ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 194 นักเรียนที่เข้าเมืองเพื่อสอบ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

“ข้าตั้งแต่เด็กที่บ้านยากจน นิสัยเงียบขรึมไม่พูดจา ไม่มีเพื่อนฝูง ไม่มีเครือญาติ กินโจ๊กกินผักไม่มีเนื้อ ชอบเพียงการอ่านหนังสือ นอกจากอ่านหนังสือ ก็ยังคงอ่านหนังสือ ในชีวิตไม่มีความทะเยอทะยาน แค่วาดหวังว่าหลังเข้าเมืองจะสามารถสอบเข้าและเรียนหนังสือที่สำนักเทียนเต้า ภายหลังได้รู้จักเฉินเอ๋อร์ ก็แค่อยากจะอ่านหนังสือกับนาง แม้ว่านางจะไม่ให้ความสนใจกับการอ่านหนังสือก็ตาม”

นี่คือส่วนแรกในคำนำของบันทึกของหวังจือเช่อ มองดูส่วนแรกนี้ เฉินฉางเซิงเกิดความรู้สึกใกล้ชิดสนิทสนมอย่างมากชนิดหนึ่ง เหมือนกับตอนที่รู้ประวัติของโก่วหานสือก่อนการชุมนุมไม้เลื้อย แม้รู้ว่าเป็นคู่แข่ง เขาก็ยังคงรู้สึกถึงความใกล้ชิดสนิทสนมที่มีต่อโก่วหานสือ เพราะว่าโก่วหานสือ เขาก็เป็นคนที่ชอบอ่านหนังสือเช่นกัน

“ที่จวนอ๋องเมืองเทียนเหลียงระหว่างทางมาจิงตู ข้าเจอท่านเจ้าเมืองในตอนนั้น เขาคือจักรพรรดิ ไท่จู่ในเวลาต่อมา หลังจากนั้นอีก ข้าพบเจอฉีอ๋อง ภายหลังของหลังจากนั้น ข้าเจอเขาอีกครั้งที่ลั่วหยาง และพี่ใหญ่ อ้อ และที่แหล่งน้ำปนเปื้อนในซอยหนึ่งของลั่วหยางเช่นกัน ข้าพบเจอเฉินเอ๋อร์ จึงแวะพักที่นั่น”

“กระดาษที่ลั่วหยางแพง อะไรก็แพง แค่ขนมปังอบโอ่งก็ขายแพงกว่าที่อื่น ยิ่งตอนนั้นเป็นช่วงเวลาสงคราม หลังเงินทองใช้หมดนางคิดอยากจะกลับไปทำงานเดิม ข้ารู้สึกว่าการฆ่าคนมันไม่ดี นางถามข้าว่าจะเลี้ยงปากเลี้ยงท้องอย่างไร ข้าคิดไปคิดมา ยังคงต้องเข้าจิงตูไปเหมือนเดิม แม้ว่าจะสอบสำนักเทียนเต้าไม่ติด ก็ยังสามารถไปขายตำราปลอมนอกสุสานเทียนซู ข้าคิดตลอดว่าตัวเองเป็นนักเรียนที่ไม่มีอะไรดีเลย มีแค่ลายมือยังพอใช้ได้”

“นางตามข้ามายังจิงตู แล้วก็ไม่จากไปไหนอีก แม้คิดจะออกไปก็ไม่ได้ เพราะทหารของจักรพรรดิไท่จู่ล้อมรอบจิงตูไว้ ตั้งแต่ตอนนั้นข้าเพิ่งรู้ว่า แท้จริงแล้วหลังจากพี่ใหญ่ออกจากลั่วหยาง ก็ไม่คิดว่าจะกลับมาอีก วันสุดท้ายที่เมืองแตก ข้ากับเฉินเอ๋อร์นั่งอยู่บนเรือ มองดูฉีอ๋องผ่านสะพานหน่ายเหอที่ยิ้มแย้มขี่อาชาเขาเดี่ยวสีขาวเข้ามา คิดว่าชีวิตวันต่อมาน่าจะดีขึ้น”

