บทที่ 669 ไปไหนก็จะพาฉันไปด้วย / บทที่ 670 ลักยิ้มปู่เธอสิ

แผนรักร้ายคว้าหัวใจคุณสามี

บทที่ 669 ไปไหนก็จะพาฉันไปด้วย

สิ่งที่น่ารำคาญที่สุดก็คือ หานเซี่ยนอวี่ยังชอบพูดเล่นว่าจะให้พี่เยี่ยไปเป็นผู้จัดการของเขา

ถ้าเป็นลั่วเฉินยังพอว่า แต่หานเซี่ยนอวี่… เขาเทียบไม่ได้เลยจริงๆ!

เขารู้ดีว่าพี่เยี่ยชื่นชมหานเซี่ยนอวี่ขนาดไหน!

หมอนั่นมีความสามารถรอบด้าน ชื่อเสียงก็ดีมากเหลือเกิน

ถ้าพี่เยี่ยโดนหานเซี่ยนอวี่ดึงตัวไปจริงๆ แล้วเขาจะทำยังไง!

อาศัยตอนที่เยี่ยหวันหวั่นออกไปรับหานเซี่ยนอวี่ กงซวี่ทำเสียงแปลกๆ กับลั่วเฉิน “เจ้าโง่ มานี่!”

ลั่วเฉินส่งสายตาสงสัยไปยังด้านข้าง

กงซวี่โน้มทั้งตัวเข้ามา กระซิบพูดข้างหูลั่วเฉินว่า “นายว่าหานเซี่ยนอวี่เอาใจใส่พี่เยี่ยขนาดนี้ อยากจะหาผลประโยชน์อะไรหรือเปล่า”

ลั่วเฉินขมวดคิ้ว “พวกเขาเป็นแค่เพื่อนกัน”

“ทำไมนายโง่ขนาดนี้! วันไหนที่พี่เยี่ยไม่ต้องการนายแล้ว ฉันจะดูว่านายจะทำยังไง!” กงซวี่วางแผนจะหาพวก

ศัตรูของศัตรูก็คือสหายไม่ใช่เหรอ

ลั่วเฉินเอ่ยด้วยใบหน้าเคร่งเครียด “พี่เยี่ยไม่ทำแบบนี้”

กงซวี่แย้ง “นายเอาอะไรมาคิดว่าไม่ทำ นายคิดว่านายดีกว่าหานเซี่ยนอวี่ตรงไหน”

ลั่วเฉินพูด “พี่เยี่ยเคยให้สัญญาไว้ ขอแค่ฉันยอมอยู่กับเขา เขาไปไหนก็จะพาฉันไปด้วย”

สีหน้ากงซวี่อึ้งไป ทันใดนั้นราวกับว่ามีฟ้าผ่าท่ามกลางท้องฟ้าที่สดใส…

พี่เยี่ยถึงขั้นให้คำสัญญาแบบนี้กับลั่วเฉินเลยเหรอ!

“ฮ่าๆๆ กงซวี่ ยินดีด้วยนะ เป็นข่าวอีกแล้ว!” ตอนกงซวี่กำลังถูกโจมตี ถังซิงหั่วหัวเราะพลางหย่อนก้นนั่งลงข้างเขา

หลังจากที่ว่านชานชานโพสต์เวยป๋อ ทั้งหมดนั้นไม่จำเป็นต้องสร้างกระแสความร้อนแรงเลย และยิ่งไม่ต้องการหน้าม้าด้วย

ตอนที่เพิ่งโพสต์ยอดแชร์และคอมเมนต์ก็เริ่มสูงขึ้น แฟนคลับหลิงเส่าเจ๋อมาถึงสนามรบเร็วที่สุด รวมทั้งคนผ่านมาที่ทนเห็นไม่ไหว ในพริบตาเสียงด่าก็รวมตัวกันมากมายมหาศาล…

สนามรบที่ด่าทอกงซวี่ยิ่งใหญ่เกรียงไกรแบบนี้ทุกครั้ง นับเป็นสิ่งมหัศจรรย์เรื่องหนึ่งในวงการบันเทิง

หากพูดถึงความเกลียดชังของผู้คน ถือว่ามีเขาเพียงหนึ่งเดียวในวงการบันเทิงเลย!

