บทที่ 1375+1376 Ink Stone_Romance
บทที่ 1375 เผ่นหนีไป!
เป็นเด็กน้อยที่ขาวอวบเหมือนก้อนแป้ง อายุดูราวหกเจ็ดขวบ เครื่องหน้าหมดจดพริ้มเพรา หว่างคิ้วมีไฝชาดรูปเปลวเพลิงอยู่ ตัวเล็กนุ่มนิ่มดึงดูดให้คนเอ็นดูอย่างยิ่ง
เมื่อก่อนมันชอบมุดอยู่ในกองผ้านวมของกู้ซีจิ่ว ต่อมากู้ซีจิ่วออกเรือน ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเข้ายึดครองเตียงของเจ้านายมัน ไม่อนุญาตให้มันเข้าใกล้อีก
นี่ยังพอว่า อย่างไรก็ตามเนื่องจากตอนกลางวันทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายจะตัวติดกับเจ้าของมันอยู่ตลอด มันจึงไม่มีโอกาสมุดเข้าแขนเสื้อของเจ้านายเลย ถึงขั้นที่ไม่อาจเข้าใกล้เจ้านายได้ด้วยซ้ำ เนื่องจากทุกครั้งที่มันออดอ้อนขายความน่ารักให้เจ้านายก็จะถูกทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายซัดจนปลิว บอกว่ามันขนเยอะ ขนจะร่วง…
นี่ทำให้ลู่อู๋น้อยขุ่นเคืองยิ่งนัก ทว่าไม่กล้าแสดงอาการออกมา ภายใต้ความขุ่นเคืองมันจึงมุมานะฝึกฝนอย่างสุดชีวิต ฝึกฝนจนเปลี่ยนร่างเป็นมนุษย์ได้ในปีที่เจ็ด…
มันรู้ว่าเจ้านายชมชอบเด็กน้อยน่ารัก ดังนั้นร่างมันมนุษย์ที่มันแปลงออกมาจึงมีรูปลักษณ์เป็นเด็กน้อย มาดหมายให้เจ้านายโอบอุ้มอีกครั้ง กอดมันตอนกลางคืนอีก…
ผลคือเมื่อเจ้านายเห็นร่างหนูน้อยของมันก็ปรีดายิ่งนักจริงๆ ไม่เพียงแต่บีบแขนขาป้อมๆ ของมันอยู่หลายคราเท่านั้น ยังจุมพิตพวงแก้มนุ่มนิ่มทีหนึ่งด้วย ขณะที่ลู่อู๋น้อยกำลังรู้สึกว่าในที่สุดตนก็ทวงคืนความเอื้อเอ็นดูจากเจ้านายได้แล้ว ผลคือเมื่อทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายกลับมาถึง ได้เห็นรูปลักษณ์น่าเอ็นดูของมัน…
เขาจ้องมันอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยชมเชยสองประโยคอย่างที่เห็นได้ยากนัก ลูบหัวมัน จากนั้นก็มอบกำไลเงินลวดลายโบราณที่ดูมีอารยธรรมยิ่งนักคู่หนึ่งให้มันเป็นรางวัล ลู่อู๋น้อยสวมใส่อย่างดีใจยิ่งนัก จากนั้นก็วิ่งไปโอ้อวดต่อหน้าอีกสองตัว ทำให้สองตัวนั้นอิจฉาจนน้ำลายหก แล้วจึงวิ่งไปอวดเบื้องหน้าเจ้านายต่อ กู้ซีจิ่วสนใจกำไลเงินคู่นี้ของมันยิ่งนัก ให้มันถอดออกมาให้ชม ผลคือยามที่มันจะถอดถึงพบว่าถอดไม่ออก…
กำไลเงินสองวงนั้นเหมือนงอกออกมาจากแขนอวบป้อมหมือนรากบัวนั้น ไม่ว่ามันจะทำอย่างไรก็ถอดไม่ออก อีกทั้งยิ่งถอดก็ยิ่งแน่น รัดจนมันอยากร้องไห้
เจ้านายก็ก้าวเข้ามาช่วย ผลคือพอเจ้านายแตะถูกแขนมัน มันก็กลับสู่ร่างเดินทันที!