“ฝ่าบาทขึ้นครองราชย์หน้าสุสานเทียนซู ทหารเผ่ามารกลับมา จากนั้นผ่านไปสองปี เผ่ามารก็บุกมาอีก ฉีอ๋องมาหาพวกเราพูดคุยสัพเพเหระที่โรงเตี๊ยมเป็นครั้งคราว สามารถดูออกได้ว่า อารมณ์ของเขายิ่งมายิ่งไม่ดี ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอาชาเขาเดี่ยวที่เขาชอบมากที่สุดตายที่ที่ราบลั่วหลิ่ว หรือว่าเป็นเพราะสาเหตุที่ฝ่าบาทแต่ไหนแต่ไรไม่ยอมยืนยันว่าใครเป็นรัชทายาท มีวันหนึ่งดื่มสุรามากเกินไป เขาจ้องมองตาข้าแล้วพูดว่า ตั้งแต่ที่เมืองลั่วหยาง ก็คิดจะให้ข้าไปช่วยเหลือเขาตลอด ข้าไม่ค่อยเข้าใจ ข้าเป็นแค่นักเรียนที่ไม่มีกำลังอะไรเลย จะช่วยเหลืออะไรเขาได้ อีกทั้งยัง…ข้ามาจิงตู เพียงแค่จะเข้าไปอ่านหนังสือในสำนักเทียนเต้า”

“ข้าสอบติดสำนักเทียนเต้า เริ่มอ่านหนังสือ ได้ใช้ชีวิตตามที่ต้องการ แต่นางกลับไม่ชอบการใช้ชีวิตแบบจืดชืด ข้าพานางไปพระราชวังหลีดูไม้เลื้อย ไปดูต้นไทรย้อยที่สำนักฝึกหลวง นางล้วนไม่ชอบ บอกว่าป่าในสวนแสงสุริยะแน่นเกินไป ต้นไทรย้อยใหญ่สูงใหญ่เกินไป และที่สำคัญที่สุด คลองฉวี่เจียงและทะเลสาบในสำนักฝึกหลวงล้วนสงบเงียบ มีอยู่คืนหนึ่ง ข้าอ่านบันทึกจิปาถะแล้วขำออกมา นางฝืนยิ้ม พูดว่าอ่านอักษรเหมือนมองบรรพต จะชมชอบความสงบก็หาไม่* มีเพียงแค่คนอย่างข้าเท่านั้นถึงจะทนใช้ชีวิตที่น่าเบื่อไปวันๆ ได้ ข้าเข้าใจความหมายของนาง กลับไม่อยากต่อคำ ทำได้แค่เพียงเงียบขรึม”

