หยวนเหยาและเหยียนลี่เห็นนหญิงงามอยู่ที่นี่ ใบหน้าพลันหดเหลือสองนิ้ว สีหน้าซีดเผือด

 

 

“ที่แท้ก็ครึ่งภูตทั้งสองนี่เอง ข้าก็ว่าอยู่ว่าหนีออกจากเขตอาคมได้อย่างไร!”

 

 

ผู้ที่สวมชุดเกราะสีม่วงซึ่งไม่รู้ว่ามีประวัติความเป็นมาใด พิจารณาสตรีทั้งสองสองสามแวบก็มองหยวนเหยาและเหยียนลี่ออก แล้วจึงไม่ได้สนใจอีก

 

 

และกวาดสายตาไปตกอยู่บนร่างของหานลี่

 

 

แทบจะในพริบตานั้นหานลี่พลันรู้สึกว่ามีจิตสัมผัสอันน่าขนลุกกวาดมาบนเรือนร่างของตนเอง ท่าทางเหมือนอยากมองตนเองให้ทะลุปรุโปร่ง

 

 

หานลี่ขมวดคิ้วโคจรคาถาขับเคลื่อนภายในร่าง ชั่วขณะนั้นพลันกั้นจิตสัมผัสของอีกฝ่ายกว่าครึ่งเอาไว้นอกกาย

 

 

ในเวลาเดียวกันจิตสัมผัสก็กวาดไปทางคนผู้นั้น

 

 

ผลคือผู้ที่สวมชุดเกราะสีม่วงพลันเปล่งเสียงร้องอุทานออกมาในเวลาเดียวกัน หานลี่พลันหน้ากระตุก

 

 

ขุนพลผู้นี้มีร่างกายเย็นเยียบ คาดไม่ถึงว่าจะไม่ใช่ร่างที่มีเลือดเนื้อ แต่ในร่างกลับไม่มีพลังภูตทมิฬอะไรเลย

 

 

หลังจากกวาดจิตสัมผัสไปที่ขุนพลคนอื่นๆ อีกสองคนรวมทั้งทหารเกราะโลหิตแล้ว นอกจากอสูรประหลาดที่ลากรถเหล่านั้นแล้ว ก็ไม่มีท่าทีมีชีวิตเลยสักนิดเช่นกัน

 

 

“หุ่นเชิด!”

 

 

ในหัวของหานลี่มีลำแสงสว่างวาบ เมื่อมองฐานะของเหล่าขุนพลชุดเกราะสี่มองออกแล้ว ใบหน้าก็มีความตะลึงงันขนาดไหนไม่ต้องคิดก็รู้แล้ว

 

 

ดูจากท่าทางของหุ่นเชิดเหล่านี้ ดูเหมือนว่าจะควบคุมเหล่าภูตในแดนแม่น้ำอเวจี มิเช่นนั้นเมื่อครู่คงไม่กล่าวเช่นนี้ออกมา

 

 

ทหารเกราะสีแดงโลหิตที่อยู่ด้านหลังขุนพลทั้งสามนั้นไม่ต้องพูดถึง หุ่นเชิดขุนพลทั้งสามมีกลิ่นอายที่แปลกประหลาด น่าจะถูกสิ่งมีชีวิตที่มีอิทธิฤทธิ์มากมายสิงร่างอยู่

 

 

มู่ชิงและหญิงงามไม่ได้ลงมือจัดการกับหุ่นเชิดเหล่านี้ในทันที เห็นได้ชัดว่ากำลังของหุ่นเชิดตัวนี้น่าจะไม่ด้อยไปกว่าสตรีทั้งสองรวมทั้งทหารทมิฬเหล่านั้น

 

 

มิเช่นนั้นจะเกิดเหตุการณ์ยืนต่อกรอย่างไม่ยอมอ่อนข้อให้กันได้อย่างไร คงถูกสตรีทั้งสองสำแดงอิทธิฤทธิ์เกรียงไกรสังหารไปจนเกลี้ยงแล้ว

