หวังไคที่ถูกตะคอก เบิกตากว้างทันที

 

ในตอนนั้นเอง มีเสียงฝีเท้าจำนวนมากที่กำลังวิ่งกรูกันมาทางนี้พร้อมกับเสียงแหกปาก

 

“เฮ้ย!”

 

“ช่วยด้วย!”

 

“มีคนตาย? นี่มันอะไร?”

 

“เดี๋ยวก่อน นี่เป็นเจ้าหน้าที่ ดูสถานการณ์สิ”

 

ภายในช่วงเวลาสั้นๆ พื้นที่บริเวณนี้ก็ถูกล้อมรอบไปด้วยผู้ลี้ภัยจำนวนมาก การจลาจลนี้ได้ดึงดูดความสนใจของทหารเช่นกัน ถึงอย่างไรแล้วเสียงยิงปืนสองนัดก่อนหน้านี้ก็ดังมากและก็เห็นได้ชัดว่าไม่ได้เกิดจากอาวุธที่ผู้ลี้ภัยจะมีได้

 

อึก!

เฉินช่าวเย่กลืนน้ำลายอึก รู้สึกกลัวกับภาพที่ได้เห็น เขายิงปืนใส่ประตูและจู่ๆมันก็ผู้ลี้ภัยคนหนึ่งคลานตามพื้นออกมาอย่างสิ้นหวังพร้อมกับสำลักเลือด แต่นี่ไม่ใช่สาเหตุที่ทำให้เฉินช่าวเย่รู้สึกกลัวแต่สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกกลัวคือภาพด้านหลัง ภายในห้องแคบๆมันมีกองซากศพของมนุษย์อยู่ ศพยังคงมีเลือดไหลทะลักออกมาตามแผลที่เป็นรูกลวง ซึ่งคงจะโดนทำร้ายมาอย่างทารุณ ขณะเดียวกันก็มีกลิ่นเหม็นคาวเลือดคละคลุ้งไปทั่ว

 

“นี่มัน…” เฉินช่าวเย่หันไปมองชูฮันด้วยสายตาหวาดกลัว ไหนหัวหน้าบอกว่ามาตามหาเพื่อนร่วมห้องพักที่มหาวิทยาลัยไง?

 

ในขณะนั้นเศษฝุ่นที่ปลิวว่อนในอากาศเริ่มสลายตัวลง ทิศทางที่ชูฮันบอกให้เฉินช่าวเย่ยิงปืนนัดที่สองออกไปก็เริ่มเปิดทางให้เห็น มันมีร่างที่ดูเหมือนมนุษย์ที่ปืนไรเฟิลของเฉินช่าวเย่ยิงเข้าใส่นอนตายอยู่ที่พื้นไกลออกไป มีเศษเนื้อบางส่วนกระเซ็นพร้อมกับเลือดกระจายไปทั่วบริเวณ หากมันไม่มีค่าอะไรเลยเมื่อได้เห็นว่ามือที่ขาดหลุดออกไปไกลๆนั่นดูคล้ายกับมือของซอมบี้

 

“ลูกผสม!” เฉินช่าวเย่ตะโกนออกมา ตามมาด้วยเหงื่อที่แตกโชกจนตัวเปียก นี่ภายในค่ายซางจิงปนเปื้อนไปด้วยลูกผสมงั้นเหรอ?

 

ชูฮันยกเท้าขึ้นและก้าวเดินไปที่หาผู้ลี้ภัยข้างหน้าที่ยังคงสำลักออกมาเป็นเลือดอยู่ ชูฮันมองคนคนนั้นด้วยสายตาดิ่งลึกและเอ่ยปาก “นายควรจะขอบคุณศพพวกนี้ ไม่อย่างนั้นนายก็คงตายไปตั้งแต่นัดแรกแล้ว”

 

อาวุธของเฉินช่าวเย่ไม่ใช่ปืนไรเฟิลธรรมดา หากคนทั่วไปมายิงปืนนี้แรงหดตัวดีดกลับของปืนอาจทำให้คนคนนั้นแขนหักได้ แต่ไม่ใช่เฉินช่าวเย่ที่เป็นพรสวรรค์และมีคุณสมบัติทางกายภาพที่ดีเริศกับการใช้อาวุธนี้ อีกอย่างอาวุธนี้ถูกออกแบบมาเพื่อเฉินช่าวเย่โดยเฉพาะ ทว่าถึงแม้จะเป็นเฉินช่าวเย่หากใช้งานมากๆก็อาจส่งผลได้เช่นกัน

 