“ต่อมา ในที่สุดนางก็ไปจากจิงตู ไม่รู้ว่าไปเมืองเสวี่ยเหล่าหรือไม่ก็ไปตามหาร่องรอยของพี่ใหญ่ อย่างไรก็ตามนางจากข้าไป ข้าคิดวิเคราะห์อย่างตั้งใจทั้งสามคืนสามวัน มั่นใจว่าตัวเองไม่สามารถเปลี่ยนแปลงอะไรได้ จึงอ่านหนังสือต่อ เพียงแต่เวลาว่างจากการอ่านหนังสือ เริ่มขบคิดเรื่องบำเพ็ญขึ้นมา ข้าเข้าใจมาตลอด เพื่อนฝูงก็เข้าใจมาตลอดว่าข้าไม่มีคุณสมบัติในการบำเพ็ญ ยิ่งพรสวรรค์อย่าได้พูดถึง และแล้วก็ไม่รู้เพราะสาเหตุอะไร อายุเกินสี่สิบถึงเริ่มบำเพ็ญอย่างข้า กลับไม่ได้พบอุปสรรคตามที่ข่าวลือบอกไว้ ข้าใช้เวลาหนึ่งคืน ก็เกือบเข้าใจทั้งหมดว่าอะไรคือการบำเพ็ญ ในคืนนั้นอาจเป็นเพราะการเคลื่อนไหวมันยิ่งใหญ่เกินไป จึงทำให้คนจำนวนมากแตกตื่น เพราะฉะนั้น มันช่างประหลาดยากแก่การเข้าใจอย่างยิ่ง ข้ากลายเป็นคนดังในจิงตู ฉีอ๋องถือพระบรมราชโองการของจักรพรรดิไท่จู่ บังคับทื่อๆ ให้ข้าเข้าราชสำนักทำหน้าที่เป็นขุนนาง หลายคนคิดว่าข้าภูมิใจที่ตนเองเกิดการเคลื่อนไหวในคืนนั้น เป็นเพราะความสามารถด้านการบำเพ็ญจึงได้ใจ ความจริงแล้ว เรื่องที่ตัวเองได้ใจ แท้จริงแล้วกลับเป็นเกมเล็กๆ ที่ตัวเองประดิษฐ์ขึ้นมาในจิงตูได้ถูกกระจายส่งต่อไปเรื่อยๆ ทั่วดินแดนต้าลู่ อย่างไรก็ตาม ข้ากลายเป็นคนดัง เริ่มเข้าออกจวนของขุนนางเลื่องชื่อ ท่านอ๋องบางท่านในนั้นรวมถึงฉีอ๋องล้วนมีความสัมพันธ์ที่ดีกับข้า ชีวิตในแต่ละวันเหมือนจะกลับมามีความสุขอีกครั้ง นอกจากนางที่ไม่เคยกลับมาอีก”

“วันเวลาที่เงียบสงบมีความสุข สุดท้ายก็ไม่สามารถยื้ออยู่ได้นาน ข้าเข้าใจเหตุผลนี้ เพียงแต่ไม่คิดว่าจุดสิ้นสุดของช่วงวันเวลาดีๆ เช่นนี้ จะมากะทันหันอย่างนี้ ในคืนมืดสนิทคืนหนึ่ง จิงตูอยู่ๆ ก็มีรักษาการณ์เข้มงวด บ้านของข้ามีแขกมาสองท่าน พวกเขาเป็นอาคันตุกะคนสำคัญของจวนฉีอ๋อง พวกเขาต้องการให้ข้าทำเรื่องบางอย่าง หลังข้าคิดแล้วคิดอีก ไม่ได้ตกลง แต่ก็ไม่เคยคิดที่จะไปรั้งฉีอ๋อง ข้ารู้ว่าจากลักษณะนิสัยของเขาแล้ว ไม่มีใครสามารถหยุดรั้งการก้าวเท้าไปข้างหน้าของเขาได้ เช้าวันที่สอง รถม้าเริ่มขนร่างศพออกไปนอกเมือง ข้ายืนอยู่บนเรือนมองไปยังทิศของสวนร้อยหญ้า มองดูควันสีขาวที่ค่อยๆ ลอยขึ้น อธิษฐานไม่อยากให้คนตายมากเกินไปอย่างเงียบๆ อย่างน้อยท่านอ๋องที่ข้ารู้จักและคุ้นเคยก็อย่าได้ตายไปเสียหมดก็พอ เสียดายที่ไม่เป็นไปตามหวัง ท่านอ๋องเหล่านั้นในที่สุดก็ตายอยู่ดี รวมถึงภรรยาและลูกสาวลูกชายของพวกเขา”

