บทที่ 341 - โต้กลับ (1)

The Second Coming of Gluttony

บทที่ 341 – โต้กลับ (1)

เสาแสงขนาดใหญ่ได้ตกลงมาจากฟ้า

ในทันทีที่แสงเข้าปกคลุมตนไม้โลก สนามรบน้ำแข็งได้กลายเป็นเงียบกริบยิ่งกว่าเดิม

สหพันธรัฐ มนุษย์ และปรสิต ทุกๆคนต่างก็หันไปสนใจที่ยอดสุดของป้อมปราการไทกอล

นี่เป็นเรื่องธรรมดา การมีภาพอันสูงส่งงดงามปรากฏขึ้นตรงหน้าคงไม่มีใครจะเมินเฉยกับมันได้ ยิ่งกว่านั้นยังไม่มีใครรู้สักคนว่าปรากฏการณ์ตรงหน้านี้หมายความว่ายังไง

ซ่าาาา….

เสาแสงได้ค่อยๆจางลง ในเวลาเดียวกันต้นไม้ก็ได้ริ่มส่องประกายพิเศษออกมามากยิ่งขึ้น

กิ่งก้านอ่อนแอจำนวนนับไม่ถ้วนที่เหี่ยวเฉาได้ค่อยๆหนาขึ้น และมีใบสีเขียวปรากฏขึ้นจากกิ่งก้านเหล่านั้น

แสงที่ค่อยๆลดลงได้กระจายหายไป

ตอนนี้เมื่อถูกคืนชีพแล้ว อวตารของต้นไม้โลกได้เผยตัวเองขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

มันไม่ได้อยู่ในสภาพต้นไม้เหี่ยวเฉาเหมือนก่อนหน้านี้ ต้นไม้ยักษ์ได้ตั้งตะหง่านอยู่อย่างสง่างาม

คลื่นนนนน!

เมื่อต้นไม้โลกได้เริ่มขยับกิ่งก้านของมันได้ทำให้เกิดแรงสั่นอันน่าสะพรึงขึ้น

[ฮีโร่มาแล้ว~]

โรเซร่าที่สัมผัสได้ว่าอีกไม่นานจะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ยิ้มสดใสออกมา

แป๊ะ!

เธอได้ปรบมือ น้ำแข็งพื้นบนได้ละลายลงกลายเป็นของเหลวไหลซึมเข้าไปในผืนดินสีดำ

ดินที่แห้งแห้งได้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้น

ดินสกปรกสีดำแดงได้ค่อยๆกลายเป็นสีน้ำตาลซีด พร้อมทั้งมีเมล็ด และต้นกล้างอกขึ้นมา

พืชพันธุ์ และหญ้าได้เริ่มเติบโตขึ้นอย่างเต้นชัดจนย้อมให้ผืนดินเต็มไปด้วยความร่มรื่น

ดอกไม้ได้เริ่มบานขึ้นท่ามกลางสนามรบที่เต็มไปด้วยความสิ้นหวัง

วูมมมมม!

ทันใดนั้นเสียงกรีดร้องของรังได้ดังออกมาบนสนามรบอันเงียบกริบ

ต้นโม้โลกได้ถูกคืนชีพขึ้นในตอนที่การแพร่เชื้อโรคใกล้จะเสร็จสิ้นแล้ว การชำระล้างผืนดินในทันทีที่มันคืนชีพ และส่งแรงกดดันกลับไปได้ทำให้รังต้องกรีดร้องด้วยความเจ็บปวด

มันช่างขัดกับคนที่มองภาพนี้อยู่อย่างสิ้นเชิง

ผู้บัญชาการกองทัพกลายเป็นพูดไม่ออก

“เป็นไปไม่ได้…”

ความบริสุทธิ์อันโสมม

“ผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ด…”

ความอดทนอันพุ่งพล่าน

“แพ้…?”

และความกรุณาอันน่ารังเกียจต่างก็มีปฏิกิริยาที่คล้ายกัน

การเบ่งบานขึ้นอีกครั้งของต้นไม้โลกนั่นหมายความว่าผู้บัญชาการกองทัพที่สี่กับผู้บัญชาการกองทัพที่เจ็ดได้พ่ายแพ้ในอาณาจักรภูติ

ช่างเรื่องความสงบนิ่งอันบ้าคลั่งไปก่อน ความเมตตาอันบิดเบี้ยว ตัวตนที่เป็นรองเพียงราชินีปรสิตกลับพ่ายแพ้งั้นเหรอ?

