิ่งไปตามถนนของเมืองแพทเรย์ ภายในรถม้ามีลูเซียน นักเวทฝึกหัด และลาร์ซา นักเวทที่เป็นผู้ที่มารับพวกเขา

“ท่านอีวานส์ ท่านชอบ โฮล์ม ไหม เป็นอย่างไรมันไม่เลวใช่มั้ย” บนหน้าของลาร์ซาปรากฏรอยยิ้มที่สดใส

“ลาร์ซาโปรดเรียกข้าว่าอีวานส์ก็พอ อืม… แน่นอนว่าผู้หญิงสวยมาก” ลูเซียนตอบอย่างผ่อนคลาย และมีอารมณ์ขัน “รูปแบบการแต่งกายของที่นี่แตกต่างกับที่อื่นมาก อย่างชุดที่ผู้หญิงสวมใส่นั้นมีความสลับซับซ้อน บ้างก็ออกแบบอย่างเรียบง่าย บ้างก็มีสีสันสดใสและบ้างก็ได้รับตกแต่งอย่างดี แต่สิ่งที่ทำให้ข้าผิดหวังนิดหน่อยก็คือผู้หญิงที่นี้ค่อนข้างจะอนุรักษ์นิยม ฮ่าฮ่า”

“ฮา อีวานส์…” ลาร์ซาปรบมือ “ข้ารู้แล้ว… เจ้าไม่ชอบแบบนี้ แต่สำหรับข้าแบบนี้คือความเซ็กซี่และลึกลับเพราะมันทำให้เราจินตนาการได้มากขึ้น”

ลูเซียนพยักหน้าเล็กน้อย “อีกอย่างคือ… ข้าคิดว่าคนที่นี่ไม่ว่าจะเป็นสุภาพสตรีหรือสุภาพบุรุษทุกคนมักจะชอบสวมหมวก ใช่หรือไม่”

ในนครอัลโต้ มีแค่นักบวชและผู้สูงอายุบางคนเท่านั้นที่ชอบสวมหมวก

“ดีมาก อีวานส์ การสังเกตนั้นสำคัญมากสำหรับนักเวท เจ้าต้องปรับตัวให้เข้ากับโฮล์มและการสวมหมวกก็เป็นวิธีหนึ่ง ผู้หญิงชอบใส่หมวกปีกกว้างกับริบบิ้นยาวหรือพู่ยาว และสวมหมวกแบบมีริบบิ้นผูกใต้คางในโอกาศที่เป็นทางการและหมวกแบบง่ายๆ ที่ตกแต่งด้วยดอกไม้หรือขนนกสำหรับชีวิตประจำวัน คนทั่วไปจะใส่สวมหมวกทรงกลม หรือหมวกปีกกว้างของผู้ชายและสุภาพบุรุษอย่างเราจะสวมหมวกไหมพรม ของผู้ชายหรือหมวกทรงสูง” ลาร์ซาตอบ “นอกจากหมวกแล้วชุดสูทหรือเสื้อโค้ตสองกระดุมก็สำคัญเช่นกัน”

หลังจากฟังลาร์ซาพูดนิดหน่อย ลูเซียนก็เปลี่ยนหัวข้ออย่างเป็นธรรมชาติ “ข้าสงสัยว่านักเวทมีข้อจำกัดในการใช้เวทมนตร์ไหม?”

“ในทางปฏิบัติ การใช้เวทของนักเวททำร้ายผู้อื่นก็เหมือนกับคนธรรมดาที่ใช้มีดสั้นหรือดาบไปทำร้ายผู้อื่นเช่นกัน ดังนั้นพวกเขาก็จะต้องถูกลงโทษตามกฎหมาย แต่เนื่องจากนักเวทชายในโฮล์มค่อนข้างมีชื่อเสียง หากกรณีไม่ร้ายแรงมากพวกเขาก็จะถูกปรับเท่านั้น… ดูสิอีวานส์” ลาร์ซาชี้ไปที่ชายวัยกลางคนในชุดสูทสีเทา

ลูเซียนเห็นว่าชายผู้นั้นยืนอยู่ข้างน้ำพุในจัตุรัสล้อมรอบไปด้วยเด็กๆ จำนวนมาก ชายวัยกลางคนถือหมวกสีดำของเขาไว้ในมือและแสดงให้เด็กๆ เห็นสิ่งของทุกอย่างจากหมวกของเขา เช่น ดอกไม้ ขนมปัง หิน และแม้แต่นกพิราบสีขาว