“ข้านั่งแน่นิ่งอยู่ในบ้านเป็นเวลาสามวัน ไม่ออกจากบ้าน ไม่ไปถามหาข่าวสาร เขาและอาคันตุกะคนสำคัญสองท่านที่ถูกจวนฉีอ๋องส่งมาต่างจ้องมองซึ่งกันและกัน เงียบขรึมไม่พูดจา ในที่สุด ฉีอ๋องจัดการเรื่องข้างนอกเสร็จ มาหาข้าด้วยตนเอง อยู่ในเวลากระชั้นเช่นนี้ ไม่คิดว่าเขาจะหาเวลาปลีกกายมาพบข้าโดยเฉพาะ ข้าไม่รู้ว่าควรรู้สึกเป็นเกียรติหรือควรรู้สึกระมัดระวัง ฉีอ๋องบอกว่าไม่ถือสาอะไรที่ข้าไม่มีปฏิกิริยาไม่กี่วันที่ผ่านมา แต่ต้องการให้ข้าแสดงท่าทีให้ชัดเจนต่อประชาชนในจิงตูตอนนี้ ข้าได้แต่เงียบ เขาจ้องมองตาข้า ถามว่าตกลงจะวางท่าทีอย่างไรกันแน่ ข้าคิดแล้วคิดเล่าแล้วพูดว่า ข้าไม่มีท่าทีใดๆ และแล้วกลายเป็นเขาที่เป็นคนเงียบขรึม แล้วหันหลังจากไป นั่นคือครั้งสุดท้ายที่ข้าและเขาคุยกันในฐานะสหาย เพราะภายหลังข้าถึงได้รู้ว่า ในตอนเช้าวันนั้น เขาขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการแล้ว กลายเป็นจักรพรรดิแห่งต้าโจว”

“ข้าไม่ได้ถูกปลดตำแหน่ง ไม่ได้ถูกกักขัง ไม่ได้ถูกจำคุก ข้าเพียงแค่ถูกราชสำนักและผู้คนที่เคยรู้จักคุ้นเคยตั้งใจลืมไว้ในบ้านที่ตรอกธารอาดูร ยังมีอีกคนหนึ่งที่ถูกตั้งใจหลงลืมอย่างข้า ก็คือจักรพรรดิไท่จู่ ฉีอ๋อง…ไม่ น่าจะเรียกว่าฝ่าบาท หรืออาจเป็นเพราะอยากแสดงความกตัญญู เกรงว่าจักรพรรดิไท่จู่จะเบื่อหน่ายกับการอยู่ในส่วนลึกของพระราชวัง แล้วเกิดเรื่องไม่คาดคิดขึ้น หรืออาจเป็นเพราะยังจำมิตรภาพที่มีต่อกันได้ กลัวว่าข้าอยู่ในบ้านจะเบื่อหน่ายจนเกินไปแล้วเกิดเรื่อง จึงออกโองการแต่งตั้งให้ข้าขึ้นเป็นราชการเลขา ให้ข้าเข้าวังไปอยู่เป็นเพื่อนจักรพรรดิไท่จู่”

“ต้องพูดแน่นอน ช่วงเวลาที่ใช้ชีวิตอยู่ในส่วนลึกของพระราชวังนั้นมีความหมายอย่างยิ่ง ระยะเวลาไม่กี่เดือนอันสั้น ไท่จู่ราวกับชราไปหลายร้อยปี กลายเป็นคนชราที่แท้จริง ไม่เหมือนสมัยก่อนที่โกรธง่ายหายเร็วไม่ถือเรื่องใดเป็นจริงจัง กลับกลายเป็นมีความเมตตามาก ไม่สนใจเรื่องแผ่นดินอีก แน่นอนว่าเขาก็ไม่มีทางไปใส่ใจ และไม่มีใครอนุญาตให้เขาใส่ใจอีก เขาเริ่มใส่ใจความแพ้ชนะของไพ่บนโต๊ะรวมถึงความสวยงามของนางใน สำหรับเรื่องหลัง ข้าถวายคำทัดทานหลายรอบ เขาไม่ค่อยชอบฟัง สำหรับเรื่องหน้า เรื่องไพ่บนโต๊ะเขายากที่จะชนะข้า ทว่านั่นกลับยิ่งทวีความสนใจของเขา ที่พระราชวังส่วนลึกแห่งนี้เต็มไปด้วยไม้เลื้อย ที่ข้างโต๊ะไพ่ใต้แผงแตง ข้าเล่นกับคนชราหลายตามาก ว่างเว้นจากการเล่นไพ่ก็จะพูดคุยกัน ฉะนั้นข้าได้ฟังเรื่องเล่ามากมาย แล้วจดจำเอาไว้ในใจมาตลอด”

