ตอนที่ 292-3 จลาจลกำลังมาเยือน

ชายาเคียงหทัย

เฟิ่งจือเหยาที่คิดว่ากำลังจะถูกคุณชายชิงเฉินตำหนิ คางของเขาเกือบจะหลุดลงบนโต๊ะ แต่เขาก็เห็นด้วยตาตัวเองว่าคุณชายชิงเฉินปฏิบัติต่อท่านอ๋องอย่างไร แน่นอนว่าไม่กล้าหวังให้คุณชายชิงเฉินผู้กำลังเดือดดาลจะปล่อยตนไป ม่อซิวเหยาไม่พอใจอย่างมาก “เขาทำได้ดีตรงไหน”

สวีชิงเฉินเอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแส “ได้ผลลัพธ์ที่ดี” ไม่เพียงแต่ทำให้ฮ่องเต้องค์ใหม่แห่งต้าฉู่ไม่ได้รับการสนับสนุนจากตระกูลเฟิ่งแล้ว ยังทำให้ราชสำนักวุ่นวายอีก ยิ่งไปกว่านั้นได้นำเฟิ่งไหวถิงที่สามารถทำการค้าได้ด้วยตัวคนเดียวกลับคืนมาได้ ผลลัพธ์นี้ดีจริงๆ ม่อซิวเหยาโกรธ นี่ไม่ใช่ผลจากความพยายามของข้าหรอกหรือ มีแค่เฟิ่งซานคนเดียวจะมีผลเช่นนั้นได้อย่างไร เหตุใดคนที่โดนเล่นงานเป็นเขาคนเดียว คนที่ทำให้เกิดปัญหาอย่างเฟิ่งจือเหยากลับได้รับคำชม ความยุติธรรมอยู่ที่ใด เวรกรรมมีจริงไหม

“อาหลี พี่ใหญ่ของเจ้ารังแกข้า!” ม่อซิวเหยายื่นมือไปโอบรอบเอวของเยี่ยหลี ก่อนจะพูดอย่างเศร้าๆ

เยี่ยหลีตบบ่าอย่างสงสาร เพื่อแสดงให้เห็นว่า ข้าก็ไม่สามารถช่วยอะไรได้หากพี่ใหญ่กลั่นแกล้งเจ้า ข้าไม่กล้าต่อกรกับพี่ใหญ่นี่นา

สวีชิงเฉินเหลือบมองไปยังคนที่ทำตัวออดอ้อนและโอบกอดเยี่ยหลีอย่างเย็นชา “ถ้าท่านท่านอ๋องจะรับประทานอาหารเย็น ก็อย่าเสียเวลาจะดีกว่า เอกสารราชการบนโต๊ะเหล่านี้ยังคงจ้องมองท่านอ๋องอยู่” ม่อซิวเหยาปล่อยเยี่ยหลีด้วยความอาลัยอาวรณ์ หยิบเอกสารขึ้นมาอ่าน สวีชิงเฉิน ที่เจ้าคอยจับผิดอยู่เช่นนี้ไม่ได้แอบรักภรรยาของข้าจริง ๆ หรือ

ห้องหนังสือสงบลงไปสักครู่ เยี่ยหลีได้แต่ใจอ่อน เมื่อมองม่อซิวเหยาหูลู่คางตกพลางมองมาที่ตน จึงนั่งลงอ่านกองเอกสารที่วางทับกันจนสูงพวกนั้นแทนเขา

“เอ๋ เหลยเจิ้นถิงต้องการจะทำอะไรกันแน่” อีกด้านหนึ่งเฟิงจือเหยาสะบัดเอกสารในมือแล้วถาม “ในเวลาเพียงหนึ่งเดือน เขาได้เพิ่มกองกำลังหลายแสนที่ชายแดน เป็นผลให้จำนวนกองกำลังที่ชายแดนซีหลิงมีมากถึงหกแสนนาย เขาคงไม่ได้อยากจะรบกับเราใช่ไหม”

ม่อซิวเหยาหันข้าง ลูบคางและพูดว่า “ไม่น่านะ เหลยเจิ้นถิงไม่เหมือนคนหุนหันพลันแล่น ยิ่งไปกว่านั้นถ้าต้องการส่งกองกำลังไปที่ซีเป่ย เขาควรจะลงมือตอนที่ข้ากับอาหลีไม่อยู่ ไม่ปล่อยไว้จนถึงตอนนี้หรอก” เฟิ่งจือเหยางงงวย ก่อนจะพูดว่า “เช่นนั้นเขาต้องการทำอะไร ว่างไม่มีอะไรทำ จึงท้าทายพวกเราสักหน่อยอย่างนั้นหรือ”