มันน่าเหลือเชื่อมาก

และนี่ยิ่งทำให้ทุกอย่างน่าตกใจ

แต่ไม่ว่ายังไงพวกเขาก็ต้องเชื่อ เมื่อเห็นภาพตรงหน้าที่ต้นโม้โลกกำลังเปล่งประกาย และมีแสงกำลังประกอบเป็นรูปร่างขึ้น

นั่นก็เพราะรูปร่างเหล่านั้นคือมนุษย์ทั้งหมด

“อ่า… อ๊ากกกก!”

แฟรี่ท้องฟ้ากรีดร้องออกมา

มันไม่ใช่เสียงกรีดร้องด้วยความสิ้นหวัง แต่เป็นเสียงร้องไห้อันตื้นตันที่มาจากความสุข

“ในที่สุดเขาก็ทำได้”

ซินเซียได้เผยรอยยิ้มที่เห็นได้ยากออกมา!”

กาเบรียลถอนหายใจยาว และทรุดตัวลง ในขณะที่เหล่าคนแคระได้ส่งเสียงร้องออกมาอย่างตื่นเต้น แต่ไม่ว่าพวกเขาจะมีความสุขมากแค่ไหน แต่ก็ไม่เท่ากับแฟรี่ถ้ำเลยสักนิด

“…”

ยูเรลที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้นได้จ้องมองแสงอันพร่าวพราวด้วยสีหน้าสับสน

แสงสลัวจากท้องฟ้าไม่ได้แค่เชิญชวนแฟรี่ท้องฟ้าเท่านั้น แต่ยังรวมถึงแฟรี่ถ้ำอีกด้วย

แสงไฟที่ตกลงมาบนหลังมือแฟรี่ถ้ำ รวมถึงตัวเธอเองเป็นหลักฐานอันชัดเจนที่ไม่อาจจะปฏิเสธได้

“อ่า…”

ในตอนแรกเธอยังคงสงสัย แต่ไม่นานนักเธอก็รู้สึกได้ถึงพลังที่หายไปจากร่าง และมีบางอย่างเข้ามาเติมเต็มร่างกายที่ว่างเปล่า

ยูเรลได้คว้าผ้าปิดตาด้วยมืออันสั่นเทา ม่านตาสีดำสนิทได้เผยออกมาให้เห็น

แต่เพียงครู่เดียวเท่านั้นสีดำสนิทก็ได้จางลง และกลับคืนสู่สีเหลืองอำพันสดใสอย่างรวดเร็ว

จากนั้นเองหยดน้ำตาก็ได้ไหลลงจากบนใบหน้าของเธอ

ไม่ใช่แค่ยูเรลเท่านั้น แต่แฟรี่ถ้ำทุกๆคนต่างก็ก้มหน้าร้องไห้

“ราชาภูติ… ให้อภัยเรา…!”

ขณะที่ทุกคนกำลังร้องไห้เงียบๆ ยูเรลก็ส่งเสียงตะโกนออกมา

“ท่านโอฟินัวร์ โอดอร์ได้ถอนโทษทัณฑ์ออกแล้ว! เทพของเรา… ท่านดิฟิเด็ม โอดอร์กำลังกลับมา!”

เสียงตะโกนอันเปื่อมล้นไปด้วยอารมณ์ความรู้สึกดังก้องออกมา

เหตุการณ์นี้ได้ส่งผลกระทบกับอารมณ์เธออย่างมาก จนหากไม่ได้ตะโกนออกไปคงจะอึดอัดทรมาน

“…ฮิค”

เทเรซ่าไม่ได้พูดอะไรออกมา เธอเพียงแค่จ้องมองร่างที่ก่อตัวขึ้นตรงหน้าต้นไม้โลกทั้งน้ำตา จากนั้นเธอก็สะอื้นขึ้นอีกครั้ง

“เขารักษาสัญญาจริงๆ…”

ซอลจีฮูได้บอกให้เธอซื้อเวลาให้สักหน่อย เขาจะไปช่วยอาณาจักรภูติ และกลับมาหลังจากชุบชีวิตต้นไม้โลกไปแล้ว

เขารักษาสัญญาได้อย่างยอดเยี่ยม ในขณะที่ทุกคนพยายามหยุดเขาโดยบอกว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่สุดท้ายเขาก็ผ่านพ้นมันมาได้