 

 

ส่วนลิ่วจู๋และตัวประหลาดเฒ่าตี้เสวี่ยนั้นไม่ได้อยู่ที่นี่ เมื่อเชื่อมโยงกับเสียงคำรามของภูตเ**้ยมที่ดังออกมาจากม่านหมอกเมื่อครู่แล้ว ดูแล้วทั้งสองก็น่าจะถูกกักอยู่ข้างในยังไม่อาจออกมาจากม่านหมอกได้

 

 

ความคิดของหานลี่เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว ขบคิดเช่นนี้ออกมา

 

 

“พวกเจ้าสองคนมานี่+” ฉับพลันนั้นมู่ชิงพลันกวักมือเรียกหานลี่

 

 

แม้ว่าหานลี่จะอยู่ห่างออกไปหนึ่งร้อยยี่สิบก้าว ก็ทำได้เพียงกลายเป็นลำแสงหลีกหหนีบินเข้าไปอย่างใจดีสู้เสือ

 

 

“คารวะท่านอาวุโสทั้งสอง+” เมื่อหานลี่มาอยู่ตรงหน้ามู่ชิงและพวกทั้งสอง ก็ประสานมือคารวะแล้วเอ่ยอย่างนอบน้อม

 

 

“สหายหานจิตวิญญาณทองอยู่กับบเจ้าหรือไม่? ครานี้มันอยู่ที่ใด?” สิ่งที่อยู่นอกเหนือความคาดหมายของหานลี่ก็คือ มู่ชิงไม่ได้ซักถามเรื่องที่หานลี่และพวกหนีออกมาจากหมอกภูต กลับถามถึงวานรสีทองตนนั้น

 

 

“ชนรุ่นหลังเองก็ไม่แน่ใจ ก่อนหน้านี้พี่จินและชนรุ่นหลังถูกภูตกระโจนเข้าใส่ม่านหมอก จึงคลาดกันไปนานแล้ว” นี่ไม่ใช่สิ่งที่ควรปิดบังอะไร หานลี่จึงตอบกลับไปอย่างซื่อสัตย์

 

 

“คลาดกัน!” มู่ชิงพลันขมวดคิ้ว

 

 

“ท่านอาวุโสมู่ ตรงข้ามนี้ใครหรือ อีกฝ่ายเป็นผู้วางหมอกภูตเหล่านี้หรือ?” หานลี่กวาดสายตาไปยังหุ่นเชิดฝั่งตรงข้ามแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยถามอย่างแช่มช้า

 

 

“ข้าและสหายหลานเพิ่งจะออกจากหมอกนี้ได้ไม่นาน เดิมทีคิดจะสำแดงอิทธิฤทธิ์ทะลวงเขตอาคมทั้งหมดไป ผลคือถูกเจ้าพวกนี้ขวางเอาไว้ และยังไม่ทันได้ซักถามให้ละเอียด ทว่าครั้งที่แล้วตอนที่เข้ามาที่นี่ก็ไม่เคยพบเจ้าพวกนี้ เดาว่าน่าจะเหมือนกับพวกเรา เป็นคนภายนอกที่เข้ามาในแดนเหวพสุธา” มู่ชิงเองก็รู้สึกระแคะระหายขึ้นมา

 

 

“คนภายนอก!” หานลี่หน้าเปลี่ยนสี

 

 

“สหายหานน่าจะรู้แล้วว่าผู้ที่อยู่ตรงข้ามเป็นกองทัพหุ่นเชิดสินะ แต่กลับไม่อาจประมาทได้ หัวหน้าหุ่นเชิดสามตนนั้นไม่ธรรมดา แม้แต่พวกเราลงมือเองก็ไม่มั่นใจว่าจะสังหารมันได้จริงๆ” มู่ชิงมีน้ำเสียงเคร่งขรึมหลายส่วน มองไปยังฝั่งตรงข้าม

 

 

อีกด้านสตรีผู้งดงามผมขาวไม่ทันได้ตอบคำถามหยวนเหยาและพวกสตรีทั้งสองที่อยู่ข้างหาย กดลับมองไปยังหุ่นเชิดขุนพลสามคนที่อยู่ไกลออกไปแล้วเอ่ยถามอย่างเย็นชา

 

 

“ข้าไม่สนว่าพวกเจ้าจะเป็นอะไร แค่จะถามพวกเจ้าอีกครั้ง พวกเจ้าจะถอนเขตอาคมด้านล่างหรือไม่?”