“เขาเป็นนักเวทฝึกหัดใช่หรือไม่” ลูเซียนถาม

“ใช่” ลาร์ซายิ้มและพยักหน้า “ตั้งแต่ที่สภาเริ่มส่งนักเวทฝึกหัดไปสำนักเวทมนตร์เพื่อให้พวกเขาได้รับการฝึกอบรมอย่างเป็นทางการ เราจึงมีนักเวทฝึกหัดมากขึ้นในเมืองนี้ แต่นั่นก็หมายความว่าเรามีนักเวทฝึกหัดมากขึ้นก็จริงแต่พวกเขาก็ไม่สามารถเป็นนักเวทที่แท้จริงได้ โชคดีที่นักเวทฝึกหัดเหล่านี้รู้หนังสือและมีความรู้มากกว่าคนทั่วไป ดังนั้นพวกเขาก็มีชีวิตที่ดีได้ อย่างชายคนนี้ก็เป็นนักเวทฝึกหัดที่ดูเหมือนจะชอบเด็กๆ มากทีเดียว”

ลูเซียนได้รับข้อมูลเรื่องนี้จากแอสตาร์และทอมแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่แปลกใจมากเท่าไร จากนั้นก็ถามว่า “แล้วสัดส่วนคืออะไร ข้าหมายถึง… มีนักเวทฝึกหัดกี่คนที่สามารถกลายเป็นนักเวทได้จริงๆ”

“อืม… เมื่อเทียบกันแล้วจำนวนก็เพิ่มขึ้นมากกว่าเมื่อก่อนถ้าเทียบกับอาณาจักรเวทมนตร์โบราณ ในสมัยโบราณนักเวทฝึกหัดที่ไม่มีพลังทางจิตวิญญาณที่แข็งแกร่งพอ พวกเขาก็พึ่งการดื่มยาวิเศษหรือพิธีกรรมเวทมนตร์ที่มีความเสี่ยงเท่านั้น ดังนั้นในบรรดานักเวทฝึกหัดหนึ่งพันคนอาจมีซักคนหนึ่งที่ได้กลายเป็นนักเวทที่แท้จริง ตอนนี้เมื่อได้ศึกษาจากอาร์คานา และแม้ว่าจะมีพลังทางจิตวิญญาณอยู่ในระดับต่ำ แต่เราก็ยังสามารถเพิ่มอัตราการเป็นนักเวทได้เป็นห้าต่อหนึ่งร้อย” ลาร์ซามองลูเซียนด้วยรอยยิ้มอันเป็นเอกลักษณ์ของเขา “แต่เจ้าไม่ต้องกังวลเกี่ยวกับมัน… ข้าหมายความว่าตอนนี้เจ้าเป็นนักเวทอยู่แล้ว และตราบใดที่เจ้ามุ่งเน้นไปที่การเรียนรู้อาร์คานา ข้าก็มั่นใจว่าเจ้าจะพัฒนาได้ในเร็วๆ นี้ เจ้ามีความเชี่ยวชาญในด้านอะไรบ้าง” ลาร์ซาถามอย่างสงสัย

“ข้าเก่งในเรื่องโหราศาสตร์และธาตุ” ลูเซียนตอบอย่างซื่อสัตย์ “แต่ข้าไม่แน่ใจว่าจะเรียกว่าผู้เชี่ยวชาญได้ไหม”

“ฮา ข้าเป็นนักเวทในสำนักเวทธาตุ และยังเป็นสมาชิกของ ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ อีกด้วย เจ้าเคยได้ยินชื่อกลุ่มนี้มาก่อนหรือไม่?” ลาร์ซาถาม

“แอสตาร์บอกข้ามาก่อนหน้านี้แล้ว เจ้าต้องการให้ข้าเข้าร่วมไหม?” ลูเซียนยิ้มและพูดกับตัวเองว่า ‘ข้ารู้อะไรมากกว่าแค่ชื่อ และข้ายังถือครองแหวนอีกด้วย’

“ไม่เอาน่า อีวานส์! เราไม่ใช่ ‘หัตถ์ไร้ชีวา” ลาร์ซาพูดอย่างตลกๆ “ที่ข้าเข้าใจในระดับหนึ่งก็คือ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’ ไม่สนใจเกี่ยวกับคุณภาพของสมาชิกเลย ซึ่งสิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเขาก็คือร่างกาย เพราะหากสมาชิกไม่มีคุณสมบัติจริงๆ แต่ร่างกายของเขาหรือนางก็ยังมีประโยชน์ ใช่ไหม?”