ยังไงก็ตามไม่นานนักเธอก็หลุดจากความสับสน หากว่าเป็นเวลาปกติเธอก็คงจะกระโจนเข้าใส่เขาไปแล้ว แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังอยู่ในสนามรบ

การคืนชีพของต้นไม้โลกนั่นหมายความว่าแฟรี่ท้องฟ้าได้รับพลังกลับคืนมา ด้วยการที่มีสายเลือดข้องเกี่ยวกันกับแฟรี่ท้องฟ้า ทำให้เธอได้รับความรู้บางอย่างจากปรากฏการณ์ในครั้งนี้ด้วย

‘เสียงสะท้อนแห่งภูติ’

ความรู้สึกเหนื่อยล้าชั่วคราวจากภูติในตอนที่พวกเขาเชื่อมต่อกันเป็นครั้งแรก

มันไม่ได้อยู่นานนัก อย่างดีที่สุดก็ห้า หรือไม่ก็สิบนาที

แต่ในสงครามรุนแรง ห้านาทีนั่นไม่ใช่เวลาสั้นๆเลย

เทเรซ่าจับดาบยาวแน่น

‘ฉันต้องซื้อเวลาไว้’

เพราะแบบนี้ช่วงเวลาสำหรับการโต้กลับได้ถูกจัดเตรียมแล้ว ทั้งหมดที่เธอต้องทำก็คือซื้อเวลาให้พวกเขาก้าวออกมาได้

ไม่ว่ายังไงก็ตามต้องซื้อเวลาให้ได้

***

“…”

เมื่อเขาได้สติกลับมา ซอลจีฮูได้สำรวจร่างกายเงียบๆ บาดแผลบนร่างกายจากในอาณาจักรภูติของเขากำลังหายไปอย่างช้าๆ

ในที่สุดเมื่อเขาเงยหน้ามองตรงไป เขาก็ต้องตาเป็นประกาย นั่นก็เพราะการยืนอยู่ในจุดสูงสุดของป้อมปราการทำให้เขาได้เห็นทั้งสนามรบ

“ฮ่าาาห์ ยังไม่สายเกินไปสินะ”

โชฮิวผิวปากออกมาพร้อมวางแท่งเหล็กหนามพาดบ่า

ป้อมปราการไทกอลยังไม่พังลงอย่างที่เธอพูดไว้จริงๆ

ดูจากร่องรอยศัตรูที่อยู่ใจกลางป้อมปราการแล้ว ดูเหมือนว่าป้อมปราการก็คงถูกกดดันจนแทบจะล่มสลายไปแล้ว ยังไงก็ตามพวกเขาชุบชีวิตต้นไม้โลกได้ทันเวลา

-ว๊ากกกกกกกกกกกกกก!

เสียงคำรามอันกึกก้องได้ดังกังวาลออกมา

เมื่อฮีโร่ผู้ชุบชีวิตต้นไม้โลกปรากฏตัว อารมณ์ที่พุ่งสูงขึ้นภายในใจทุกคนก็ได้ปะทุออกมา

สงครามยังไม่จบ จริงๆแล้วมันแค่พึ่งเริ่มต้นเท่านั้น

แต่ทุกๆอย่างที่พวกเขาทำมาถึงจุดนี้มันไม่ได้ไร้ความหมาย

ไม่นานนักผลลัพธ์ก็ได้แสดงให้พวกเขาได้เห็น

ซอลจีฮูได้หลับตาลงท่ามกลางเสียงร้องปลุกพลังเหล่านี้

ในตอนนี้เหลือเพียงสิ่งเดียวที่ต้องทำ….

***

ปัง!

บัลลังก์อันเสี่อมโทรมได้พังลง

ราชินีปรสิตได้เด้งลุกขึ้นยืนหลังจากทุบพนักพิง

แม้ว่าเธอจะพอคาดไว้แล้ว แต่สายตาที่มองดูสนามรบของเธอก็ยังเต็มไปด้วยความโกรธ

[นี่…!]

ราชินีปรสิตแทบจะกลั้นลมหายใจอันโกรธเคืองเอาไว้ไม่ไหว้

[ข้าคาดคิดเอาไว้มาก…!]