 

 

“ถอนเขตอาคม? อย่าเพ้อฝันไปหน่อยเลย! คนภายนอกอย่างพวกเจ้ากล้าบุกเข้ามาในแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแมลงเม่าอย่างพวกเรา และยังคิดจะเอาสิ่งศักดิ์สิทธิ์ของพกวเราอีก ครั้งแรกผู้ที่บุกเข้ามาก็คือพวกเจ้าสินะ และยังเกือบจะถูกพวกเจ้าได้ไป ครั้งนี้จะไม่มีทางปล่อยให้พวกเจ้าไปจากที่นี่แน่” ขุนพลเกราะสีม่วงเย็นชาเอ่ยด้วยเสียงเ**้ยมเกรียม

 

 

“เผ่าแมลงเม่า!” หญิงงามผมขาวหน้าเปลี่ยนสี มู่ชิงที่อยู่ด้านก็ใจเต้นระรัว

 

 

หานลี่กลับขมวดคิ้ว ในหัวไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเผ่าประหลาดนี้เลยสักนิด

 

 

“พวกเจ้ารู้จักเผ่าเรา? ก็ดี หากพวกเจ้ายอมให้จับเสียโดนดี บางทีก็อาจจะไว้ชีวิตพวกเจ้าได้ มิเช่นนั้นต่อให้ครั้งนี้หนีไปได้ เผ่าเราก็จะส่งคนไปสังหารเจ้าที่แดนวิญญาณ” ขุนพลเกราะสีม่วงรู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย แต่ทันใดนั้นก็เอ่ยอย่างแข็งๆ ออกมา

 

 

เมื่อได้ยินคำข่มขู่ของขุนพลชุดเกราะสีม่วง หญิงงามผมขาวและมู่ชิงมองสบตากันแวบหนึ่ง ใบหน้าพลันปรากฎสีหน้าเคร่งขรึมขึ้น

 

 

จากนั้นทั้งสองก็ถ่ายทอดเสียงกันตรงมุมปาก

 

 

ขุนพลชุดเกราะสีม่วงเห็นเช่นนั้น พลันหัวเราะอย่างเย็นชา และไม่ได้ขัดขวางอะไร

 

 

เมื่อการถ่ายทอดเสียงดำเนินต่อไป สีหน้าของหญิงงามผมขาวพลันบัดเดี๋ยวเคร่งขรึมบัดเดี๋ยวสดใส ส่วนมู่ชิงสตรีผู้นั้นแค่ขมวดคิ้ว แววตาเปล่งประกายสว่างวาบ เหมือนว่าจะคิดอะไรออก

 

 

“พวกเจ้าบอกว่าที่นี่คือแดนศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าแมลงเม่า คำพวกนี้ต้องมีคนเชื่อถึงจะใช้ได้ เผ่าแมลงเม่าเปลี่ยนมาฝึกฝนพลังภูตทมิฬตั้งแต่เมื่อไหร่กัน!” หญิงงามผมขาวกลับตอบกลับเช่นนี้

 

 

“เรื่องนี้พวกเจ้าไม่จำเป็นต้องรู้! พวกเจ้าคิดว่าอากาศที่เกิดขึ้นรอบๆ น้ำของแม่น้ำอเวจีเกิดขึ้นโดยธรรมชาติหรือ?” ขุนพลชุดเกราะสีม่วงตอบกลับอย่างคลุมเครือ

 

 