ว่านชานชาน: [เดิมทีฉันอยากจะให้เรื่องเงียบไว้ แต่ว่ามีบางคนกลั่นแกล้งคนอื่นเกินไป!] [ดูคลิป]

ด้านล่างเวยป๋อมีคำด่าทอนับไม่ถ้วน…

[ไอ้เวร! น่าโมโหจริงด้วย! ทำไมถึงได้มีคนโง่แบบนี้!]

[สมองพิการ ทำไมคนที่ใช้แต่เงินฟาดหัวคนอื่นแบบนี้ยังมีหน้ามีตาในสังคมต่อได้ กระแสสังคมโดนคนแบบนี้ทำลายยับเยินหมดแล้ว!]

[ขอโทษ! ขอโทษหลิงเส่าเจ๋อซะ]

[ว่านชานชานเป็นตัวอย่างที่ดี ควรแฉคนแบบนี้! วางใจได้ พวกเราทั้งหมดอยู่ข้างเธอ!]

[กงซวี่พาพวกแฟนคลับที่หลงนายออกไปจากวงการบันเทิงซะ!]

[นี่ล้อเล่นหรือไง กงซวี่คนโง่แบบนี้มีแฟนคลับด้วยเหรอ คนโง่นี่ไม่ใช่ว่าโดนด่าจนดังเหรอ]

เมื่อเห็นคำวิพากษวิจารณ์และคำด่ามืดฟ้ามัวดินในอินเทอร์เน็ต ถังซิงหั่วเดาะลิ้น “จิ๊ๆ นายนี่เป็นเป้าหมายการโจมตีชัดๆ เลย! ฮอตปรอทแตกเรื่องความเกลียดชัง ทุกครั้งเวลาที่ทุกคนด่านาย จะร่วมใจสมัครสมานสามัคคีกันอย่างหาที่เปรียบไม่ได้เลยใช่ไหม”

คนอื่นในงานเลี้ยงก็เห็นเวยป๋อที่ว่านชานชานโพสต์แล้ว เวลานี้วิจารณ์กันยกใหญ่ ทุกคนก็รู้ว่ากงซวี่ไม่สนใจเรื่องแบบนี้ จึงพูดล้อเล่นกันหลายคำ

“พี่ซวี่สุดยอดเลย! ทุกครั้งเรื่องที่เกี่ยวกับพี่จะร้อนแรงเป็นเบอร์หนึ่ง!”

“ว่านชานชานบ้าหรือเปล่า ความแค้นระหว่างกงซวี่กับหลิงเส่าเจ๋อ เธอมาแทรกกลางทำไม”

“ต้องเป็นเพราะอยากขึ้นตำแหน่งแน่ กงซวี่นายอย่าไปสนใจคนประเภทนี้เลย!”

…….

กงซวี่ร้องหึด้วยความเย็นชา เธอเป็นใคร ทำไมเขาต้องสนใจเธอด้วย!

แต่ว่ากงซวี่ยังแอบมองไปทางเยี่ยหวันหวั่นด้วยความกังวล เห็นอีกฝ่ายพูดคุยกับหานเซี่ยนอวี่ด้วยสีหน้าปกติ ไม่ได้มีอาการของความโกรธเลย เขาถึงค่อยโล่งใจ

แต่ว่าในขณะเดียวกับที่โล่งใจ ในใจกลับมีความผิดหวังอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อนค่อยๆ แผ่ลาม

ถ้าลั่วเฉินโดนด่าแบบนี้ พี่เยี่ยต้องรีบแถลงข่าวแล้วแน่นอน แต่พอเขาโดนด่า… พี่เยี่ยกลับไม่มีปฏิกิริยาอะไรเลยสักนิด…

………………………………………………………………

บทที่ 670 ลักยิ้มปู่เธอสิ

สำหรับพี่เยี่ยแล้ว เขาเป็นตัวอะไรกัน

เขามองว่าตัวเองเป็นศิลปินด้วยไหม

หรือแค่เล่นๆ กับเขา มองว่าเขาเป็นลูกคนรวยที่เที่ยวเล่นไปวันๆ…ดังนั้นเลยไม่เคยคิดเอาใจใส่เขาเลย?