ใช่แล้ว เธอคาดเอาไว้แล้ว การปรากฏตัวของมนุษยชาติ การชุบชีวิตต้นไม้โลก และแฟรี่ท้องฟ้าได้รับพลังกลับคืนมา

แม้ว่าเธอจะหวังไม่ให้มันเกิดขึ้น แต่ว่าเธอก็คาดการณ์สถานการณ์ที่เลวร้ายที่สุดเอาไว้แล้ว

มีเพียงสิ่งเดียวที่เหนือกว่าความคาดคิดของเธอก็คือยัยแม่มดนั่น

แต่ตอนนี้เธอถอยไม่ได้แล้ว

การถอยแค่เพราะกลัวแม่มดคนเดียวนั่นมันไม่ถูก

ปรสิตก็ยังมีไพ่ตายอีกสองใบ ไม่สิ สามใบต่างหาก!

[ความกรุณาอันน่ารังเกียจ! ปลดปล่อยพลังเทพ!]

[อย่าอยู่นิ่ง ทำอะไรสักอย่าง!]

เมื่อข้อความจากราชินีปรสิตได้ดังก้องออกไป รังก็สั่นขึ้นพร้อมกัน และปลดปล่อยปรสิตจำนวนนับไม่ถ้วนออกมา พวกมันได้ล้มเลิกการแพร่เชื้อใส่ป้อมปราการ และมาเน้นที่การให้กำเนิดปรสิตแทน

ความกรุณาอันน่ารังเกียจผงะไป

แต่ว่าเมื่อเห็นรัง เธอก็เข้าใจถึงเจตนาของราชินี และกวาดตามองไปทั่วสนามรบ

แฟรี่ท้องฟ้ากำลังอ่อนล้าจากปรากฏการณ์สั่นพ้องของพลังอยุ่ นี่คือโอกาสที่ดีที่สุดที่จะจัดการกับแฟรี่ท้องฟ้า แต่ว่ามันก็ทำได้ยากมากอยู่ดีนั่นเพราะการคืนชีพขึ้นของต้นไม้โลก

ไม่เพียงแต่แฟรี่ท้องฟ้ายังอยู่ภายในถ้ำเท่านั้น แต่ยังมีแม่มดทรงพลังคอยปกป้องพวกนั้นอีกด้วย

ดังนั้นแล้วสายตาของความกรุณาอันน่ารังเกียจก็หันไปมองที่เหล่าทหารม้าของมนุษยชาติที่อยู่นอกป้อมปราการแทน

“…”

พอคิดดูแล้วดูเหมือนว่าการปรากฏตัวของหนอนแมลงเหล่านี้จะเป็นจุดเริ่มต้นของความซับซ้อน

สิ่งสำคัญคือจะปล่อยให้กระแสสงครามเป็นเช่นนี้ต่อไปไม่ได้ ต่อให้พวกเขาจะต้องถอยกลับ แต่พวกเขาต้องสร้างความเสียหายให้ได้มากที่สุด

“…ข้าจะกวาดล้างพวกแกให้หมด”

กรอด! ความกรุณาอันน่ารังเกียจได้กัดฟันเปล่งแสงเจิดจ้าออกมา ผ้าคลุมของเขาได้โบกสะพัด และมีหนวดนับสิบเส้นพุ่งออกมาจากแขนเสื้อเขาพร้อมกับพลังปีศาจรุนแรง

จากนั้นหนวดเส้นที่ใหญ่ที่สุดก็พุ่งไปทางภูเขาซากศพตรงหน้ากำแพงป้อมปราการ

-ตื่นขึ้น!

เมื่อคำนี้ได้ดังก้องออกไป ภูเขาซากศพก็สั่นขึ้น

เหล่าซากศพไร้ชีวิตได้เริ่มแหวกออก และโครงกระดูกที่อยู่ภายในนั้นก็ค่อยๆลุกขึ้น ในที่สุดแล้วซากศพกว่าครึ่งก็ได้เกิดเป็นอันเดธที่เดินโซเซรอคอยคำสั่งจากเจ้านาย

-…ชิ

แม้ว่านี่จะแสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมของเนโครแมนเซอร์แล้ว แต่ความกรุณาอันน่ารังเกียจก็ยังเดาะลิ้นออกมา

ตามปกติแล้วภูเขาซากศพมันควรที่จะลุกขึ้นมาทั้งหมด แต่ก็เพราะต้นไม้โลกนั่นทำให้ส่วนหนึ่งของผืนดินกลายเป็นแดนศักดิ์สิทธิ์ที่ซึ่งลดทอนพลังปีศาจ

หากว่าเขาไม่ได้ใช้พลังความเป็นเทพออกมา แม้กระทั่งผลลัพธ์ในตอนนี้ก็ยังเป็นไปไม่ได้เลย

แต่นั่นก็ไม่ได้สำคัญ ยังมีภูเขาซากศพอีกมากให้ปลุก และนี่ก็มากพอบดขยี้เหล่าหนอนแมลงแล้ว

-ตื่นขึ้น!

