“อีกไม่ไกลแล้ว”

 

ซูฉินหยุดลงแต่ยังคงกลืนเม็ดยาต่อไป

 

ไม่ว่าจะเป็นโอสถเสริมศักยภาพขนาดใหญ่หรือโอสถกักเก็บพลังศักดิ์สิทธิ์มันก็เป็นแค่ส่วนหนึ่งของโอสถที่ซูฉินเก็บรวบรวมมาได้ตลอดการลงชื่อเข้าใช้กว่าสิบห้าปี

 

จากการลงชื่อเข้าใช้กว่าหลายปีที่ผ่านมา ซูฉินก็ได้เข้าถึงจุด ‘อิสรภาพทางการใช้โอสถ‘ มานานแล้ว เขาสามารถกินพวกมันได้โดยไม่กะพริบตาเสียด้วยซ้ำไม่ว่าเขาจะกินมันไปมากแค่ไหน

 

“เพียงแค่สกัดกั้นหิมะถล่ม เผชิญหน้ากับพลังฟ้าดิน ดูเหมือนจะทำให้ข้าเข้าใจพลังงานฉีแห่งโลกหล้าเพิ่มขึ้นมาเล็กน้อยเลยไม่ใช่หรือนี่?”

 

จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินแผ่ออกไปอย่างช้าๆ หลอมรวมเข้ากับโลกใบนี้ พยายามซึมซับความรู้สึกเช่นนี้อย่างละเอียดถี่ถ้วน

 

หากยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งต้องการก้าวไปให้ไกลขึ้น นอกเหนือจากการแปรสภาพสามอย่าง คือ ร่างกาย จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ และกำลังภายในแล้ว พวกเขายังต้องเข้าใจปราณฉีแห่งฟ้าดิน

 

เมื่อเทียบกันแล้วอย่างหลังท้าทายกว่าอย่างแรกมากนัก

 

เพราะไม่ว่าจะเป็นการแปรสภาพกายเนื้อ การแปรสภาพกำลังภายใน หรือการแปรสภาพ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ ก็ล้วนมีช่องทางให้ก้าวเดิน

 

ยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่งรู้ว่าตนควรจะเดินไปทางไหน

 

หากร่างกายอ่อนแอ ก็จงขัดเกลาร่างกาย

 

หาก ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘ อ่อนแอ ให้ไปบ่มเพาะ ‘พลังศักดิ์สิทธิ์‘

 

หากกำลังภายในไม่บริสุทธิ์พอ ก็ให้ชำระกำลังภายในให้บริสุทธิ์เสีย

 

สำหรับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง หากต้องการจะแปรสภาพพลังทั้งสามให้สำเร็จ การตั้งใจบ่มเพาะอย่างเต็มที่ที่สุดก็มีโอกาสที่จะทำสำเร็จได้

 

แต่การเข้าใจถึงพลังฉีระหว่างฟ้าเบื้องบนและผืนดินเบื้องล่างนั้นช่างมืดมน

 

เป็นเวลาหลายพันปีมาแล้วที่เหล่ายอดปรมาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลายที่แปรสภาพทั้งสามครั้งได้แล้ว ต่างดิ้นรนพยายามกันจนตกตายไป

 

แล้วจะคว้าโอกาสนั้นไว้ได้อย่างไร?

 

จะเข้าใจพลังฉีแห่งฟ้าดินได้อย่างไร?