เติ้งเวยป๋อสะบัดศีรษะจากนั้นก็จ้องไปที่ชูฮันที่อยู่ตรงหน้าและเมื่อเขาได้เห็นตราตำแหน่งพลเอกบนหน้าอกชูฮัน แววตาเบื้องหลังแว่นตาของเติ้งเวยป๋อก็ยิ่งเคียดแค้นขึ้นกว่า เติ้งเวยป๋อไม่ปริปากพูดแต่ท่าทางแสดงออกชัดว่าเดือดดาล

 

สายตาของชูฮันจับจ้องไปที่บริเวณปากแผลของเติ้งเวยป๋อที่มีเนื้อปริ้นออกมาและเลือดที่ไหลออกมาตรงหน้าอก น้ำเสียงของชูฮันมีร่องรอยของความผิดหวัง “ถ้านายจะไม่ทำเรื่องดีๆ นายก็ไม่ควรไปร่วมมือกับพวกลูกผสม?”

 

ชูฮันตกใจมากเมื่อตอนที่ได้ยินข้อมูลนี้จากหวังไค ถึงแม้เติ้งเวยป๋อจะเป็นคนชั่วร้ายแต่เขามั่นใจว่าเติ้งเวยป๋อไม่ได้เลวร้ายขนาดนั้น นี่มันเกิดอะไรขึ้นในชาตินี้ถึงทำให้เติ้งเวยป๋อไปร่วมมือกับลูกผสมได้?

 

“ทำไมน่ะเหรอ?” เติ้งเวยป๋อไอออกมาเป็นเลือด น้ำเสียงมัวหม่น “มึงถามฉันว่าทำไม? มึงไม่รู้เหรอไง!?”

 

ชูฮันย่นคิ้ว ขณะพยายามรำลึกถึงข้อมูลของเติ้งเวยป๋อ เขานึกย้อนกลับไปที่ข้อมูลที่หวังไคขโมยมาให้ ต้องขอบคุณการสืบสวนก่อนหน้านี้ของหลิวยู่ติงจึงทำให้เขารู้ทิศทางห้องเก็บข้อมูลและให้หวังไคเข้าไปหาข้อมูงให้เขา และก่อนหน้านี้แผ่นกระดาษที่ชูฮันอ่านอยู่ก็คือข้อมูลของร้อยโทฟางเฉิง เมื่อสามเดือนก่อนร้อยโทฟางเฉิงตายในพื้นที่ร่ำรวยภายในบ้านของตัวเอง ส่วนตัวฆาตรกรนั่นไม่สามารถระบุตัวได้ ลูกชายที่ชื่อฟางหลงและเติ้งเวยป๋อที่มาอาศัยอยู่ด้วยได้หายตัวไป และมันก็มีประวัติเล็กน้อยของฟางหลงเมื่อตอนที่เป็นวิวัฒนาการระยะ 1

 

“นี้มันเกิดบ้าอะไร?!”

 

และในขณะที่ชูฮันกำลังขบคิดในหัวอยู่ มันก็มีเสียงที่ดังกว่าเสียงผู้คนที่ล้อมวงอยู่ขึ้นมาพร้อมกับคำพูดที่เต็มไปด้วยความเย่อหยิ่ง “ใครให้พวกแกมาที่นี้?!” ทุกคนรีบกระจายตัวทันทีเมื่อเห็นว่ามีทหารมาจัดการแล้ว “แก! บอกฉันมาสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น…เอ่อ! ท่านเฉินช่าวเย่!”

 

“หุบปากซะ!” เฉินช่าวเย่แค่นหัวเราะ “กลับไปซะ! หมุนตัวกลับไปและทำเป็นไม่เห็นอะไรทั้งนั้น!”

 

“ครับ!” ไม่เหมือนกับท่าทางเย่อหยิ่งและเสียงดังวุ่นวายก่อนหน้านี้ คราวนี้กลุ่มทหารตอบเสียงรับกันอย่างพร้อมเพรียง

 

ซึ่งแตกต่างจากความเย่อหยิ่งและความวุนวายก่อนหน้านี้ ในครั้งนี้คือกลุ่มนายทหารตอบรับกันอย่างพร้อมเพรียง

 

ชูฮันไม่คิดจะสนใจผู้คนรอบนอกบ้าน เขามองเติ้งเวยป๋อที่นอนอยู่ที่พื้น เสียงของเขาแผ่วเบาหากเต็มไปด้วยการกดขี่ “เห็นแก่ที่เราเคยนับถือกันเป็นพี่น้องและฉันจะไม่ยุ่งเรื่องลูกผสม แต่นายต้องบอกฉันว่าฟางหลงอยู่ไหนและใครตาย?”

 

“เฮอะ! พี่น้อง!” อย่างไม่คาดคิดเติ้งเวยป๋อแค่นหัวเราะออกมาจากนั้นก็แหกปากใส่ชูฮันอย่างน่าสยดสยอง “ไปตายซะไอ้เ*ย! กูจะฆ่าพี่แม่มึงให้หมด! พวกมึงทั้งหมดมันน่ารังเกียจ!”