โครงกระอีกกลุ่มหนึ่งได้ฉีกผ่านภูเขาซากศพขึ้นมา

-ไปซะ!

ด้วยคำสั่งจากความกรุณาอันน่ารังเกียจได้ทำให้กองทัพโครงกระดูกที่ถูกเสริมพลังปีศาจเข้าไปได้เดินทัพไปด้านหน้า

“วพกมันกำลังมาแล้ว!”

ในเวลาเดียวกันเทเรซ่าได้เลียริมฝีปากออกมา

ปรสิตจำนวนนับไม่ถ้วนได้กรูกันมาจากด้านหน้า และกองทัพโครงกระดูกกำลังวิ่งเข้ามาจากด้านหลัง สิ่งเดียวที่พอจะปลอบใจในสถานการณ์นี้ได้ก็คือปรสิตไม่ได้เข้าโจมตีแฟรี่ท้องฟ้าในป้อมปราการ แต่นั่นแทบไม่มีอะไรให้ฉลองเลยเมื่อเห็นว่ามนุษยชาติกำลังจะถูกกำจัดออกไป

แต่เมื่อมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจากอีกมุมหนึ่งแล้ว นี่มันหมายความว่าปรสิตมีเพียงทางเลือกเดียวเท่านั้น

ด้วยการปรากฏตัวของต้นไม้โลกทำให้การยึดครองป้อมปราการไทกอลไม่อาจจะเป็นไปได้ในเวลาสั้นๆ ดังนั้นพวกมันจะต้องวางแผนสร้างความเสียหายให้มากที่สุด ก่อนที่จะค่อยตัดสินใจเลือกระหว่างทางเลือกที่ปลอดภัยอย่างการถอย หรือเลือกทางเลือกเสี่ยงอย่างการมุ่งสู้สงครามอันยืดยื้อ

“ผู้บัญชาการแซงตัส!”

เทเรซ่าที่ตัดสินใจได้แล้ว ได้เรียกแจนแซงตัส

เนื่องจากพวกเธอไม่เหลือเวลาแล้ว เธอจึงรีบออกคำสั่งออกมา

“ฝากด้านหลังด้วย ฉันจะใช้ทหารม้ารับมือกับพวกปรสิตเอง แค่ซื้อเวลาเอาไว้เท่านั้น เข้าใจนะ?”

“เข้าใจครับ ระวังตัวด้วยองค์หญิง”

“แน่นอน สามีของฉันเพิ่งจะกลับมา หากว่าฉันตายไปโดยที่ยังไม่ได้คุยกับเขา ฉันก็คงกลายเป็นผีตายโหงแน่เลย”

เทเรซ่าได้กดหมวกลงพร้อมเล่นมุกออกมา

แจนแซงตัสหัวเราะขึ้น

จากนั้นเหล่าทหารม้าก็ได้บุกตรงไปข้างหน้า และทหารราบได้หันกลับไปด้านหลัง ทั้งสองกองกำลังได้แยกกันรับมือกับศัตรูที่กำลังกรูกันเข้ามา

การต่อสู้ที่หยุดชะงักได้เริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

“ทุกคน! ตั้งแนวโล่!”

ทหารราบได้หยุดเดินทัพในทันทีที่ได้รับคำสั่งจากแจนแซงตัส พวกเขาได้ปักโล่ลงกับพื้น และมีโล่อีกชั้นหนึ่งกันเหนือหัวขึ้นจนเป็นแนวป้องกันสองชั้น

ในอีกด้านหนึ่ง

“ดูเหมือนว่าราชินีปรสิตจะยังไม่ยอมแพ้นะ”

กาเบรียลที่เฝ้ามองดูเหตุการณ์นี้อยู่ได้กางปีกออก และเหลือบมองมาด้านข้าง

“คุณจะเอายังไงล่ะ?”