เยี่ยหลีไตร่ตรองอยู่สักครู่ “ไม่อยากลงมือกับพวกเรา ก็คงอยากลงมือกับคนอื่นแล้วละ ทหารคือสิ่งที่ยิ่งใหญ่ของประเทศ เจิ้นเหล่ยถิงคงไม่เร่งระดมกำลังทหารนับแสนมาแกล้งเราเล่นๆ หรอก แต่…ตอนแรกคิดว่าเขาจะโจมตีหนานจ้าว ไม่คิดว่าเขาจะถอยทัพกลับมา” สวีชิงเฉินรู้สึกเสียใจ และพูดขึ้นด้วยความโล่งใจ “ครั้งนี้เป็นข้าที่คิดผิดจริงๆ การไปกลบดานที่หนานเจียง ยิ่งอันตรายต่อชายแดนซีหลิง ส่วนใหญ่แล้วหนานจ้าวไม่สามารถคุกคามซีหลิงได้เลย ในทำนองเดียวกันซีหลิงต้องใช้ความพยายามอย่างมากในการยึดครองหนานจ้าว เหลยเจิ้นถิงกลัวพวกเรามาตลอด เป็นไปได้มากที่จะยอมปล่อยหนานจ้าวไปชั่วคราว”

ม่อซิวเหยาหันไปดูแผนที่บนผนังและพูดว่า “เขายังต้องการโจมตีต้าฉู่”

เฟิ่งจือเหยาเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “กรณีนี้เป็นไปได้ เมื่อเทียบกับซีเป่ยที่แห้งแล้งของเราแล้ว เจียงหนานและฉู่จิงของต้าฉู่เป็นสถานที่แห่งความเจริญรุ่งเรืองอย่างแท้จริง ตอนนี้ฮ่องเต้องค์ใหม่ของต้าฉู่ได้รับการสถาปนาแล้ว ทั้งกำลังรบกับเป่ยจิ้งและทางเหนือยังมีเป่ยหรงคอยจับตาดูอยู่ หากเขาไม่ต้องการส่วนแบ่งของผลประโยชน์สิแปลก ดังนั้น…กองกำลังหลายแสนคนที่ชายแดน เพื่อป้องกันกองกำลังที่เราส่งไปช่วยต้าฉู่หรือ มองกองทัพตระกูลม่อไว้สูงจริงๆ ข้าเกรงว่าเขาจะไม่ส่งกองกำลังเพิ่มเติมเพื่อโจมตีแคว้นต้าฉู่หรอกนะ”

สวีชิงเฉินมองม่อซิวเหยาอย่างสงบนิ่ง “ท่านอ๋องตัดสินใจอย่างไร”

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว และมองอย่างฉงนไปที่ชายในชุดขาวผู้นั่งไม่ทุกข์ไม่ร้อนตรงหน้า สวีชิงเฉินเอ่ยด้วยรอยยิ้ม “พอซีหลิงโจมตีต้าฉู่ เป่ยหรงที่อยู่ทางตอนเหนือก็จะฉวยโอกาสปล้นชิงตามไฟเช่นกัน ท่านอ๋องจะช่วยหรือเพิกเฉย”

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว เอ่ย “แล้วจะช่วยได้อย่างไร ถ้าเราเพิกเฉยล่ะจะเป็นอย่างไร”

“การช่วยเหลือ แสดงว่าท่านอ๋องยอมรับทราบความต้องการก่อนสิ้นลมของม่อจิ่งฉี กองทัพตระกูลม่อยังคงเป็นผู้พิทักษ์ของต้าฉู่ จวนติ้งอ๋องยังคงเป็นขุนนางของต้าฉู่และซีเป่ยยังคงเป็นดินแดนของต้าฉู่ ส่วนการเพิกเฉย ไม่มีใครกล้าริเริ่มปลุกปั่นซีเป่ยในช่วงเวลาสั้นๆ แต่เมื่อพอต้าฉู่ถูกผนวกกลืนกิน ซีหลิงและเป่ยหรงจะล้อมรอบซีเป่ยไว้ ถึงเวลานั้น…” เสียงของสวีชิงเฉินราบเรียบโดยไม่มีเสียงสูงต่ำใดๆ ราวกับว่าสิ่งที่เขากำลังพูดถึงตอนนี้ไม่ใช่เหตุการณ์สำคัญที่เกี่ยวข้องกับชะตากรรมของซีเป่ยและกองทัพตระกูลม่อ ทว่าเป็นพรุ่งนี้เช้าจะกินอะไรดี

