ตอนที่ 108 ออกเดินทาง

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ

ตอนที่ 108 ออกเดินทาง โดย Ink Stone_Fantasy

“อาจารย์อาหร่วน ถึงแม้ท่านจะต้องการเก็บตัวทะลวงคอขวด แต่คงไม่ถึงกับต้องนำสิ่งของเหล่านี้มาให้ข้าน้อยหรอกมัง” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกใจ และถามด้วยความหวาดระแวงอย่างอดไม่ได้

“การเก็บตัวครั้งนี้แตกต่างจากครั้งก่อน ตอนที่ข้ายังหนุ่มเคยถูกศัตรูทำลายชีพจรจนได้รับบาดเจ็บ เดิมทีถูกลิขิตให้หยุดฝึกฝนอยู่ที่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางเท่านั้น ต่อมาเมื่อได้ทำความเข้าใจกับเคล็ดวิชากระดูกดำถึงได้พบกับวิธีทะลวงปัญหาคอขวดในขั้นต้นได้ แต่วิธีการนี้อันตรายเป็นอย่างมาก ถ้าหากข้าฝืนทะลวงล่ะก็มีโอกาสรอดชีวิตแค่หนึ่งในสามส่วนเท่านั้น อีกสองส่วนที่เหลือก็จะเป็นแบบศิษย์ที่ฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำแล้วทะลวงคอขวดเพื่อเข้าสู่เขตแดนอาจารย์อาจารย์วิญญาณเหล่านั้น ซึ่งผลลัพธ์คือร่างระเบิดจนเสียชีวิต ข้าทุ่มเทไปกับเคล็ดวิชากระดูกดำ และอักขระมรกตมืดมาหลายสิบปี ข้าไม่อยากให้มันไร้ผู้สืบทอดและหายไปอย่างไร้ร่องรอย และในชาตินี้ข้ายังไม่เคยรับใครเป็นศิษย์ติดตามเลย เดิมทีเจวี๋ยเอ๋อร์ก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว แต่เสียดายที่พลังจิตของเขาธรรมดามาก ชาตินี้คงถูกกำหนดให้หยุดอยู่แค่เขตแดนศิษย์จิตวิญญาณ และไม่อาจกลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ ด้วยเหตุนี้เจ้าคือตัวเลือกที่ดีที่สุดในการเป็นผู้สืบทอดเหล่านี้ ถ้าหากข้ารอดชีวิตเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณระดับกลางได้ ทุกอย่างก็เป็นเรื่องง่ายแล้ว แต่ถ้าหากข้าไม่สามารถรอดชีวิตมาได้ล่ะก็ เจ้าก็แค่ทำให้สิ่งนี้มีผู้สืบทอดก็พอแล้ว” ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวเหมือนกับว่ากำลังมอบหมายงานให้หลิ่วหมิง เขาเผยความจริงใจออกมาในน้ำเสียงเป็นครั้งแรก

“อาจารย์อาหร่วนวางใจเถอะ! ศิษย์หลานจะพยายามทำอย่างสุดความสามารถ” หลิ่วหมิงคิดวกไปมาอย่างรวดเร็ว จนเมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาใดๆ ก็ตอบรับก่อนที่จะถอนหายใจออกมาเบาๆ

“ดีมาก แผ่นหยกชิ้นนี้ข้าหลอมสร้างขึ้นมาเอง ทุกอย่างถูกบันทึกไว้ในนี้ เจ้าสามารถเอามันไปวางไว้ที่หน้าผากแล้วใช้พลังจิตกวาดดูคร่าวๆ ดูว่ายังมีปัญหาอะไรอีกหรือเปล่า?”

ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวจบก็หยิบแผ่นหยกสีขาวน้ำนมออกมาชิ้นหนึ่ง และลูบมันอย่างเสียดาย จากนั้นจึงส่งไปให้หลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงโค้งตัวรับแผ่นหยกแล้วนำมันมาวางไว้บนหน้าผาก

เมื่อจิตของเขาพุ่งไปยังแผ่นหยก พลันรู้สึกถึงความหนักอึ้ง แสงกลมสีม่วงขาวปรากฏขึ้นมาในศีรษะเขา

เขานำจิตแตะไปยังลูกแสงสีม่วงกลมๆ เล็กน้อย อักขระโบราณสีเขียวก็พุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก แล้วเรียงตัวกันกลายเป็นคัมภีร์หนึ่งหน้า

มันคือเคล็ดวิชากระดูกดำแบบดั้งเดิมที่ใช้อักขระมรกตมืดเขียนขึ้นมา แต่เมื่อหลิ่วหมิงกวาดดูแล้วก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย

