บทที่ 254น้ำตาของฉินซี

The king of War

“คุณหาน ขอโทษค่ะ ฉันมันเป็นยัยหน้าโง่มาโดยตลอด คุณช่วยยกโทษให้ฉันด้วยนะคะ!”

เจิ้งเหม่ยหลิงตกใจจนต้องรีบขอโทษ

หานเฟยเฟยมองเธออย่างไม่ชอบใจ จากนั้นก็หันไปมองเจิ้งเต๋อหัว แล้วค่อยๆ พูดออกมาว่า “ผู้นำเจิ้ง ฉันมาถึงที่เมืองโจวเฉิงยังไม่ถึงสองวัน ก็เจอหน้าหลานสาวคุณไปสองครั้งแล้ว ทุกครั้งที่เจอ พฤติกรรมของเธอนั้นมันก็น่ารำคาญมากพูดจาก็ไม่มีความเกรงใจกันเลย ถ้าอยู่ที่เมืองเอกละก็ เธอคงได้ตายไปหลายรอบแล้ว”

หานเฟยเฟยนั้นพูดออกมาอย่างไม่ไว้หน้า พูดจาด้อยค่าเจิ้งเหม่ยหลิงจนไม่เหลือค่าอะไรเลย

เจิ้งเต๋อหัวนั้นเหงื่อเย็นไหลเต็มหน้าผาก เขาจึงรีบพูดไปว่า “ครับ สิ่งที่คุณหานสั่งสอนมามันถูกต้องแล้ว หลังจากที่กลับไป ผมจะสั่งสอนเธอให้เป็นอย่างดีเลยครับ!”

ตั้งแต่ต้นจนจบ หานเซี่ยวเทียนก็ไม่ได้พูดอะไรเลย เป็นการแสดงออกว่าเขานั้นเห็นด้วยกับสิ่งที่หานเฟยเฟยทำ

ห้องจัดเลี้ยงที่แสนกว้างใหญ่ แขกที่มาเป็นร้อย ตอนนี้ทุกคนต่างตกอยู่ในความหวาดกลัว ไม่มีใครกล้าส่งเสียงพูดออกมาเลยสักคน

ส่วนเฉินซิงไห่กับพวกเศรษฐีของเมืองโจวเฉิงนั้น ตอนนี้ต่างพากันทำหน้าตื่นเต้น ได้แต่ยืนมองอยู่ข้างๆ

“พี่หยางคะ นี่เป็นลูกสาวของคุณใช่มั้ยคะ? เธอสวยจังเลย เหมือนตุ๊กตาเซรามิกเลย”

หานเฟยเฟยที่เพิ่งทำตัวทรงอำนาจเมื่อกี้ ตอนนี้ก็เหมือนได้เปลี่ยนเป็นคนละคน เธอเดินเข้ามาอย่างเป็นกันเอง แล้วหยิกแก้มเสี้ยวเสี้ยวไปทีหนึ่ง

ส่วนเสี้ยวเสี้ยวเองก็รู้สึกสนใจในตัวหานเฟยเฟยเหมือนกัน เธอจ้องมองหานเฟยเฟยด้วยดวงตาคู่โตที่เป็นประกายจากนั้นก็พูดไปว่า “สวัสดีค่ะพี่สาว หนูชื่อเสี้ยวเสี้ยว พี่สวยมากเลยค่ะ!”

พอได้ยินเสี้ยวเสี้ยวเรียกตัวเองว่าพี่สาว หานเฟยเฟยก็ทำหน้าเซอร์ไพรส์ จากนั้นเธอก็ยิ้มออกมาอย่างสดใส “สวัสดีจ้ะเสี้ยวเสี้ยว หนูน่ารักมากเลย!”

“หยางเฉิน วันนี้เป็นวันแต่งงานของญาติเธอเหรอ?”