 

คิ้วของชูฮันกระตุก เขามองลึกลงไปที่หน้าของเติ้งเวยป๋อ น้ำเสียงของชูฮันให้สัมผัสถึงความหนาวเหน็บ “ฟางหลงเป็นวิวัฒนาการ และฉันเป็นวิวัฒนาการ แต่นายไม่ใช่ แล้วพอหลังจากฆ่าครอบครัวของฟางหลงแล้วยังไง หลบหนี?”

 

สำหรับเรื่องนี้ ชูฮันกำลังคิดถึงเหตุผลที่ทำไมเติ้งเวยป๋อถึงสามารถเปลี่ยนไปได้ขนาดนี้และมาได้ถึงจุดนี้

 

ในแววตาของเติ้งเวยป๋อมันมีสัมผัสของความเย็นชา พร้อมกับร่องรอยของความลำบากและไม่พอใจ “มึงนี่ฉลาดนะ กุละแปลกใจทำไมมึงถึงทำข้อสอบมหาลัยไม่ได้?”

 

“แกฆ๋าฟางหลง?” แววตาของชูฮันเริ่มเย็นชาขึ้นเรื่อยๆ

 

เติ้งเวยป๋อเผยฟันเหลืองอ๋อยออกมาและจ้งองชูฮันด้วยสายตาไม่พอใจอย่างสุดขีด “มึงและฟางหลง ทำตัวฉลาดได้เรียนมหาลัยหมิงชิว ไอ้มหาวิทยาลัยระดับสองแบบนั้นที่ทุกเทอมพวกมึงก็เอาแต่นั่งเล่นเกมส์กัน แต่พอเกิดการปะทุกูที่พยายามแทบตายกลับเป็นได้แค่พี่เลี้ยงคอยดูเอาใจมัน แต่พวกมึงที่ไม่ได้ทำห่าอะไรเลยกลับได้เป็นวิวัฒนาการ?”

 

ชูฮันมองเติ้งเวยป๋อที่มีสีหน้าไม่พอใจ คนตรงหน้านี้ดูไม่ใช่เติ้งเวยป๋อเพื่อนที่เขาคุ้นเคย แน่นอนว่าเติ้งเวยป๋อมีศักยภาพที่จะกลายเป็นพรสวรรค์ได้ สถานการณ์ของเติ้งเวยป๋อตอนนี้น่าจะอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับบูชาเมื่อก่อน…ยังไม่ได้รับการกระตุ้น

 

บางทีอาจเป็นเพราะเติ้งเวยป๋อไม่รู้ว่าการกลืนคริสตัลสามารถช่วยกระตุ้นพลังของพรสวรรค์ให้แสดงออกมาได้ แถมเติ้งเวยป๋อก็ไม่กล้าที่จะลองอีก แต่ถึงอย่างไรก็ตามเติ้งเวยป๋อได้ทำผิดบรรทัดฐานคุณธรรม เขาร่วมมือกับลูกผสมฆ่ากลุ่มผู้ลี้ภัยที่อาศัยอยู่รอบๆเพื่อเป็นอาหารให้ลูกผสม ถ้าเป็นคนอื่นชูฮันคงเอาขวานสับไปแล้วไม่มาเสียเวลาให้พล่ามอะไรไร้สาระแบบนี้เด็ดขาด!

 

เติ้งเวยป๋อไม่รู้ถึงความคิดของชูฮันและยังคงแหกปากตะคอกใส่ชูฮันต่อ “โดยเฉพาะอย่างยิ่งขยะอย่างแกที่ไม่มีค่าอะไรเลยในยุคก่อน แต่ตอนนี้กลับอยู่ในรายชื่อเสาหินแถมยังได้ตำแหน่งพลเอกอีก? แกมันไอ้เวรตะไล! ทำไม!”

 

ชูฮันไม่ต้องการเสียเวลากับเติ้งเวยป๋อที่กลายเป็นคนแปลกหน้าคนนี้ต่ออีก ชูฮันเพียงก้มหน้าลงเล็กหน้าและถาม “นายมีลูกผสมสองตัวอยู่ในบ้าน อีกตัวอยู่ไหน?”

 

“แกถามฉันว่ามันอยู่ไหนงั้นเหรอ?” เติ้งเวยป๋อไม่ตอบคำถามของชูฮัน เขาดันตัวยกขึ้นมาพร้อมกับส่งยิ้มยั่วยุให้ แววตาของเติ้งเวยป๋อทำให้หัวใจของชูฮันกระตุก “มันอยู่ในห้องเนี่ยแหละ”