และกำไลเงินสองวงนั้นก็ติดอยู่ในขาหน้าของมัน
ลู่อู๋น้อยโกรธแล้ว พลันขยายร่างให้เดี๋ยวใหญ่เดี๋ยวเล็ก คิดจะทำให้กำลังปริแตกหรือไม่ก็ทำให้มันหลุดออกไปเอง ผลคือกำไลคู่นี้เป็นกำไลดั่งใจนึก สามารถยืดหดได้ตามขนาดร่างกายมัน…
ในที่สุดลู่อู๋น้อยก็เข้าใจแล้วว่ากำไลนี้จะติดหนึบอยู่กับมัน! แถมมันยังมีคุณสมบัติอยู่อีกข้อ หากว่ามันแปลงร่างเป็นมนุษย์ ไม่สัมผัสถูกตัวเจ้านายสักเท่าไหร่ก็ยังพอว่า ทว่าเมื่อสัมผัสถูกตัว มันจะกลับสู่ร่างเดิม ไม่อาจแปลงร่างได้เป็นเวลาสองชั่วยาม…
ลู่อู๋น้อยรู้สึกอยู่ลึกๆ ว่าตนหลงกลแผนร้ายของทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายเข้าแล้ว ดังนั้นจึงพุ่งไปขอคำอธิบายจากทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายทันที คนที่ผูกกระพรวนย่อมต้องแก้กระพรวนได้ มันต้องการให้เขาเอากำไลเวรตะไลคู่นี้คืนไป มันไม่อยากได้แล้ว! ผลคือเมื่อมันบอกกล่าวเหตุผลของตนอย่างเป็นคุ้งเป็นแควจนจบ ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายก็มองมันเพิ่มอีกแวบหนึ่ง จากนั้นก็หยิบปลอกคอที่ส่องแสงวาววามอันหนึ่งออกมาอีก กล่าวด้วยสีหน้าอ่อนโยน “ที่ข้ายังมีปลอกคอดั่งใจนึกอยู่อีกอัน เด็กชายอย่างเจ้าน่ารักยิ่งนัก ถ้าสวมปลอกคอนี้เข้าไปต้องมีสีสันขึ้นไม่น้อยแน่นอน มาสิ ข้าจะสวมให้เจ้าเอง”
จากนั้น…จากนั้นลู่อู๋น้อยก็เผ่นหนีไปด้วยน้ำตานอง!
ส่วนกำไลสองวงนั้น ขอเพียงมันไม่ไปงัดแงะไม่ไปสนใจ ก็จะเป็นเครื่องประดับอยู่บนข้อมือของมันอย่างสงบ
ตอนนี้เนื่องจากต้องไปแล้ว ทูตสวรรค์ฝ่ายซ้ายคล้ายต้องการเก็บข้าวของบางอย่าง ดังนั้นจึงแยกตัวไปครู่หนึ่งแล้ว ด้วยเหตุนี้ลู่อู๋น้อยถึงเข้าใกล้กู้ซีจิ่วได้ แน่นอนว่ามันทำได้เพียงยืนพูดคุยอยู่ข้างตัวเธอเท่านั้น สัมผัสตัวไม่ได้
————————————————————————————-
บทที่ 1376 สถานที่แห่งนี้ยังคงต้องรื้อทิ้ง!
ลู่อู๋น้อยชอบสวมชุดแดง ด้วยเหตุนี้กู้ซีจิ่วจึงทำเสื้อคลุมสีแดงตัวเล็กๆ นี้ให้ ดูราวกับเทพนาจาในภาพวาดก็มิปาน
กู้ซีจิ่วเดินภายในห้องรอบหนึ่ง เก็บข้าวของที่เป็นกรรมสิทธิ์ของตนเข้ามิติเก็บของหมดแล้ว
ตอนที่ออกไปจากที่นี่ได้ก็ปรารถนาจะออกไปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน แต่ยามนี้พอต้องจากไปจริงๆ แล้ว กลับรู้สึกใจหาย
ขณะที่เธอกำลังยืนยืนใจลอยอยู่กลางเรือน ตี้ฝูอีเข้ามาจากด้านหลัง มองดวงหน้าน้อยๆ ของเธอ “เป็นอะไรไป?”
กู้ซีจิ่วซบอกเขา “หักใจไม่ลงอยู่บ้าง ถึงอย่างไรนี่ก็เป็นบ้านที่พวกเราอาศัยอยู่ถึงแปดปี…” มีความทรงจำของเขากับเธอมากมาย
ตี้ฝูอีก็พินิจดูรอบข้างเช่นกัน เขาไม่ได้เก็บทุกเรื่องราวมาใส่ใจ ย่อมมีหลายอย่างที่ไม่เข้าตาเขาเช่นกัน ชีวิตนี้เขาพักอาศัยอยู่ในสถานที่นับไม่ถ้วน อลังการหรูหราเช่นใดล้วนมีหมด ลักษณะเช่นใดล้วนมีทั้งสิ้น แต่ลักษณะเรียบง่ายปานนี้แบบที่นี่ยังคงเป็นที่แรก
ต่อให้เป็นเรือนที่โอ่อ่าหรูหราสักเพียงใดถ้าเขาบอกว่าจะรื้อก็คือรื้อ ไม่มีปวดใจเลยสักนิด แต่กับที่นี่เขาหักใจไม่ลงอยู่บ้าง…
ถึงอย่างไรก็เป็นสถานที่ที่เขาใช้ชีวิตอยู่กับนางมาแปดปีเชียว!
เขาใคร่ครวญอยู่ครู่หนึ่ง เอ่ยกับกู้ซีจิ่ว “สถานที่แห่งนี้ยังคงต้องรื้อทิ้ง!”