เมื่อพลังจิตของเขาแตะไปยังแสงกลมๆ สีขาว อักขระมรกตมืดกับอักขระทั่วไปก็ผสมปนเปกันออกมาเป็นคัมภีร์

มันคืออักขระมรกตมืดที่ผู้อาวุโสร่างท้วมทุ่มเทเวลาหลายปีแปลออกมา

หลิ่วหมิงเพียงแค่ดูทั้งสองสิ่งอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็ถอนจิตออกมาจากแผ่นหยก

“อาจารย์อาหร่วน ทำไมมีเคล็ดวิชากระดูกดำถึงมีแค่ห้าขั้น ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็มันมีทั้งหมดเก้าขั้นไม่ใช่หรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยความแปลกใจ

“ตอนที่ปรมาจารย์ของนิกายเราได้รับเคล็ดวิชานี้ มันมีวิธีการฝึกฝนแค่ห้าขั้นแรกเท่านั้น ส่วนอีกสี่ขั้นหลังอยู่ที่ใดนั้นไม่อาจรู้ได้ แต่มีแต่แค่สี่ขั้นแรกก็เพียงพอแล้ว ปีนั้นข้าแปลแค่ขั้นที่สี่ก็ใช้เวลาไปหลายสิบปี ถ้าหากศิษย์หลานไป๋สามารถทำความเข้าใจและแปลขั้นที่ห้าได้ ก็นับว่าเป็นผู้มีพรสวรรค์ในด้านอักขระมรกตมืด ซึ่งก็ไม่จำเป็นต้องฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำอีกต่อไป และสามารถเปลี่ยนไปฝึกฝนวิชาระดับสูงอื่นๆ ที่เหมาะสมกับเจ้าได้เลย แค่เคล็ดวิชากระดูกดำสี่ขั้นแรกก็สร้างพื้นฐานอันแข็งแกร่งให้กับเจ้าแล้ว และหากเจ้าอยากจะฝึกฝนวิชาขั้นสูงล่ะก็ วิชาของสาขาฝึกศพกับสาขาหยินทนทรมานต่างก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลว” ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ดูเหมือนที่อาจารย์อาพูดว่าไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนไปฝึกวิชาอย่างอื่นนั้นเป็นแค่คำพูดหลอกหลวงเท่านั้น” หลิ่วหมิงแสยะปากขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

“ฮ่าๆ! อันนี้…ถ้าตอนนั้นข้าไม่พูดเช่นนี้ คงจะต้องเสียเวลาในการพูดจาหว่านล้อมไปไม่น้อย” ผู้อาวุโสร่างท้วมหัวเราะออกมาแต่สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่น้อย

หลิ่วหมิงได้ยินก็พูดอะไรไม่ออกมา

“ใช่สิ! ถ้าหากว่าข้าทะลวงอาจารย์จิตวิญญาณขั้นกลางไม่สำเร็จ และถ้าต่อไปเจ้าสามารถเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณได้ล่ะก็ ฝากช่วยข้าดูแลกู่เจวี๋ยด้วย เขาเป็นญาติของข้าเพียงไม่กี่คนบนโลกใบนี้” ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ถ้าหากศิษย์มีความสามารถจริงๆ ล่ะก็ จะต้องทำตามที่ท่านสั่งอย่างแน่นอน” หลิ่วหมิงก็กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง

“ดีมาก! ตอนนี้ยังมีเวลาอีกหน่อย ถ้าหากมีปัญหาอะไรเกี่ยวกับการฝึกเคล็ดวิชากระดูกดำก็ถามข้ามาได้เลย ถ้าสามารถตอบได้ล่ะก็ ข้าจะพยายามตอบอย่างสุดความสามารถ”ผู้อาวุโสร่างท้วมได้ยินก็เผยรอยยิ้มออกมา

“ขอบคุณอาจารย์อา ศิษย์มีปัญหาเกี่ยวกับเคล็ดวิชากระดูกดำบางส่วน จนถึงบัดนี้แล้วก็ยังทำความเข้าใจไม่ได้”

ครึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงก็ขี่เมฆเหาะออกไปจากป่าด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม

และผู้อาวุโสร่างท้วมยังคงยืนนิ่งไม่ขยับอยู่ที่เดิม พร้อมกับหรี่ตาจ้องมองไปยังเมฆเทาที่ค่อยๆ เหาะจากไป

หลังจากที่ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานเท่าใด เขาถึงได้กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ และรวดเร็ว

“ศิษย์พี่ท่านประมุข ท่านมานานขนาดนี้แล้วใยต้องมาหลบซ่อนด้วยเล่า”