เฉินฉางเซิงมองดูเหล่าตัวหนังสือในบันทึก ยากที่จะสงบจิตใจ

เหล่านี้ล้วนเป็นคำบรรยายของหวังจือเช่อ เป็นความทรงจำของคนที่มหัศจรรย์แห่งยุครุ่นหนึ่ง เขาพูดได้อย่างซับซ้อน และดูกะทัดรัดอย่างยิ่ง แต่กลับพรรณนาประสบการณ์ชีวิตของตนเองอย่างชัดเจน และช่วงเวลนั้นพอดีเป็นช่วงที่เกิดเรื่องราววุ่นวายมากที่สุดในต้าลู่ ฉะนั้นพวกบันทึกเหล่านี้แน่นอนว่าส่งผลกระทบบางอย่างที่รุนแรง

เห็นคำพูดเหล่านี้ในบันทึก เขาราวกับเห็นหวังจือเช่อในปีนั้น นั่นเป็นนักเรียนหนุ่มที่เข้าเมืองเพื่อสอบโดยไม่หวังตำแหน่งขุนนาง เดินทางหมื่นลี้มาถึงจิงตูเพื่ออ่านหนังสือหมื่นม้วน ใครจะเคยคิดว่าระหว่างทาง ได้เห็นเงากลับหัวของผู้หญิงคนหนึ่งในเมืองลั่วหยาง สายตาของนักเรียนคนนั้นจึงเห็นทิวทัศน์มากมายเกิดขึ้น หยุดการก้าวเท้าลง

นักเรียนหนุ่มในที่สุดก็เริ่มเดินทางอีกครั้ง ถึงจิงตูซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางของตนเอง ไม่เคยลืมเป้าหมายแรกสุดของปีนั้น ทว่ากลับไม่สามารถใช้ชีวิตตามความคิดที่เคยมีไว้ ทิวทัศน์ในสายตาเปลี่ยนไปมาก เงากลับหัวของผู้หญิงแตกสลายกลายเป็นความว่างเปล่า เขาเริ่มดำรงตำแหน่งข้าราชการ กลายเป็นคนดังของจิงตู จากนั้นถูกบีบให้เข้าไปที่โลกที่เขาไม่อยากเข้า และก็ไม่เคยชื่นชอบอีกด้วย

อ่านถึงตรงนี้ อารมณ์ของเฉินฉางเซิงค่อยๆ ตื่นเต้นขึ้นมา บันทึกการเดินทางหรือคำบรรยายของหวังจือเช่อ จนถึงการบันทึกตรงนี้ ก็กำลังจะเข้าสู่ส่วนสำคัญ อีกทั้งเป็นส่วนที่เขาอยากจะรู้มากที่สุดเสียด้วย ช่วงเวลาที่ไท่จู่ถูกกักขังในส่วนลึกของพระราชวัง แท้จริงแล้วเขาพูดกับหวังจือเช่อในเรื่องอะไรบ้าง หรือว่า ต่อจากนี้อาจจะได้เห็นวิธีท้าลิขิตพลิกโชคชะตาของตนเอง

“สำหรับจักรพรรดิไท่จู่นั้นมีคำเลื่องลือมากมาย คำเลื่องลือที่มีชื่อเสียงมากสุดในนั้นแน่นอนว่าก็คือการท้าลิขิตพลิกโชคชะตา บนแผ่นดินต้าลู่มีวิธีพูดหนึ่งที่เล่าลือกันมาตลอด หลายปีที่แล้ว ไท่จู่ได้รู้จักกับหัวหน้าลัทธิเต๋าในรุ่นนั้น ก็คือสังฆราชรุ่นที่แล้วของพระราชวังหลี ใช้วิธีลับอย่างหนึ่งโดยการบูชาท้องฟ้าดวงดาว จากนั้นก็ท้าลิขิตพลิกโชคชะตาฟ้าได้สำเร็จ ดาวจักรพรรดิในท้องฟ้าค่ำคืนส่องสว่างเจิดจ้าเหนือดินแดนต้าลู่ชั่วนิรันดร์ และหลังจากการเปลี่ยนแปลงของสวนร้อยหญ้า ในคำเลื่องลือก็มีเนื้อหาเฉพาะเจาะจงเกี่ยวกับการบูชาท้องฟ้าดวงดาวมากกว่าเดิม ล้วนบอกว่าไท่จู่เพื่อการท้าลิขิตพลิกโชคชะตาของตัวเอง ยอมที่จะเหลือเพียงบุตรชายคนเดียวเป็นผู้ทอดของตระกูล บุตรคนอื่นๆ ล้วนนำไปถวายเป็นการบูชาให้กับท้องฟ้าดวงดาว…และแล้วหลังจากการขึ้นครองราชย์สำเร็จของไท่จู่ กลับไม่อยากทำตามที่เคยสัญญาไว้ในปีก่อน ความจริงแล้ว บรรดาบุตรชายของเขาเก่งกล้าสามารถปานนั้น จะให้ผู้ใดไปตายได้? ยิ่งไปกว่านั้นคือผู้ใดจะยอมไปตาย?”