 

พลังฉีนั้นกล่าวได้ว่าเป็นสิ่งที่ลึกลับและแสนจะลึกซึ้ง

 

ไม่มีทางเดินที่แน่นอนในการจะก้าวเดินไป

 

นอกจากนี้พลังฉีที่ยอดปรมาจารย์แต่ละคนต้องทำความเข้าใจนั้นก็แตกต่างกันออกไป ไม่สามารถมาชี้แนะกันในเชิงลึกได้

 

เดิมทีซูฉินกำลังรอให้กำลังภายในแปรสภาพสำเร็จ จากนั้นจึงจะสำรวจตรวจสอบด้วยดวงตาแห่งสัจจะ เพื่อดูพลังฉีให้กระจ่าง

 

อย่างไรเสียซูฉินก็มีช่วงชีวิตที่ยาวนานเหลือเฟืออยู่แล้ว

 

แต่ไม่คาดคิดว่ายามนี้ซูฉินได้พบโอกาสเผชิญหน้ากับพลังแห่งฟ้าดินเช่นนั้น ทำให้เขาสามารถรับรู้ เข้าใจถึงพลังฉีได้อย่างเจือจาง

 

กล่าวได้ว่าในอนาคตอันใกล้นี้ ตราบเท่าที่ซูฉินสามารถแปรสภาพกำลังภายในของตนเองจนเสร็จสิ้น เขาไม่น่าจะพบกับอุปสรรคใดๆ ในการเข้าสู้ขอบเขต ‘อรหันต์‘

 

“ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า”

 

“มีความสุขจริงๆ โว้ย!”

 

ซูฉินมีความสุข เลือดลมสูบฉีดจนร่างกายร้อนระอุราวกับเตาเผาขัดกับโลกเบื้องนอกที่มีหิมะค่อยๆ ตกลงมา

 

เกล็ดหิมะทั้งหมดภายในรัศมีหนึ่งร้อยเมตรโดยรอบ ลอยระเหยกลายเป็นไอไปอย่างรวดเร็ว

 

 

ภูเขาหวู่หนาน

 

เนื่องจากหิมะถล่ม ภูเขาหวู่หนานจึงแตกหักพลังทลาย แต่เนื่องด้วยภูมิประเทศที่มีความพิเศษ เขาหวู่หนานจึงไม่ได้รับผลกระทบอะไรมากนัก

 

และในขณะนี้

 

ด้านใต้หิมะขาวโพลนมีร่างหนึ่งโผล่ขึ้นมา

 

ร่างนั้นหอบหายใจถี่ มองไปยังทิศทางที่เป็นฐานที่มั่นหลักของพรรคมาร ลึกๆ ในใจเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

 

ร่างนี้มีชื่อว่าคุนคง เป็นสาวกพรรคมาร

 

“ตายหมดแล้ว”

 

“ปรมาจารย์และผู้อาวุโสในพรรคตายหมดแล้ว”

 

เสียงของคุนคงสั่นสะท้าน ใบหน้ามืดมนราวกับเถ้าถ่าน

 

เมื่อวานนี้เขาเห็นกับตาตนเองว่าภิกษุหนุ่มสวมจีวรสีเทาเข้าไปห้องโถงซึ่งเป็นที่พำนักของเหล่าอาวุโสและประมุขพรรคมาร

 

ตอนนั้นคุนคงยังคิดอยู่เลยว่าพระหนุ่มผู้นี่มาเพื่อฆ่าตัวตายหรือไร

 

เป็นพระจากวัดเส้าหลินแต่ดันเข้ามาที่ฐานที่มั่นหลักของพรรคมารจะมีชีวิตรอดออกไปได้เยี่ยงไร?

 

อย่างไรก็ตาม

 

หลังจากที่เขาถูกทำให้สลบไป เขาฟื้นขึ้นมาแล้วเข้าไปดูในห้องโถง พบว่าเลือดไหลนองราวกับสายน้ำหลาก

 

ผู้อาวุโสของพรรคมารต่างนอนตายเป็นเบือในที่เกิดเหตุ

 

แม้แต่ประมุขพรรคที่ปิดด่านฝึกตนมาหลายวันเพื่อเข้าสู่ระดับชั้นที่หนึ่ง ก็ไม่เหลือแม้แต่กระดูก

 