หญิงงามและมู่ชิงหน้าเปลี่ยนสีไปเล็กน้อย รู้สึกเชื่อคำพูดของอีกฝ่ายไปแล้วสองสามส่วน

 

 

“หึ ใครจะรู้ว่าพวกเจ้าคือเผ่าแมลงเม่าจริงหรือว่าแอบอ้างมา ต่อให้พวกเจ้าเป็นเผ่าแมลงเม่าจริงๆ ก็มีเพียงสิ่งมีชีวิตระดับแมลงเม่าสวรรค์อยู่ที่นี่เท่านั้น พวกเราถึงจะหวาดกลัว ครานี้มีแค่สิง่ที่สิงร่างหุ่นเชิดเท่านั้น ยังจะกล้าพูดว่าให้พวกเรายอมจำนนนอีก” หลังจากขบคิดเล็กน้อย หญิงงามผมขาวมีสีหน้าโหดเ**้ยมฉายแวบผ่าน

 

 

มู่ชิงไม่ได้เอ่ยปากห้ามปรามอะไร แต่ใบหน้าพลันมีไอสีเขียวชั้นหนึ่งปรากฎขึ้น!

 

 

ขุนพลเกราะสีม่วงได้ยินเสียงเหล่านี้ ดวงตาภายใต้หน้ากากพลันมีลำแสงสีแดงเปล่งแสงสว่างวาบ ไม่พูดอะไรไร้สาระอีก มือหนึ่งตบไปที่อสูรประหลาดที่เหมือนกับแรด

 

 

ชั่วขณะนั้นอสูรตัวนี้พลันชูคอขึ้น สูดลมหายใจเข้าแรงๆ

 

 

เสียง “ซู๊ด” ดังขึ้น อากาศรอบๆ เหมือนถูกดูดให้จนหมด อ้าปากออกอีกครั้ง คำรามเสียงต่ำๆ ออกมา พ่นลูกบอลลำแสงสีเขียวกลุ่มหนึ่งที่เปล่งแสงเจิดจ้าออกมา ตรงไปยังหญิงงามและพวก

 

 

เสียงระเบิดดังสนั่นมาจากลูกบอลลำแสงสีเขียวที่กำลังหมุนวน!

 

 

หญิงงามมีสีหน้าเคร่งขรึม สองมือพลันร่ายอาคม แผ่นหลังมีลำแสงสีเทาเปล่งแสงสว่างวาบ เงาภูตขนาดยักษ์ผมเผล้ากระเซอะกระเซิงปรากฎขึ้น ร่างขยายขนาดขึ้นเรื่อยๆ อ้าปากออก ลูกบอลสีดำกลุ่มหนึ่งพุ่งออกมาเช่นกัน

 

 

เมื่อลูกบอลลำแสงสองลูกสัมผัสกัน เสียงสั่นสะเทือนฟ้าสะเทือนดินพลันปรากฎขึ้น!

 

 

ลำแสงสีเขียวและลำแสงสีดำตัดสลับพัวพันกัน ระหว่างคนสองกลุ่มมีเมฆยักษ์รูปเห็ดปรากฎขึ้น พวยพุ่งขึ้นไปกลางอากาศพร้อมกับเสียงดังก้อง

 

 

หญิงงามเห็นเช่นนั้น ดวงตาทั้งสองพลันฉายแววโหดเ**้ยมอย่างต่อเนื่อง อ้าปากออกเปล่งเสียงร้องแหลมสูงยาวๆ พลันดังขึ้น

 

 

ชั่วขณะนั้นทหารภูตหลายพันตัวที่ด้านหลังพลันกลายเป็นพายุสีดำทมิฬท่ามกลางการบัญชาของราชันย์ภูตแปดตัว หมุนวนไปยังฝั่งตรงข้าม

 

 

ขุนพลชุดเกราะสีม่วงที่อยู่ตรงข้ามแค่นเสียงด้วยความเย็นชา ยักไหล่ค้อนสีทองสองด้ามที่สะพายอยุ่ที่แผ่นหลังสั่นระรัวแล้วหายวับไปจากกลางอากาศ ครู่ต่อมาก็มาปรากฎในมือทั้งสองมือ