เห็นได้ชัดว่าระหว่าง ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ มีความขัดแย้งอย่างมากกับ ‘หัตถ์ไร้ชีวา’

“ถ้าอย่างนั้นลาร์ซา… ข้าคิดว่าเจ้าก็เป็นผู้เชี่ยวชาญด้วยใช่ไหม” ลูเซียนถามอย่างระมัดระวัง

ลาร์ซาปรับท่าทีของตัวเองเล็กน้อยเพื่อนั่งให้ตัวตรงและพยายามทำให้รอยยิ้มดูสบายๆ ยิ่งขึ้น “เวทมนตร์ธาตุระดับหนึ่ง ‘เวทฝ่ามือเผาผลาญ’ ที่ข้าปรับปรุงเมื่อต้นปีนี้ได้รับการรับรองจากคณะกรรมการตรวจสอบของอาร์คานาเรียบร้อยแล้ว และข้าก็ได้รับคะแนนอาร์คานาอีกสองคะแนน เมื่อรวมกับอีกแปดคะแนนที่ข้ามีก่อนหน้านี้ ก็ทำให้ข้าที่เป็นนักเวทระดับหนึ่งกลายเป็นนักเวทระดับสองในทันที และนั่นก็เป็นสาเหตุที่ทำให้ข้าได้เป็นสมาชิกของ ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’

ลาร์ซาภูมิใจกับความสำเร็จของเขาอย่างเห็นได้ชัด

“ลาร์ซาเจ้าอายุเท่าไร? เจ้ายังดูเด็กมาก” แม้ว่าลูเซียนจะไม่เข้าใจว่ามันเป็นเรื่องยากแค่ไหนสำหรับนักเวทระดับต้นที่จะได้รับคะแนนอาร์คานา แต่เขาก็ประหลาดใจมากกับระดับของลาร์ซา

ลาร์ซาเอื้อมมือไปหยิบแก้วไวน์ที่วางอยู่บนโต๊ะไม้เล็กๆ ในรถม้า “เพิ่งอายุยี่สิบสอง แก่กว่าเจ้าสองปี”

ในขณะที่ลูเซียนประพฤติตัวค่อนข้างเป็นผู้ใหญ่ ดังนั้นคนส่วนใหญ่จึงคิดว่าเขาอายุยี่สิบปี เพราะฉะนั้นลูเซียนจึงบอกคนอื่นๆ ว่าเขาอายุยี่สิบปี เพื่อให้แตกต่างจากนักดนตรีชื่อดังที่อายุสิบแปดปี

“ลาร์ซา เจ้าเป็นอัจฉริยะจริงๆ” ลูเซียนพยักหน้าและยกย่องเขาอย่างจริงใจ

“ข้ายังห่างไกลจากการเป็นอัจฉริยะ อีวานส์” ลาร์ซา โบกมือเล็กน้อย “อย่าง ยูลิสิส จาก ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ เขาเป็นอัจฉริยะตัวจริงในสำนักเวทธาตุ เขาเป็นจอมเวทระดับสองและนักเวทระดับกลางตอนที่เขาอายุยี่สิบสอง และจอมเวทระดับสี่และนักเวทระดับห้าเมื่อเขาอายุสามสิบสามปี และก็ยังมี แลร์รี่ และทิโมธี ที่อยู่ในกลุ่มของเรา”

ลาร์ซาไม่ได้อิจฉาอัจฉริยะเหล่านี้ เพราะความสำเร็จของคนเหล่านี้มันเกินขอบเขตของคนทั่วไป

“แต่คนในสำนักเวทธาตุที่ข้าชื่นชอบมากที่สุดยกเว้น มหาจอมเวทแฮททาเวย์ ก็คือ เมอเรดิธ จากโฮล์มผู้ชนะ ‘รางวัลมงกุฎแห่งโฮล์ม’ เมื่อนางอายุเพียงยี่สิบสามปีและก็เป็นหนึ่งในอัจฉริยะไม่กี่คนที่มีระดับอาร์คานาสูงกว่าระดับเวทมนตร์ หลังจากที่นางได้รับรางวัลนี้ เมอเรดิธ ก็กลายเป็นจอมเวทระดับสี่เมื่อตอนที่นางเป็นนักเวทระดับหนึ่ง! น่าเสียดาย…”

ลาร์ซาถอนหายใจด้วยความเสียใจ

ลูเซียนสัมผัสแหวนที่ชื่อว่า ‘โม’ ในกระเป๋าของเขาด้วยความรู้สึกหลากหลาย “ข้าก็เคยได้ยินเรื่องราวของเธอเช่นกันและเมอเรดิธ ก็น่าชื่นชมจริงๆ”

ลาร์ซายกแก้วขึ้นเพื่อแสดงความขอบคุณ

“อีวานส์ ถึงแม้ว่าเราจะยังไม่ได้วางแผนที่จะเชิญเจ้าเข้าร่วมกับเรา” ลาร์ซากล่าว “ในฐานะชายหนุ่มที่เป็นนักเวทตัวจริงในวัยยี่สิบต้นๆ จากการศึกษาระบบเวทมนตร์โบราณ เจ้าน่าจะได้รับความสนใจจากหลายกลุ่มในการประชุมเร็วๆ นี้”