ม่อซิวเหยาเงยหน้ามองสวีชิงเฉินเป็นเวลานาน จากนั้นเขาก็หันกลับมาและยิ้มให้เยี่ยหลี เปิดริมฝีปากและพูดว่า “ข้าไม่เลือกทั้งสองอย่าง”

สวีชิงเฉินเลิกคิ้ว ม่อซิวเหยายิ้มอย่างเย็นชา พู่กันในมือก็ลอยออกจากมือ ตอกเข้ากับแผนที่บนผนัง ทุกคนเงยหน้าขึ้นมอง แปรงเจาะเข้าไปในกำแพงสองนิ้ว ตำแหน่งตกอยู่บนเมืองลู่ เมืองหลวงของซีหลิงบนแผนที่พอดิบพอดี ได้ยินเสียงอันแผ่วเบาของม่อซิวเหยาพูดขึ้นว่า “ข้า…เลือกโจมตีซีหลิง!”

ดวงตาของเฟิ่งจือเหยาเป็นประกาย สายตาจ้องมองไปยังด้ามพู่กันที่ปักอยู่บนแผนที่ ราวกับว่าพู่กันขนหมาป่าเล็กๆ นั้นเป็นดาบที่แหลมคมซึ่งทำให้เมืองหลวงของซีหลิงแยกออกจากกันได้อย่างแท้จริง

“โจมตี…ซีหลิง! ท่านอ๋องพูดจริงหรือ” เสียงของเฟิ่งจือเหยาสั่นเล็กน้อย ฟังออกว่ากำลังตื่นเต้น

“ข้าล้อเล่นได้ด้วยหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยยิ้มๆ นัยน์ตาเฟิ่งจือเหยาเป็นประกายกว่าเดิมแล้ว

กองทัพตระกูลม่อจำศีลมาหลายปีและในที่สุดก็ถึงเวลาแสดงความสามารถแล้ว นี่เป็นเพียงกองทัพทหารอันเกรียงไกรที่สุดของต้าฉู่ที่ถูกก่อตั้งขึ้นเพื่อจุดประสงค์ในการรวมประเทศให้เป็นหนึ่งเดียว อย่างไรก็ตามด้วยเหตุผลหลายประการที่โผล่ขึ้นมาอย่างไม่ขาดสายนี้ ความปรารถนานี้จึงไม่เคยบรรลุผล ในชั่วพริบตาผ่านไปเกือบสองร้อยปีแล้ว ปลายดาบและความรุ่งโรจน์ของกองทัพตระกูลม่อแทบจะถูกถูจนหมดไปแล้ว ตอนนี้ ในที่สุดก็ถึงคราของพวกเขาแล้วใช่ไหม…

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้…” สวีชิงเฉินยิ้มอย่างไม่แยแส น้ำเสียงดังชัดและสงบนิ่ง “ท่านอ๋องเตรียมพร้อมหรือยัง”

“หากข้ายังไม่พร้อม กองกำลังทหารจำนวนสามหมื่นนายที่คุณชายชิงเฉินส่งไปชายแดนก็เปล่าประโยชน์แล้วน่ะสิ” ม่อซิวเหยาหัวเราะเสียงดังฟังชัด คุณชายชิงเฉินไม่สนใจที่ถูกม่อซิวเหยาพูดแทงใจ ก่อนจะยิ้มพลางเอ่ย “ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ก็ขอให้ท่านอ๋องได้โบกธงแห่งชัยชนะ”

ในห้องหนังสือที่เดิมทีสงบและเรียบง่าย ดูเหมือนบทสนทนาเรื่อยเปื่อยได้ตัดสินสถานการณ์ในอนาคตของใต้ฟ้าไปแล้ว เยี่ยหลีผู้ที่นั่งอยู่อีกข้างหนึ่งยิ้มบางๆ จลาจล…ของใต้ฟ้ากำลังมาเยือน ในฐานะภรรยา นางจะอยู่ข้างกายเขาตลอดไป ในฐานะพระชายาติ้งอ๋อง นางจะมีส่วนร่วมในการแข่งขันช่วงชิงอำนาจนี้ด้วยตนเอง