เมื่อคุนคงเห็นฉากดังกล่าวหนังศีรษะเขาแทบจะระเบิดออก เขาวิ่งหนีออกจากฐานที่มั่นหลักของพรรคมารโดยไม่มีความลังเลใด เมื่อออกมาไกลมากพอเขาจึงซ่อนตัวอยู่ใต้หิมะพร้อมกับปกปิดลมหายใจของตัวเองด้วยวิชาลับ

 

คุนคงรู้สึกกลัวมาก

 

กลัวจริงๆ

 

สามารถสังหารผู้อาวุโสทั้งหมดในสามระดับบนของพรรคมาร รวมไปถึงประมุขพรรคได้อย่างง่ายดายหมดจด คุนคงนึกไม่ออกจริงๆ ว่าใครจะสามารถทำได้?

 

“ภิกษุรูปนั้นหรือ?”

 

คุนคงตัวสั่นในทันใด

 

ก่อนที่ผู้อาวุโสของพรรคจะตกตายลง มีเพียงพระหนุ่มรูปนั้นเท่านั้นที่เข้าไปในห้องโถง

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์!”

 

“พระรูปนั้นเป็นถึงสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์!!”

 

คุนคงกระซิบกระซาบอยู่กับตนเอง

 

คุนคงคือสาวกพรรคมาร เป็นธรรมดาที่จะมีความรู้พื้นฐาน เช่นว่า สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์เป็นตัวตนในระดับชั้นเดียวกันกับยอดปรมาจารย์ระดับชั้นที่หนึ่ง

 

“พรรคมารจบสิ้นแล้ว…”

 

คุนคงหนาวยะเยือกในจิตใจ

 

แม้เขาจะรอดชีวิตมาได้ แต่เมื่อข่าวการตายของผู้อาวุโสระดับสูงและประมุขพรรคมารได้แพร่กระจายออกไป ชะตากรรมของสาวกพรรคมารมีแต่จะถูกกวาดล้างโดยเหล่าพรรคฝ่ายธรรมะ

 

ฝ่ายธรรมะจะไม่ปล่อยโอกาสดีๆ อย่างนี้ไป และเข้ากำจัดพรรคมารให้หมดสิ้นเป็นแน่

 

“ข้าจะทำเช่นไรดี”

 

คุนคงก้มหน้าลงต่ำ

 

ในฐานะสาวกพรรคมาร วิชาบ่มเพาะของพรรคมารไหลเวียนอยู่ในกายของเขาและไม่สามารถซ่อนมันจากพรรคฝ่ายธรรมะได้

 

ยกเว้นคุนคงจะเลิกฝึกฝนไปทั้งชีวิต แล้วผันตัวไปใช้ชีวิตเยี่ยงชาวนาอย่างสบายใจ

 

“ไม่ได้”

 

“ยังมีความหวังสำหรับพวกเราเหล่าพรรคมารอยู่!”

 

เมื่อคุนคงสิ้นหวังจนถึงขีดสุด จู่ๆ ก็ปรากฏความคิดขึ้น

 

ครั้งหนึ่งเขาเคยได้ยินผู้อาวุโสพรรคมารในสามระดับบนเล่าว่า ประมุขพรรคคนเก่าของพรรคมารนั้นทั้งยอดเยี่ยมและทรงพลัง แต่ท่านต้องการจะตัดผ่านระดับขั้นจึงออกจากพรรคมารไปหาที่ปิดด่านฝึกตน

 

และเพราะเหตุนี้นี่เองที่ทำให้พรรคมารต้องเผชิญหน้ากับฝ่ายธรรมะมาหลายสิบปีจนสูญเสียเขตแดนที่มีถึงสามภูมิภาคในตอนแรก ถูกบีบให้ถอยร่นมาอยู่ที่ยงโจว (ภูมิภาคยง)

 

เมื่อคิดสิ่งนี้ออกมา คุนคงก็ฟื้นคืนความหวังในใจกลับมา

 

หากเขาสามารถหาประมุขพรรคมารคนก่อนได้ และท่านกลับมาปกครองพรรคมารอีกครั้งหนึ่ง พรรคมารจะไม่จบสิ้น พรรคมารกลับมารุ่งโรจน์อีกครั้ง

 

ด้วยวิธีที่ว่ามาพรรคมารจะทะยานสู่ฟากฟ้า ในเวลานั้นคงจะหาวิธีแก้แค้นพระนิรนามจากวัดเส้าหลินรูปนั้นได้ไม่ยาก!