หลังกล่าวจบเขาก็เหลือบมองไปยังต้นไม้ใหญ่บริเวณนั้น

“ศิษย์น้องหร่วนสมกับเป็นศิษย์ติดตามของอาจารย์อาเยี่ยน วิธีการซ่อนตัวนี้ไม่อาจพ้นสายตาเจ้าไปได้” เสียงราบเรียบดังมาจากด้านหลังต้นไม้ใหญ่ พอมีเงาร่างสั่นไหว ผู้อาวุโสชุดเหลืองก็เดินออกมาจากในนั้นด้วยรอยยิ้มจางๆ เขาก็คือประมุขนิกายปีศาจ

“ศิษย์พี่ท่านประมุขเห็นข้ามอบสิ่งของให้ศิษย์หลานไป๋ แต่ก็ไม่ได้ห้ามปรามแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าท่านจะเห็นด้วยกับเรื่องนี้” ผู้อาวุโสร่างท้วมหัวเราะกล่าวออกมา

“ในเมื่อศิษย์หลายไป๋เป็นผู้เดียวที่ยังฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำอยู่ และยังมีโอกาสที่จะก้าวเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณ อีกอย่างของที่เอาไปเป็นแค่เคล็ดวิชากระดูกดำฉบับคัดลอกเท่านั้น ฉบับจริงยังถูกเก็บอย่างดีที่หอเก็บคัมภีร์ ดังนั้นข้าย่อมไม่มีเหตุผลที่คัดค้านเรื่องนี้ ที่จริงตอนที่ข้าเห็นว่าศิษย์หลานไป๋มีแค่สามชีพจรจิตวิญญาณ แต่สามารถใช้ระยะเวลาอันสั้นในการก้าวเข้าสู่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายได้ ข้าก็พอจะเดาได้ว่าวิชาที่เขาฝึกคือเคล็ดวิชากระดูกดำ เพียงแต่เรื่องที่กู่เจวี๋ยเป็นหลานของเจ้า และฝึกฝนจนถึงระดับศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลาย รวมทั้งมีความสามารถอย่างปาฏิหาริย์ที่คล้ายกับวิชาควบคุมกระดูกนั้น ข้าเพิ่งจะรู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรก” ประมุขนิกายปีศาจถอนหายใจเบาๆ และกล่าวออกมา

“เรื่องนี้ท่านอย่าได้ใส่ใจเลย เมื่อครู่ท่านก็ได้ยินแล้วว่าการฝึกฝนของเขาไม่เพียงพอ ทุกครั้งที่กระตุ้นพลังในการควบคุมกระดูกจะสูญเสียอายุขัยไปเป็นจำนวนมาก” ผู้อาวุโสร่างท้วมรีบกล่าวอย่างระมัดระวัง

“เฮ่อๆ! ศิษย์น้องวางใจเถอะ! ในเมื่อข้ารู้สภาพที่แท้จริงของเจ้าเด็กนี่ ดังนั้นการที่จะมอบสิ่งของหลายอย่างในนิกายให้เขาควบคุมนั้นข้าย่อมไม่อาจวางใจได้ แต่ถ้าศิษย์หลานไป๋สามารถก้าวเข้าสู่อาจารย์จิตวิญญาณล่ะก็ มอบให้เขาควบคุมคงจะไม่มีปัญหาอะไรมากนัก” ประมุขนิกายปีศาจกล่าวอย่างไม่รีบร้อน

“อืม! ถ้าหากศิษย์หลานไป๋กลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณได้ ก็จะไม่เกิดเรื่องที่ร่างกายถูกทำลายจนเสียหายแล้ว ให้เขาควบคุมสิ่งของหลายอย่างนั้นนับว่าค่อนข้างเหมาะสม” ครั้งนี้ผู้อาวุโสร่างท้วมพยักหน้าเห็นด้วย

“ดีมาก! ถึงแม้ว่าศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณที่มีพลังจิตแข็งแกร่งนั้นจะหาได้ยาก แต่ถ้าตั้งใจหาก็ยังพอจะหาได้สองสามคน ขอแค่ศิษย์น้องไป๋ใช้เคล็ดวิชากระดูกดำทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณได้อย่างราบรื่นล่ะก็ ข้าก็จะเรียนบอกอาจารย์อาเยี่ยนให้หาศิษย์เหล่านี้มาฝึกฝนเคล็ดวิชากระดูกดำโดยเฉพาะ เช่นนี้แล้วศิษย์น้องเองก็นับว่าได้สร้างผลงานชิ้นใหญ่ให้กับนิกายเรา” ประมุขนิกายปีศาจตบมือหัวเราะใหญ่

“ท่านคิดจริงๆ หรือว่าแค่หาศิษย์สามชีพจรจิตวิญญาณที่มีพลังจิตแข็งแกร่งเล็กน้อย ก็สามารถอาศัยเคล็ดวิชากระดูกดำก้าวเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณได้แล้ว?” ผู้อาวุโสร่างท้วมได้ยินกลับแสดงสีหน้าแปลกๆ ออกมา