 

 

“แม้ว่าจะเป็นแค่หุ่นเชิด แต่ก็สามารถสำแดงกำลังของข้าได้ครึ่งหนึ่ง” ขุนพลชุดเกราะสีม่วงใช้น้ำเสียงที่แผ่วเบาราวกับกระซิบเอ่ยพึมพำกับตเนอง ทันใดนั้นก็สะบัดแขนทั้งสอง

 

 

ค้อนสีทองสองด้ามเปล่งเสียง “สวบ” บินออกมาจากพร้อมกัน หมุนคว้างากลางอากาศ ลำแสงสีทองหมื่นสายสร้างภาพค้อนมายาสีทองนับร้อยด้ามออกมากลางอากาศ ทุบลงมาด้านล่างอย่างเงียบเชียบ

 

 

เสียงกรีดร้องยาวๆ แปดสายเปล่งเสียงออกมาพร้อมกันท่ามกลางพายุทมิฬ จากนั้นเงาสีดำพลันเปล่งแสงสว่างวาบ ราชันย์ภูตเกราะทมิฬแปดตนปรากฎขึ้นกลางอากาศต่ำๆ บ้างก็โยนอาวุธมีดในมือออกมากลายเป็นสายรุ้งสีดำสองสามสาย บ้างก็ใช้สองมือโจมตีไปกลางอากาศ บ้างก็อ้าปากพ่นหมอกสีดำเป็นกลุ่มๆ ออกมา

 

 

ลำแสงสีดำต่างๆ แปดกลุ่มสลายออก กลายเป็นม่านลำแสงสีดำชั้นหนึ่ง

 

 

เงาค้อนสีทองจมเข้าไป ไม่อาจดิ้นรนออกมาได้ราวกับปลาที่ติดอยู่ในแหอย่างไรอย่างนั้น

 

 

“แค่ลูกไม้ตื้น!” ขุนพลสวมชุดเกราะสีม่วงแววตาเคร่งขรึม เอ่ยอย่างไม่แยแส เขาร่ายคาถาในใจ เงาค้อนสีทองในตาข่ายระเบิดออกมาในเวลาเดียวกัน

 

 

ม่านลำแสงสีดำถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ท่าามกลางลำแสงสีทอง จากนั้นลำแสงสีทองก็หนักอึ้งหมายจะปกคลุมราชันย์ปีศาจแปดตนเอาไว้ข้างใน

 

 

แต่ในตอนนั้นเองมู่ชิงพลันลงมือ

 

 

สตรีผู้นี้พลิกฝ่ามือฝ่ามือหนึ่ง ตะปบออกไปกลางอากาศ

 

 

ลำแสงสีทองที่อยู่ด้านล่างมีกลิ่นหอมคละคลุ้งโชยมาระลอกหนึ่ง ทันใดนั้นลำแสงวิญญาณหลากสีสันพลันเปล่งประกาย ดอกไม้ยักษ์จำนวนนับไม่ถ้วนปรากฎขึ้นกลางอากาศ

 

 

เสียงอึกทึกดังขึ้นเป็นระยะๆ เงาดอกไม้ช้อนลูกบอลลำแสงสีทองขึ้นมา ขวางเอาไว้กลางอากาศ

 

 

และเมื่อมีขนาดเช่นนี้ทหารภูตเกราะทมิฬพลันกลายเป็นพายุทมิฬ กระโจนเข้าไปฝั่งตรงข้าม

 

 

ขุนพลเกราะสีม่วงเองก็ไม่ได้พูดอะไร แค่โบกฝ่ามือมือหนึ่ง ชั่วขณะนั้นแถวหุ่นเชิดเกราะโลหิตที่มีคันธนูแกร่งด้านหลังก็ก้าวมาข้างหน้าหนึ่งก้าวทันที และง้างคันธนูออกในเวลาเดียวกัน