น่าโมโห เขากำลังคิดอะไรอยู่!

เขาเข้าวงการมาก็แค่เล่นๆ และไม่ได้คิดจะทำอาชีพนี้จริงจัง เหตุที่เข้าใกล้เยี่ยไป๋ก็เพื่อเสี่ยวมี่เจี้ยนเท่านั้น…

ใช่ เขาทำเพื่อเสี่ยวมี่เจี้ยน!

กงซวี่ปัดความคิดฟุ้งซ่านในหัวทิ้งไป พยายามบอกตัวเองอย่างนี้

แต่ว่า ทำไมตอนนี้เขาถึงคิดแต่เรื่องฟุ้งซ่านพวกนั้นทุกวัน แล้วเสี่ยวมี่เจี้ยน เขาก็จำไม่ได้แล้วว่าไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้มานานเท่าไร

ในงานเลี้ยง ทุกคนกำลังร้องเพลงกันอย่างคึกคัก

มีศิลปินหญิงคนหนึ่งเดินมาตรงหน้าเยี่ยไป๋อย่างกระตือรือร้น งอแงจะร้องเพลงชื่อลักยิ้มคู่กับเยี่ยไป๋

กงซวี่รินเหล้าเต็มแก้วด้วยความหงุดหงิดมาก ดื่มรวดเดียวหมด “ลักยิ้ม ลักยิ้มปู่เธอสิ!”

ถังซิงหั่วมีสีหน้าประหลาดใจ “ผู้หญิงคนนั้นจะร้องเพลงลักยิ้มกับเยี่ยไป๋ นายโมโหอะไร”

กงซวี่ตอกกลับ “นายยุ่งอะไรด้วย!”

ถังซิงหั่วพูดไม่ออก

สีหน้ากงซวี่เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้าย มักจะรู้สึกว่าคืนนี้มองใครก็ขัดหูขัดตาไปหมด

หลักการของเยี่ยหวันหวั่นคือจะรักษาระยะห่างกับศิลปินทุกคน เพราะตอนนี้แต่งตัวเป็นผู้ชาย ดังนั้นจะหลีกเลี่ยงศิลปินหญิงเป็นพิเศษ เธอเลยปฏิเสธอย่างมีมารยาทไป

แต่ว่าตอนนี้บรรยากาศกำลังดี ทุกคนไม่ยอมปล่อยเธอไป กลับร้องเชียร์ว่า “พี่เยี่ย ร้องเพลงหนึ่ง! ร้องเพลงเดียวเอง! ถ้าพี่ชอบเพลงอะไร ร้องเพลงอื่นก็ได้!”

เยี่ยหวันหวั่นหนีไม่รอดเลยเลือกมาหนึ่งเพลง จากนั้นเรียกลั่วเฉินที่อยู่ในมุมไม่พูดอะไรกับใครทั้งคืนมา “ลั่วเฉิน ฉันจำได้นายก็ชอบเพลงนี้เหมือนกัน ร้องด้วยกันไหม”

เด็กคนนี้ขี้อายเกินไปแล้ว งานเลี้ยงบริษัทยังเงียบขนาดนี้

ลั่วเฉินได้ยิน แววตาก็เป็นประกายทันที รู้สึกประหลาดใจที่ได้รับความเอ็นดู คิดไม่ถึงว่าเยี่ยหวันหวั่นจะจำได้ พยักหน้าแล้วเดินเข้าไปหา

ทั้งสองคนหยิบไมโครโฟนขึ้นมา เยี่ยหวันหวั่นเริ่มร้องก่อน “ปรุงอาหาร ทำซุปชามหนึ่งด้วยความกระตือรือร้น กลิ่นคาวและความขมแทรกซึมเข้าไปในกระดูกลิ้น รสในเงาแสงของมีดและกระบี่ โลกมนุษย์มีขึ้นมีลง…”

ลั่วเฉินร้องต่อ “เส้นทาง ไม่ต้องรีบร้อนไม่ต้องหยุดไม่ต้องหันหลับมา ยามพบเจอกันในถนนแคบไม่ต้องกล่าวถึงทางหวนกลับ โปรดอย่าถามว่ามีใครรออยู่…”