หานเซี่ยวเทียนมองไปรอบๆ แล้วหันไปถามหยางเฉิน

“เจ้าบ้านหานสวัสดีครับ ผมคือคุณตาของหยางเฉิน โจวเหลียงซานครับ วันนี้เป็นวันมงคลของหลานชายคนโตของผมครับ”

ไม่รอให้หยางเฉินได้ตอบ นายท่านตระกูลโจวก็ได้เดินเข้ามา พร้อมกับใบหน้าที่ยิ้มแย้ม “หยางเฉิน อย่าปล่อยให้เจ้าบ้านเฉินเอาแต่ยืนอยู่ตรงนั้นสิ รีบเชิญท่านให้เข้ามานั่งเร็ว!”

ตอนที่มองหน้านายท่านตระกูลโจวนั้น หยางเฉินก็ทำหน้าเฉยชา แต่ไม่ว่ายังไง เขาก็ยังเป็นตาของฉินซีอยู่ดี

ตอนที่หยางเฉินกำลังจะพาหานเซี่ยวเทียนเข้าไปนั่งข้างในอยู่นั้น จู่ๆ ฉินยีก็พูดเยาะเย้ยขึ้นว่า “คุณตาคะ ก่อนหน้านี้คุณตาไม่เห็นจะเคยยอมรับว่าเขาเป็นหลานของขอคุณตาเลยนี่คะ พอตอนนี้เห็นว่าเขารู้จักกับคนใหญ่คนโต ก็ยอมรับขึ้นมาทันทีเลยเหรอคะ?”

รอยยิ้มบนใบหน้าของนายท่านตระกูลโจวนั้นแข็งเกร็งไปทันที แต่เนื่องจากหานเซี่ยวเทียนยังอยู่ที่นี่ มันจึงไม่ควรที่จะใส่อารมณ์ตอนนี้ เขาแค่พูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาว่า “เสี่ยวยี หยุดก่อความวุ่นวายได้แล้ว! นั่งลงเดี๋ยวนี้!”

“คุณตาคะ หนูไม่ได้จะก่อความวุ่นวายสักหน่อย แต่คุณตานั้นทำไม่ถูก!” ฉินยีนั้นพูดออกมาอย่างไม่ลังเล

ในใจของธะอนั้นอดกลั้นมาโดยตลอด โดยเฉพาะเมื่อกี้ ตอนที่เฉินซิงไห่กับมู่ตงเฟิงปรากฏตัว คนของตระกูลโจวทำหน้ายังไงเธอนั้นรู้ดีอย่างมาก

ตอนนี้กลับอยากใช้ประโยชน์จากหยางเฉิน มาเข้าหาหานเซี่ยวเทียน

ถ้าเธอไม่ทำอะไรเลย เธอคงต้องรู้สึกผิดไปตลอดชีวิตแน่

“หุบปาก!”

นายท่านโจวตะคอกออกมา

“คุณตาคะ หนูคิดว่าที่เสี่ยวยีพูดมานั้นไม่ผิด! เราไม่ได้จะก่อเรื่อง แต่เป็นคุณตาต่างหากที่ทำไม่ถูก!”

ฉินซีเองก็ก้าวออกมา ดวงตาแดงก่ำ รอบๆ ดวงตายังมีน้ำตาที่กำลังก่อตัวขึ้น จับมือของหยางเฉินไว้แน่น พร้อมกับพูดออกมาว่า “ตอนที่หยางเฉินเอาใบชาที่มีค่าเป็นสิบล้านมาให้ คุณตากลับไม่แม้แต่จะมอง ก็บอกว่าเป็นของปลอมแล้วตอนนั้น คุณตาคิดว่าเขาเป็นหลานเขยของคุณตายรึเปล่าคะ?”

“เมื่อกี้ ตอนที่เขาพวกเศรษฐีของเมืองโจวเฉิงรุมทำร้าย คุณตาไม่เพียงไม่ช่วย แต่ยังซ้ำเติมเขา อยากตัดขาดสัมพันธ์กับเขา ตอนนั้น คุณตาคิดว่าเขาเป็นหลานเขยของคุณตามั้ยคะ?”