 

“ข้าจำได้ว่าผู้อาวุโสกล่าวไว้ว่า เมื่อห้าสิบปีก่อนประมุขพรรคมารคนก่อนเดินทางไปยังทะเลทรายตะวันตกเพียงลำพัง นับจากนั้นก็ไม่มีข่าวคราวของท่านอีกเลย”

 

“อาจกล่าวได้ว่า สถานที่ที่ท่านปิดด่านฝึกตนมีโอกาสที่จะอยู่ในทะเลทรายตะวันตกมากที่สุดใช่หรือไม่?”

 

คุนคงขบคิดอยู่ภายในใจอย่างรวดเร็ว

 

ทะเลทรายตะวันตกนั้นกว้างใหญ่ มันคงเป็นเหมือนการงมเข็มในมหาสมุทรหากจะต้องตามหาใครสักคนในพื้นที่ขนาดใหญ่เช่นนี้

 

แต่คุนคงไม่มีทางเลือกอื่น

 

มีเพียงการพาประมุขพรรคคนก่อนกลับมาเท่านั้นจึงจะสามารถจัดระเบียบพรรคมารขึ้นมาใหม่ทั้งหมดได้

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ซูฉินก็รีบกลับมาที่วัดเส้าหลิน

 

มีพระสงฆ์คอยเดินตรวจตรารอบนอกวัดเส้าหลิน จอมยุทธธรรมดาๆ ไม่สามารถลอบเข้ามาได้ แต่สำหรับซูฉินนั้นเรื่องนี้ไม่ใช่ปัญหาใด

 

“ในที่สุดข้าก็มาถึงเสียที…”

 

ซูฉินมาที่ลานจิปาถะอย่างเงียบๆ กลับเข้าไปในห้องของตัวเองแล้วถอนหายใจออกมา

 

แม้ว่าเขาจะเพิ่งออกจากวัดเส้าหลินไปเพียงสองวัน แต่มันช่างยาวนานในความรู้สึกราวกับผ่านไปนานหลายเดือน

 

“ดีกว่าเยอะเลย ที่ได้อยู่ในวัดเส้าหลิน…”

 

ซูฉินถอนหายใจเบาๆ เมื่อได้ยินเสียงระฆังดังเอื่อยๆ

 

“คงไม่มีใครรู้ว่าที่ผ่านมาข้าได้แอบออกไปข้างนอกมา”

 

ซูฉินตรวจสอบโดยรอบและคาดเดาในใจ

 

ในฐานะศิษย์รุ่นพี่ที่อาศัยอยู่ในวัดมากว่าสิบห้าปี ซูฉินไม่จำเป็นต้องออกไปทำความสะอาดทุกวัน

 

ก่อนที่จะแอบออกไปในครานี้ ซูฉินได้เข้าพบหัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่แล้ว เพื่อขอหยุดพักผ่อนสักวันสองวันด้วยเหตุผลว่ารู้สึกครั่นเนื้อครั่นตัว

 

หัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่มีความสัมพันธ์ที่ดีกับซูฉิน ดังนั้นเขาจึงอนุญาตให้ซูฉินหยุดพักเป็นการส่วนตัว

 

“ในเมื่อข้ากลับมาแล้ว”

 

“ก็ไปศาลาพระคัมภีร์แล้วลงชื่อเข้าใช้เสียก่อนดีกว่า”

 

ซูฉินคิดขึ้นในใจอย่างเงียบเชียบ