ข้างๆเธอคือมนุษสัตว์ที่ซึ่งแผงคอเต็มไปด้วยเลือดแห้ง เขากำลังยืนมองลงไปที่สนามรบจากบนกำแพงด้วยสีหน้าซับซ้อน

“พวกเราจะไปสนับสนุนทหารม้า แต่ว่าเราก็ไม่มีกองกำลังเหลือไปช่วยทหารราบเช่นกัน เพราะงั้นราชามนุษย์สัตว์ช่วยตอบฉันทีสิ”

“…”

ใบหน้ามนุษย์สัตว์ได้ปรากฏความขัดแย้งกันขึ้น แต่ด้วยสถานการณ์ที่เป็นอยู่ทำให้ความลังเลมีได้ไม่นานนัก

“…ให้ตายสิ หากว่าพวกเขาทำตัวแบบนี้ตั้งแต่เมื่อหลายปีก่อน ฉันก็คงออกไปช่วยนานแล้ว”

หลังจากที่พูดคำเหล่านี้ออกมา

-กรรรรรรรรรร!

เขาได้อ้าปากคำรามขึ้น

กาเบรียลยิ้มออกมาก่อนที่จะคว้าตัวราชามนุษย์สัตว์ และกางปีกบิน เมื่อมีการนำของเธอ เหล่าเทวดาตกสวรรค์คนอื่นๆต่างก็แบกมนุษย์สัตว์บินออกมาจากทุกมุมของป้อมปราการเช่นกัน

ในเวลาเดียวกันห่างไกลออกไปเหล่าทหารราบกำลังตั้งแนวกำแพงโล่ และกองทัพโครงกระดูกก็กำลังเดินทัพย่นระยะห่างเข้ามาเหลือเพียงแค่ร้อยกว่าเมตรเท่านั้น

“ถ่วงเวลาเอาไว้! เติมพันมันด้วยชีวิต! สิบนาทีเท่านั้น! ไม่สิ แค่ห้านาทีก็พอแล้ว! หากว่าเรายื้อเวลาได้มากพอ ชัยชนะก็จะเป็นของเรา!”

แจนแซงตัสตะโกนปลุกใจให้กับเหล่าทหาร เขากำลังยืนอยู่ในแนวหน้าโดยจ้องมองตรงออกไป

ตึง ตึง ตึง ตึง

“ห้าสิบเมตร!”

แม้ระหว่างเขาพูดอยู่ระยะห่างก็ยังถูกย่นลงอย่างรวดเร็ว

สี่สิบเมตร สามสิบเมตร ยี่สิบเมตร สิบเมตร…!

“ทุกคน…!”

ในที่สุดแล้วขณะที่แจนแซงตัสกำลังจะตะโกนขึ้นอีกครั้ง

ตึง ตึง ตึง ตึง!

เขาก็ต้องชะงักไป

นั่นก็เพราะเขาสัมผัสได้ว่ามีบางอย่างกำลังหล่นลงมาด้านหลังเขา

‘ไม่มีทาง!’

ความคิดมากมายได้เข้ามาในหัวเขา

ศัตรูฝ่าแนวทหารม้ามาได้? หรือว่าเป็นปรสิตที่บินได้ลงมา? หรือเป็นกองทัพใหม่ที่มาจากด้านหลัง? หรือว่า…

แจนแซงตัสที่หันกลับไปมองได้กลายเป็นตกตะลึงในทันที ความคาดเดาทั้งหมดของเขาผิดหมดเลย

กองกำลังที่มาอยู่ด้านหลังพวกเขาไม่ใช่ปรสิต ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่บินได้ แล้วก็ไม่ใช่กองทัพของผู้บัญชาการกองทัพ

เหล่าคนที่ตกลงมาจากท้องฟ้านั่นก็คือเผ่าพันธุ์มนุษย์สัตว์

จากนั้นมนุษย์สัตว์ก็ได้กระโดดผ่านแนวป้องกันพร้อมจ้องเขม็งไปทางกองทัพโครงกระดูก

“กรรรรรรรรร!”

เหล่ามนุษย์สัตว์ได้เริ่มคำรามอย่างดุร้ายตามการนำของราชามนุษย์สัตว์ และพุ่งเข้าไปปะทะกับกองทัพโครงกระดูก

แจนแซงตัสกระพริบตาออกมาอย่างสับสน เขาได้หลับตาลง ก่อนจะลืมขึ้นอีกครั้ง

เขาไม่เข้าใจเลย

มนุษย์สัตว์กำลังต่อสู้อยู่กับกองทัพโครงกระดูก

เผ่าพันธุ์มนุษย์สัตว์ที่เกลียดชังมนุษยชาติพอๆกับเกลียดชังปรสิตกำลังต่อสู้เพื่อพวกเขา!?

ริมฝีปากของแจนแซงตัสกำลังสั่นเทา

เปลวเพลิงรุนแรงได้ลุกโชนขึ้นในใจของเขา

ในช่วงการล่าทาสที่เกิดขึ้นในอีวา เขาไม่เคยคาดคิดเลยสักนิดว่าจะได้เห็นฉากแบบนี้

“ผู้บัญชาการ!”