 

 

เสียง “ฟึ่บๆ” แหวกอากาศดังขึ้น ลูกธนูสีแดงโลหิตจำนวนนับไม่ถ้วนตกลงมายังพายุทมิฬราวกับห่าฝน

 

 

ลำแสงสีโลหิตเป้นกลุ่มๆ ระเบิดออกท่ามกลางพายุทมิฬ เปล่งแสงสว่างวาบแล้วหายไป เงาภูตเลือนรางเหล่านั้นทยอยกันตกลงจากบนท้องฟ้า

 

 

แต่ชั่วพริบตานั้นพายุทมิฬที่ราชันย์ภูตทั้งแปดควบคุมอยู่ ก็ถูกหุ่นเชิดเกราะโลหิตในกองทัพกระโจนเข้าไป

 

 

ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องสะเทือนฟ้าสะเทือนดินพลันดังขึ้น!

 

 

ไม่ว่าราชันย์ภูตแปดตนหรือว่าภูตทมิฬเกราะจันทราธรรมดา ล้วนไม่มีผู้ใดไปหาเรื่องหุ่นเชิดขุนพลทั้งสามและหุ่นเชิดทั้งสามก็ไม่ได้เห็นเหล่าทหารภูตอยู่ในสายตา แค่เอาความสนใจไปไว้ที่หญิงงามผมขาวและมู่ชิงที่อยู่อีกด้าน

 

 

ส่วนหานลี่ หยวนเหยา และเหยียนลี่ที่อยู่ด้านข้าง แน่นอนว่าย่อมถูกพวกเขามองข้าม

 

 

ส่วนสตรีทั้งสองนั้นแน่นอนว่าย่อมจ้องเขม็งไปยังหุ่นเชิดสามตนเช่นกัน

 

 

นอกจากหุ่นเชิดเกราะสีม่วงแล้ว นอกจากนี้หุ่นเชิดที่แต่งกายเป็นขุนพลสองตนกลับดูพิเศษจริงๆ

 

 

ตนหนึ่งสูงสี่ห้าจั้ง มีสามตา สองมือถือขวานยักษ์ด้านหนึ่ง สวมเกราะสงครามสีเขียวประหลาดๆ ผิวเต็มไปด้วยหนามแหลมสีดำ เปล่งแสงระยิบระยับ ทำให้ผู้คนเห็นแล้วรู้สึกขวัญผวา

 

 

อีกคนหนึ่งกลับสูงแค่สองจั้งเศษ สวมเกราะสงครามสีแดงสด สองหัวสี่แขน แขนทั้งสี่ถืออาวุธสี่ชนิดที่ไม่เหมือนกันทั้งดาบ กระบี่ ทวน ขวานเอาไว้

 

 

พวกเขานั่งและขี่อยู่บนสิ่งที่เหมือนกันทุกระเบียบนิ้ว ล้วนมีเรือนกายสีแดงโลหิต เป็นอสูรประหลาดนิรนามที่คล้ายกับกระบืออย่างไม่มีผิดเพี้ยน

 

 

ตั้งแต่ก่อนการประมือจนมาถึงตอนนี้ หุ่นเชิดสองตนนี้ล้วนเงียบขรึมไม่ปริปาก ราวกับว่าให้หุ่นเชิดเกราะสีม่วงเป็นผู้จัดการทุกอย่าง

 

 

แต่ในครานี้หุ่นเชิดสามตาผู้นั้นกลับเอ่ยปากกล่าวว่า

 

 

“ไม่จำเป็นต้องสู้จนตัวตายกับคนภายนอกเหล่านี้ ขอแค่ถ่วงเวลาพวกเขาเอาไว้สักสามเค่อ ข้าจะไปรายงานคนอื่น อีกเดี๋ยวพวกภูตอื่นๆ สังหารผู้ที่มาจากภายนอกอีกกลุ่มเสร็จ ก็จะมาเสริมทัพพวกเราแล้ว”