“ข้าค่อนข้างภูมิใจ” ลูเซียนพยักหน้าอย่างสุภาพ

ลาร์ซาคิดว่าลูเซียนไม่เข้าใจความหมายของคำพูดของเขา ดังนั้นเขาจึงเสริมว่า “การเป็นสมาชิกในกลุ่มของเราจะเป็นประโยชน์ให้เจ้ามากมาย อย่างการสอนจากนักเวทระดับกลางและระดับสูง หนังสืออาร์คานาและวารสารนับไม่ถ้วน ห้องทดลองที่มีอุปกรณ์ครบครัน ความมั่งคั่ง พิธีกรรมลับสองอย่างเพื่อพัฒนาที่อย่างหนึ่งเป็นของสภา สถาบันเวทมนตร์ราชสำนักโฮล์ม และกลุ่มที่เรียกว่า ‘เจ้าแห่งธาตุ’ และคนอื่นๆ ที่เรียกว่าผู้สร้างซึ่งใช้ได้เฉพาะนักเวทที่เรียนรู้ทั้งองค์ประกอบและการเล่นแร่แปรธาตุ ในนามตัวแทนของ เมอเรดิธ ตราบใดที่เจ้าสามารถเข้าถึงระดับอาร์คานาก่อนอายุสามสิบปี อีวานส์ เจ้ายินดีที่จะเข้าร่วมกับเราหรือไม่!”

รอยยิ้มของลูเซียนยังคงอยู่บนใบหน้าของเขา แม้ว่าเขาจะคิดอย่างลับๆ กับตัวเองว่า ‘ระหว่างพวกเขาทั้งคู่ คนที่ถือแหวนเมอเรดิธในตอนนี้ควรเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของผู้หญิงที่มีความสามารถคนนั้น’

นอกจากนี้ลูเซียนยังจำสิ่งที่แอสตาร์บอกเขาได้ เมื่อตอนที่เขายังเป็นนักเวทระดับต้นมันจะเป็นการดีกว่าสำหรับเขาที่จะอยู่ให้ห่างจากความขัดแย้งและการแข่งขันของกลุ่มเหล่านี้ทั้งหมด และให้ความสำคัญกับการศึกษาของตัวเองก่อน

“ข้าสนใจโหราศาสตร์และธาตุมาก” ลูเซียนกล่าวด้วยความจริงใจ “เจตจำนงแห่งธาตุคือกลุ่มในอุดมคติของข้า”

ลาร์ซาพยักหน้าอย่างพอใจ “ถ้าเจ้าชำนาญในโหราศาสตร์ เจ้าก็สามารถพิจารณาหอคอยได้”

ดูเหมือนว่าความสัมพันธ์ระหว่าง ‘หอคอย’ กับ ‘เจตจำนงแห่งธาตุ’ จะไม่เลวร้าย

จากนั้นลาร์ซาก็มองออกไปข้างนอกเล็กน้อยแล้วถามว่า “เจ้าอยากจะพักในแพทเรย์อีกสองสามวัน หรือต้องการมุ่งหน้าไป ‘อัลลิน’ เลย”

“ข้ารอไม่ได้อีกต่อไปแล้ว” ลูเซียนตอบกลับภายในหนึ่งวินาที

ลาร์ซาวางแก้วของเขาแล้วยิ้ม จากนั้นเขาก็ขอให้คนขับรถม้านำพวกเขาไปที่บ้านที่มีสวนที่ซึ่งไม่มีอะไรพิเศษ

ทันทีที่รถม้าขับผ่านประตูเข้าไปสภาพแวดล้อมก็พร่ามัวราวกับว่ามีหมอกหนาปกคลุมทั่วทุกหนทุกแห่ง

เมื่อรถม้าออกจากหมอก สิ่งที่ลูเซียนเห็นก็ทำให้เขาประหลาดใจโดยสิ้นเชิง

รางรถไฟสี่คู่และรถไฟสีดำแปดขบวนอยู่ตรงหน้าเขาแล้ว

นักเวทฝึกหัดที่ติดตามมาด้วยตั้งแต่แรกก็รู้สึกประหลาดใจเช่นกัน

“ยินดีต้อนรับสู่รถไฟเวทมนตร์ เส้นทางที่จะไปยัง ‘อัลลิน’ ลาร์ซากล่าว

ลาร์ซาดีใจที่เห็นใบหน้าของลูเซียนและนักเวทฝึกหัดของเขาประหลาดใจ

……………………………………….