แจนแซงตัสได้สติกลับคืนมาจากเสียงเรียกของทหาร

“…ทุกนาย!”

ในที่สุดเขาก็รวบรวมเสียงทั้งหมดเอาไว้….

“บุกกกกก!”

และตะโกนออกมาจนสุดเสียง

ต่อจากนั้นทหารราบได้ลุกขึ้น และพุ่งออกไปข้างหน้าพร้อมกันราวกับรอคำพูดนี้อยู่

ด้วยการร่วมมือกันระหว่างสองกองกำลังทำให้พวกเขาสามารถตีฝ่าทำลายกองกำลังโครงกระดูกได้

ในที่สุดแล้วความโกรธเคืองกันระหว่างมนุษยชาติกับสหพันธรัฐก็คลายลงแล้ว

***

[กรอดด…!]

ราชินีปรสิตได้ส่งเสียงคร่ำครวญออกมา เธอไม่คิดเลยว่ามนุษย์สัตว์กับเทวดาตกสวรรค์จะออกมาจากป้อมปราการ

[ความบริสุทธิ์อันโสมมกับความอดทนอันพุ่งพล่านกำลังทำอะไรอยู่…!?]

หลังจากโพล่งขึ้น เธอก็ต้องร้อง ‘อ๊ะ’ ออกมา

ซัคคิวบัสของความบริสุทธิ์อันโสมมได้ถูกแม่มดทำร้ายลงไป ส่วนทางวิญญาณร้ายของความอดทนอันพุ่งพล่านก็ได้เสียสละรับแรงระเบิดจากอสนีบาตเพื่อให้ความบริสุทธิ์อันโสมมฝ่าเข้าไปในป้อมปราการแล้วเช่นกัน

คนที่สั่งคำสั่งนี้ออกมาก็คือตัวราชินีปรสิตเองอีกด้วย

หากว่าเธอทำตามแผนของผู้บัญชาการ และค่อยๆโจมตีไปอย่างเป็นระบบ สิ่งต่างๆก็คงไม่เลวร้ายแบบนี้

[อย่าบอกนะว่า…]

ราชินีปรสิตได้นั่งลงไปบนบัลลังก์ที่พังทลาย

ในเวลาเดียวกันเธอก็คิดว่ามันเป็นทางเลือกเดียว

[นี่เป็นการเคลื่อนไหวที่ผิดพลาดเหมือนกันสินะ…?]

และนี่ยังมีอีกสิ่งหนึ่งที่เหนือการคาดการณ์ของราชินีปรสิต

เมื่อเห็นภาพตรงหน้า เธอก็ต้องขมวดคิ้ว

เธอรู้ตัวช้าเกินไป

พรจากต้นไม้โลกไม่ได้ส่งผลต่อแค่แฟรี่ท้องฟ้า แต่ยังส่งผลต่อแฟรี่ถ้ำอีกด้วย

[…อะไรนะ?]

ท่ามกลางความเงียบงันนี้ ราชินีปรสิตได้เบิกตากว้างขึ้นอย่างกระทันหัน

นั่นก็เพราะเธอรู้สึกได้ถึงพลังอันสั่นสะท้านพุ่งขึ้นจากป้อมปราการ

พลังงานทั้งสองอย่างที่เธอไม่เคยรู้สึกได้มาก่อนไม่เพียงแต่จะปรากฏขึ้นเหนือป้อมปราการเท่านั้น แต่ยังท่วมท้นไปทั่วทั้งสนามรบที่เหลืออีกด้วย

แฟรี่ที่กำลังคุกเข่าอยู่กับพื้นอย่างเหนื่อยล้าได้ลุกขึ้นในทันที

วูบบบ!

สายลมรุนแรงได้กวาดผ่านไปทั่วทั้งสนามรบ

ฟู่วววว!