“มาตอนนี้ มีคนที่เส้นใหญ่ยิ่งกว่าปรากฏตัวเพราะเขา คุณตาก็เพิ่งรู้สึกว่า เขาเป็นหลานเขยของตัวเองใช่มั้ยคะ?”

“มีสิทธิ์อะไร?”

ฉินซียิ่งพูด ก็ยิ่งเกิดอารมณ์ เสียงพูดก็ดังขึ้นเรื่อยๆ พูดถึงตอนท้าย ในที่สุดเธอก็ทนต่อไปอีกไม่ไหว น้ำตาก็ได้ไหลลงมา อาบเต็มใบหน้าของเธอ

นายท่านตระกูลโจวจ้องมองฉินซีด้วยความช็อก กับใบหน้าที่ค่อนข้างซีดเซียว

หานเซี่ยวเทียนมองดูสิ่งที่เกิดขึ้นด้วยความแปลกใจ เขาแค่ให้คนสืบหาว่าหยางเฉินอยู่ที่ไหน และอยากมาขอบคุณด้วยตนเอง แต่ไม่รู้ถึงภูมิหลังของหยางเฉินเลย

หยางเฉินนั้นรู้สึกซึ้งใจมาก เขาจับมือของฉินซีไว้แน่น

“เสี่ยวซี คุณตาของเธอไม่ได้หมายความแบบนั้น……”

ในตอนนั้นเอง โจวอวี้เจี๋ยก็ก้าวออกมา ลองที่จะเกลี้ยกล่อมดู แต่ฉินซีก็ได้ตวาดใส่เขา “คุณน้าก็อีกคน!”

“หลายปีมานี้ เราช่วยเหลือครอบครัวของคุณมาตั้งเท่าไหร่? แล้วคุณล่ะ? ทำกับพวกเรายังไง? แม้แต่เรื่องที่แม่ของหนูจ่ายเงินช่วยพวกคุณสร้างวิลล่าก็ไม่อยากที่จะยอมรับ!”

ฉินซีราวกับกำลังระบายความโกรธในใจออกมา จากนั้นก็มองไปที่โจวอวี้หรง “ยังมีน้าอีกคน น้าเป็นน้าของฉัน! ตอนนั้นตอนที่ฉันลำบากที่สุด กลับหลอกฉันไปกู้เงินให้ แลัวตอนนี้ล่ะ? กลับไม่ยอมรับเรื่องนี้”

“ส่วนคนที่บัดซบที่สุดก็คือเธอ! น้องสาวที่ฉันเคยรักที่สุด!”

ฉินซีหันมองไปยังเจิ้งเหม่ยหลิงด้วยสีหน้าที่โกรธเกรี้ยว “หลายปีมานี้ ฉันทำกับเธอยังไงบ้าง? แล้วตอนนี้เธอล่ะทำยังไงกับฉัน? เพื่อให้ได้เข้าหาพวกชนชั้นสูง เธอกลับส่งฉันให้ผู้ชายคนอื่นเหยียบย่ำด้วยมือของเธอเอง ถ้าไม่ใช่เพราะหยางเฉิน ชีวิตนี้ของฉัน คงถูกเธอทำลายไปแล้ว!”

“พวกคุณช่วยบอกฉันที ว่าพวกคุณเหมาะที่จะได้เป็นญาติของฉันมั้ย?”

ฉินซีระบายออกมาอย่างเต็มที่ ร้องไห้ออกมาอย่างสุดเสียง

นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ฉินซีโมโหแบบนี้

คนในตระกูลโจว ต่างเงียบไปตามๆ กัน ส่วนบรรดาแขกที่มาร่วมงาน ต่างก็จ้องมองคนของตระกูลโจวด้วยสายตาที่ดูถูก

“คุณคะ เราไปกันเถอะ!”