เยี่ยหวันหวั่น “รอให้ข้าแหวกฟ้าดินยามพลบค่ำ ไฟสามฉื่อแปรเปลี่ยนเป็นควันจนสิ้น ดื่มเหล้าที่แรงที่สุด รักกับคนที่งามที่สุด ชมทะเลเมฆและคลื่นสูงใหญ่…”

เสียงคนวัยหนุ่มสาวแหบต่ำไพเราะ นั่งอยู่บนโซฟาตามสบาย ท่าทางเกียจคร้านเอาแต่ใจ ประกายแสงในดวงตาแวบไปมาราวกับแม่น้ำดวงดาวที่สว่างไสว

อยู่ในห้องงานเลี้ยงในบาร์แท้ๆ แต่เหมือนตัวอยู่ในป่าไม้ไผ่ท่ามกลางทะเลทราย

ลั่วเฉินตกใจอยู่ครู่หนึ่ง พลาดไปจังหวะหนึ่งถึงร้องต่อได้ “ผู้คนกล่าวว่ายุทธภพมีผู้กล้ามากที่สุด ใช้เหล้าอุ่นซื้อวิญญาณข้า สอนให้คว่ำภูเขาทลายแม่น้ำ สอนให้แยกดินถล่มฟ้า โลกนี้ข้าควบคุมเอง หนึ่งชีวิตนี้รวดเร็วนัก…”

ร้องทั้งเพลงจบแล้ว คนตรงนั้นต่างปรบมือเสียงดังกึกก้อง

“เก่งมากเลยๆ!”

“ไม่เสียทีที่จับคู่เบอร์หนึ่ง เหมาะสมกันอย่างเหลือเชื่อ!”

……..

กงซวี่เดินโซเซไปที่แท่นเลือกเพลง “ลุกขึ้นมา ฉันจะเลือกเพลง!”

เขาจะร้องเพลงให้เสี่ยวมี่เจี้ยนของเขา!

คนที่อยู่ข้างๆ รีบถอยออกไป “อ้อๆ พี่ซวี่เลือกเลย!”

กงซวี่เลือกเพลงเสร็จ จากนั้นนั่งบนเก้าอี้สูง ร้องเพลงอย่างเมามาย…

“ฉันต้องการให้เธออยู่ข้างกายฉัน ฉันจะมองเธอแต่งตัว ลมคืนนี้พัดผ่านมา พาใจให้สั่นระรัว ผู้หญิงของฉัน…”

“เวลาผ่านไปช้าเหลือเกิน ผู้หญิงของฉัน เธออยู่ที่ใด มองท้องฟ้าสดใส…”

“ต้องโทษคืนมืดมิดนี้ ที่ทำให้คนเป็นบ้า ฉันจะร้องเพลง และแอบคิดถึงเธอเงียบๆ ผู้หญิงของฉัน…”

เห็นดังนั้นแล้ว ทุกคนในงานเลี้ยงแทบจะมองหน้ากันหมด

“นี่กงซวี่เป็นอะไรน่ะ ท่าทางแปลกๆ นะ! อกหักเหรอ”

“อกหัก? นายล้อเล่นหรือเปล่า! กงซวี่อกหักเป็นด้วย?”

“เอ่อ ก็ใช่…”

……

กงซวี่ร้องจบ ก็ถือไมโครโฟนอย่างเมามาย จากนั้นเดินไปข้างหน้าเยี่ยหวันหวั่น พูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียดว่า “พี่เยี่ย ร้องเพลงกับผม! ร้องเพลงลักยิ้มกัน!”

เยี่ยหวันหวั่นนิ่งเงียบ

ถังซิงหั่วจ้องหน้ากงซวี่ เท้าคางเหมือนกำลังคิด ก่อนจับสังเกตได้อย่างว่องไว หมอนี่ไม่ปกติ…

สายตาที่มองเยี่ยไป๋…ไม่ปกติ…

ถังซิงหั่วกลอกตาคิด จากนั้นพูดขึ้นมาว่า “เฮ้ยๆ ร้องเพลงน่าสนุกตรงไหน! พวกเรามาเล่นเกมกันดีกว่า! เกมจริงหรือกล้าเป็นไง”

………………………………………………………………