เปลวเพลิงรุนแรงได้ลุกขึ้นเต็มไปหมด

กระแสอากาศได้เปลี่ยนแปลงไป ผืนดินได้สั่นสะเทือน และน้ำได้ผุดขึ้นมาเปล่งประกายภายใต้แสงอาทิตย์

แฟรี่ท้องฟ้าได้ค่อยๆลุกขึ้นยืนภายใต้การปรากฏตัวของธาตุทั้งห้า ทั้งแฟรี่ท้องฟ้า และแฟรี่ถ้ำได้มองตรงออกไป

แม้ว่าพวกเขาจะมีน้ำตาอาบใบหน้า แต่สีหน้าพวกเขาไม่ได้ดูเศร้าเลยสักนิด

กลับกัน พวกเขาดูจะตื่นเต้น

พวกเขากำลังจ้องมองศัตรูด้วยจิตสังหารราวกับจะระเบิดความโกรธแค้นที่อัดอั้นเอาไว้ออกมา

ยังไม่หมดเท่านั้น

ม่านตาสองคู่ได้ปรากฏขึ้นจากบนท้องฟ้า และผืนดิน

จากบนท้องฟ้าดวงตาคู่นั้นได้เปล่งประกายเจิดจ้า

จากผืนดินดวงตาอันมืดมนได้แผ่กระจายความมืดดำสนิทออกมา

หนึ่งมองลงมา และอีกหนึ่งมองขึ้นไปที่สนามรบ

-วูวววววววววววว!

เสียงร้องของโอฟินัวร์ โอดอร์ เจ้าแห่งแสงผู้เป็นที่เคารพของภูติทั้งหมด

-วูววววววววววว!

และเสียงร้องของดิฟิเด็ม โอดอร์ เจ้าแห่งความมืดผู้เป็นที่หวาดกลัวของเทพทั้งหมดได้ดังก้องออกมาทั้งจากบนท้องฟ้า และจากผืนดิน

เหล่าภูติได้รักษาสัญญา

เจ้าแห่งภูติที่ได้เริ่มทำสงครามกับเทพแห่งคุณธรรมทั้งเจ็ดในยุคโบราณนับพันปีก่อนได้ปรากฏตัวขึ้นอีกครั้งในป้อมปราการไทกอล

กองกำลังพันธมิตรระหว่างสหพันธรัฐกับมนุษยชาติได้ร่วมมือกันเต็มกำลังเพื่อต่อสู้กับปรสิต

[…]

ในเวลาเดียวกันกับที่ได้เป็นพยานถึงการปรากฏตัวของแสงสว่าง และความมืด ริมฝีปากของราชินีปรสิตก็สั่นเทารุนแรงขึ้นกว่าเดิม

การคืนชีพต้นไม้โลก และการปรากฏตัวของแม่มดทรงพลังที่ทำให้กระแสการต่อสู้เปลี่ยนแปลงไป

แต่ตอนนี้กระทั่งเจ้าแห่งภูติทั้งสองที่ถูกผนึกไว้ก็ยังปรากฏตัวอีก

ฟันเฟืองแห่งโชคชะตาที่เคยประสานกันอย่างลงตัวได้เริ่มหลุดออกไปทีละชิ้นแล้ว และในตอนนี้ฟันเฟืองเหล่านั้นก็พังลงจนเละไปหมด

[…อ๊ากกกก!]

ราชินีปรสิตกุมหัวแน่น

และในช่วงเวลานี้

“ฟู่ววว…”

ทีมปฏิบัติการณ์ก็ได้ถูกเรียกตัวกลับมาที่มิดเดิลเวิลด์อย่างสมบูรณ์

ซอลจีฮูถอนหายใจออกมา และลืมตาขึ้นมองตรงไปข้างหน้าอย่างเงียบสงบ

เขาได้มองดูภาพของราชินีปรสิตที่อยู่บนฟ้า

[เจ้า…!]

พวกเขาได้สบตากัน

[เจ้า ทั้งหมดก็เพราะเจ้า มันเพราะเจ้า!!!]

น้ำเสียงอันโกรธเคืองของราชินีปรสิตได้ดังก้องออกมา

ดวงตาซอลจีฮูกลายเป็นเฉียบคมขึ้น

เขาสูดหายใจลึก และจับหอกในมือไว้แน่น

ในที่สุด

ในที่สุดพวกเขาก็มาไกลถึงขนาดนี้แล้ว

ซอลจีฮูได้ยกหอกขึ้น และก้าวไปด้านหน้า

เขาได้มองดูเหล่าภูติกระจายไปทั่วสนามรบ และชี้หอกไปทางราชินีปรสิต ก่อนจะพูดอย่างหนักแน่น

“…ทุกคน เตรียมตัวทำสงคราม”

และดังนั้นแล้ว

“อย่าปล่อยให้ใครหนีรอดไปได้”

พลุสัญญาณแห่งการเริ่มการโต้กลับได้ถูกจุดขึ้น