หลังจากที่ระบายเสร็จ ฉินซีก็เช็ดน้ำตา เธอก็จูงมือหยางเฉินออกไป โดยไม่ลังเลเลยแม้แต่น้อย

พอเห็นครอบครัวสามคนนั้นเดินจากไป ทุกคนต่องก็ช็อกไปตามๆ กัน

“พี่ พี่เขย รอฉันด้วย!”

จากนั้น ฉินยีเองก็รีบตามออกไปเหมือนกัน

“พรึบ!”

หานเซี่ยวเทียนมองดูนายท่านตระกูลโจวด้วยสายตาที่เย็นชา แล้วพูดด้วยน้ำเสียงที่เย็นชาอย่างถึงที่สุดว่า “ตระกูลอย่างพวกคุณ มันช่างตาบอดจริงๆ ถึงมองลูกเขยที่ดีขนาดนี้เป็นสิ่งไร้ค่าไปได้!”

นายท่านตระกูลโจวสีหน้าแดงก่ำ ได้แต่พูดออกมาอย่างว่าง่ายว่า “เจ้าบ้านหานพูดถูกแล้วครับ!”

“แกก็อีกคน!”

หานเซี่ยวเทียนหันไปที่เจิ้งเต๋อหัว แล้วพูดด้วยสีหน้าที่เคร่งขรึมว่า “ได้แต่เลี้ยงดูแต่ไม่รู้จักสั่งสอน! การที่แกสั่งสอนลูกชายกับหลานสาวออกมาเป็นแบบนี้ คนที่เป็นพ่ออย่างแก มันช่างเป็นเรื่องที่ไม่น่าให้อภัยเลยจริงๆ!”

“เจิ้งอวี่ คุณเองก็คบคนไม่รู้จักเลือกเลย บางคนที่ควรเลิกคบ ก็ควรเลิกคบไปซะ ไม่อย่างนั้นวันหนึ่ง คุณอาจจะซวยเพราะคนแบบนี้ก็ได้”

หานเซี่ยวเทียนหันไปพูดกับเมียวเจิ้งอวี่ แต่ท่าทีที่พูดนั้นดีกว่าคนอื่นอย่างเห็นได้ชัด

เมียวเจิ้งอวี่รีบตอบไปว่า “เจ้าบ้านหานพูดถูกที่สุดครับ!”

เจิ้งเต๋อหัวกำลังทำหน้าช็อก คำพูดเพียงคำเดียวของหานเซี่ยวเทียนก็ดับอนาคตของตระกูลเจิ้งไปแล้ว

จากนั้น สายตาที่เคร่งขรึมของหานเซี่ยวเทียนก็กวาดมองไปยังพวกเศรษฐีทั้งหายของเมืองโจวเฉิง แล้วพูดอกมาอย่างไม่ชอบใจว่า “เมื่อกี้เป็นใคร ที่ไปล่วงเกินคุณหยางเข้า ฉันจะให้เวลาพวกคุณหนึ่งวัน ถ้าทำให้คุณหยางยกโทษให้ไม่ได้ ตระกูลของพวกคุณ ก็ไม่มีคำจำเป็นต้องมีอยู่อีก”

ทันทีที่พูดจบ หาเซี่ยวเทียนก็พาหานเฟยเฟย เดินดุ่มๆ ออกไป

ห้องจัดเลี้ยงที่กว้างขวาง เงียบกริบลงทันที!

บรรดาเศรษฐีของเมืองโจวเฉิง ต่างก็ทำหน้าหวาดกลัว ได้แต่รู้สึกเสียใจอย่างถึงที่สุด แต่ถึงเสียใจมันก็ได้สายไปแล้ว

“จะมัวมาช็อกอยู่ทำไม? รีบตามคุณหยางไปเร็ว!”

จู่ๆ ก็มีคนตะโกนออกมา

ท่านกลางผู้คนที่ตกอยู่ในความช็อกนั้น บรรดาผู้นำตระกูลของเศรษฐีของเมืองโจวเฉิงนั้น ก็รีบกรูกันออกไปด้วยความร้อนรน