กู้ซีจิ่วมีปฏิกิริยาตอบสนองไปชั่วขณะ “หือ? ทำไมต้องทำลายล่ะ?” เธอหักใจไม่ลง! ในเรือนนี้มีข้าวของที่เธอกับเขาทำขึ้นด้วยตัวเองตั้งมากมาย อย่างเช่นภาพฝาผนังเอย บานหน้าต่างเอย…
ตี้ฝูอีเอ่ยตอบ “ข้าไม่อยากให้ใครหน้าไหนเข้ามาอาศัยอยู่ในเรือนหลังนี้ต่อ!”
เมื่อพวกเขาจากไป เรือนนี้จะต้องถูกคนที่เหลืออยู่เข้าครอบครองเป็นแน่ เขารับไม่ได้ที่ต้องปล่อยให้คนอื่นมาอาศัยอยู่ในรังรักของเขา
กู้ซีจิ่วย่อมเข้าใจความคิดเขาดี จึงไม่ขัดขวางเขา เธอก็ไม่อยากเหมือนกัน…
ด้วยเหตุนี้ ตี้ฝูอีจึงรื้อเรือนนี้เสีย
เขารื้อเรือนได้ว่องไวนัก สะบัดแขนเสื้อไม่กี่ที เรือนหลังนั้นก็ราวกับถูกพายุพัดกระหน่ำหายไปจากจุดเดิม มองไม่เห็นอีกต่อไป
….
ไม่ว่าจะหักใจหากไปลงหรือไม่ก็ล้วนต้องจากไป ดังนั้นเมื่อถึงเวลาที่กำหนด ทั้งเก้าคนที่ต้องจากไปจึงมารวมตัวกัน
กู้ซีจิ่วพาสัตว์เลี้ยงทั้งสามของตนขึ้นไปบนต้นไม้ยักษ์พร้อมกับทุกคน ตรงขึ้นไปบนส่วนยอด จากนั้นก็ร่ายคาถาเบิกทางตามที่ตี้ฝูอีสอนไว้…
ฟากฟ้าเหนือยอดไม้ที่เดิมทีปิดผนึกไว้อย่างหนาแน่นคล้ายถูกบางสิ่งสั่นคลอน เริ่มสั่นไหวขึ้นมา ค่อยๆ ปริออกเป็นรอยแยก
ทั้งเก้าคนมุดออกไปจากช่องที่ปริออกอย่างต่อเนื่องตามลำดับ…
เงาร่างของคนทั้งเก้าเลือนหายไปอย่างรวดเร็ว โจวเทียนชื่อที่แอบตามหลังทั้งเก้าคนมา เมื่อเห็นเก้าคนนั้นออกไปได้ เขาพลันตัดสินใจกระโจนตามขึ้นไปเช่นกัน ทะยานร่างขึ้นไป กริยาเหมือนเก้าคนนั้นทุกประการ ทว่ายามที่กำลังจะสัมผัสถูกช่องนั้น ก็ถูกพลังประหลาดสายหนึ่งดีดกลับลงมา!
พลังที่ปรากฏออกมาอย่างลึกลับนั้นมหาศาลยิ่ง ยามที่เขาร่วงลงมาชนกิ่งไม้นับไม่ถ้วนจนหัก กิ่งไม้บางส่วนปักเข้าไปในร่างเขาอย่างไม่อาจหลบเลี่ยงได้ ทำให้เขาร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด เมื่อคนที่อยู่ด้านล่างพบเห็นเขา ทั้งร่างเขาเต็มไปด้วยกิ่งไม้ ราวกับเม่นตัวหนึ่ง
ยามนี้หมอในหมู่บ้านมีเพียงเล่อเสี่ยวถงผู้เดียว หลายปีมานี้กู้ซีจิ่วถ่ายทอดความรู้ทางการแพทย์ให้เล่อเสี่ยวถงไปไม่น้อย เล่อเสี่ยวถงก็เรียนได้ดี ยามนี้ถึงแม้วิชาแพทย์ของนางจะสู้กู้ซีจิ่วไม่ได้ แต่เมื่ออยู่ที่นี่ก็นับว่าเป็นหมอที่มีฝีมือยิ่งนักแล้ว รับมือกับแผลอักเสบได้ดียิ่ง
เมื่อก่อนโจวเทียนชื่อไม่อยากให้ภรรยาตนเรียนวิชาแพทย์ เนื่องจากการเรียนวิชาแพทย์จะต้องแตะเนื้อต้องตัวกับบุรุษคนอื่น ต่อมาเขาตัดสินใจว่าจะทิ้งนางเพื่อออกไป จึงไม่แยแสนางอีก ถึงแม้ยามเห็นนางตรวจอาการให้คนอื่นเขาจะรู้สึกอัดอัดยิ่งนัก แต่เขาก็กัดฟันทำให้ตัวเองเคยชินเสีย ทำให้ตัวเองไม่แยแส…
บัดนี้เขาบาดเจ็บสาหัส แต่คนยังคงมีสติอยู่ ถูกสหายแบกไปหาเล่อเสี่ยวถง
————————————————————————————-