“ข้าไม่รู้ว่าฉีอ๋องและเหล่าท่านอ๋องทั้งหลายเคยได้ยินเสียงลือเสียงเล่าอ้างเช่นนี้หรือไม่ แม้ว่าจะได้ยิน แล้วจะเชื่อคำเลื่องลือนี้หรือไม่ แต่ไม่ว่าคำเลื่องลือจะจริงหรือไม่ เพียงแค่ปรากฏ เพียงแค่ถูกได้ยิน ในใจพวกเขาจากกิ่งไม้แห้งล้วนเปลี่ยนเป็นอสรพิษที่น่ากลัว กัดกินหัวใจพวกเขาอย่างต่อเนื่อง ตั้งแต่โจมตี ลั่วหยางแตกจนกระทั่งถึงจิงตู เหล่าบุตรชายที่โดดเด่นของไท่จู่ รักษาความสัมพันธ์อันดีไม่ได้มาตลอด ทั้งหมดล้วนเกี่ยวข้องกับเก้าอี้บัลลังก์ ตอนนี้คิดดูแล้ว ก็มีความเกี่ยวข้องกับคำเลื่องลือนั้นอย่างมากเช่นกัน ต้องยอมรับว่า บุตรชายของไท่จู่แต่ละคนล้วนปรีชาสามารถ แต่ฝ่าบาทถึงจะเป็นผู้ยิ่งใหญ่มากสุดในนั้น ตอนที่บรรดาท่านอ๋องยังคงชิงดีชิงเด่นเพื่อให้มีผลกระทบกับการตัดสินใจของไท่จู่ รอคอยการวางแผนของโชคชะตา ฝ่าบาทกลับไม่ลังเลแม้แต่นิดที่จะชิงลงมือก่อน ฆ่าพี่น้องตัวเองทั้งหมด…”

“ข้าเคยถามจักรพรรดิไท่จู่ ตกลงจริงๆ แล้วมีเรื่องการท้าลิขิตพลิกโชคชะตาหรือไม่ วันนั้นเขาดื่มจนเมาไปแล้ว ริ้วรอยความชราบนพระพักตร์ชัดเจนอย่างยิ่ง เขาหัวเราะเหมือนเด็กๆ ยังเหมือนสุนัขจิ้งจอกอีกด้วย เขาไม่ได้ตอบคำถามข้าตรงๆ เพียงแต่พลางร่ำสุราพลางร้องเพลงท้องถิ่นของเมืองเทียนเหลียงไปด้วย สัปหงกแล้วสัปหงกอีก ราวกับว่ากำลังจะล้มพับหลับไปในพริบตา”

*อ่านอักษรเหมือนมองบรรพต จะชมชอบความสงบก็หาไม่ แปลว่า อ่านบทความก็ควรอ่านแล้วให้ความรู้สึกเหมือนการชมภูเขาที่มีทิวทัศน์แปลกใหม่อยู่ตลอดเวลา ไม่ใช่เพียงความเรียบง่ายจืดชืด, ต่อต้านความเรียบง่าย