“อะไรกัน! หรือว่าคำพูดของศิษย์น้องในก่อนหน้านี้ล้วนเป็นแค่คำหลอกลวง” ประมุขนิกายปีศาจรู้สึกตกตะลึงขึ้นมา

“มันไม่นับว่าเป็นคำหลอกลวง เพียงแต่พูดเรื่องอันตรายของการทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณน้อยไปหน่อย ด้วยสภาพของเขาในตอนนี้ ถ้าหากว่าล้มเหลวในการทะลวงเข้าสู่อาจารย์จิตวิญญาณล่ะก็ เกรงว่ามีโอกาสครึ่งหนึ่งที่ร่างกายจะระเบิดออกมา อีกอย่างพลังจิตอันแข็งแกร่งของเขาก็ห่างจากที่ท่านคิดไว้มาก ตอนแรกที่ข้าตรวจสอบก็ค้นพบว่าพลังจิตของศิษย์หลานไป๋แข็งแกร่งกว่าศิษย์ทั่วไปมากกว่าหนึ่งเท่า และหลังจากผ่านการฝึกฝนหลายปี ความแตกต่างเหล่านี้นับวันก็ยิ่งมีมากขึ้นกว่าเดิม”

“อะไรนะ! แข็งแกร่งมากกว่าหนึ่งเท่า!” ครั้งนี้ประมุขนิกายปีศาจหลุดปากพูดออกมา

“เฮ่อๆ! ตอนนี้ศิษย์พี่ท่านประมุขเข้าใจที่ข้าพูดเช่นนี้แล้วใช่ไหมล่ะ! ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ก็ไม่อาจรับรองได้ว่าตอนที่เขาทะลวงเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณจะมีโอกาสรอดถึงครึ่งหนึ่ง แน่นอนว่าถ้าพลังจิตของเขายิ่งแข็งแกร่ง และพลังเวทย์ยิ่งบริสุทธิ์ด้วยล่ะก็ ความหวังที่จะก้าวเข้าสู่เขตแดนอาจารย์จิตวิญญาณก็ย่อมมีมากขึ้น” ผู้อาวุโสร่างท้วมหัวเราะกล่าวออกมา

“ข้าเข้าใจแล้ว ดูท่าเคล็ดวิชากระดูกดำของศิษย์น้องชุดนี้คงไม่อาจหาคนมาฝึกฝนได้โดยง่าย คงได้แต่ปิดผนึกรักษาไว้ชั่วคราว รอหาคนที่เหมาะสมได้จริงๆ ค่อยว่ากันอีกที” ประมุขนิกายปีศาจลังเลเล็กน้อยแล้วก็พยักหน้าด้วยความผิดหวัง

“ถ้าไม่เป็นเช่นนี้ล่ะก็ ข้าคงจะเรียนอาจารย์ตั้งนานแล้ว ใยต้องปิดบังจนถึงบัดนี้ด้วยเล่า” ผู้อาวุโสร่วมท้วมกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

ประมุขนิกายปีศาจก็ได้แต่ยิ้มขมขื่นไม่หยุด

“ใช่สิ! ศิษย์น้องหร่วน เจ้าจะเก็บตัวทะลวงเข้าสู่ระดับของเหลวจิตวิญญาณขั้นกลางจริงๆ หรือ? ข้าคิดว่ามันค่อนข้างจะอันตรายไปหน่อย!” ประมุขนิกายปีศาจนึกอีกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงถามด้วยความเป็นห่วง

“เรื่องนี้ข้าได้พูดกับอาจารย์นานแล้ว ถึงแม้ข้าจะยังมีอายุขัยยี่สิบถึงสามสิบปี แต่หลายปีมานี้ยังคงสามารถรักษาสภาพร่างกายจนถึงจุดสูงสุดไว้ได้ ถ้าผ่านพ้นช่วงนี้ไปแล้ว ต่อให้ข้ามีใจที่จะเสี่ยงอันตรายเพื่อทะลวงเขตแดนต่อไป แต่ก็คงไม่มีพลังแล้ว ขอแค่ข้าทำสำเร็จก็จะมีอายุขัยอีกร้อยกว่าปี ถึงแม้จะมีโอกาสเพียงหนึ่งในสาม แต่ก็เพียงพอที่ข้าจะลองเสี่ยงดู” ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ในเมื่อศิษย์น้องตัดสินใจแล้ว ข้าก็จะไม่พูดอะไรมาก ได้แต่หวังว่าการเก็บตัวฝึกฝนของศิษย์น้องหร่วนจะสำเร็จไปด้วยดี และทะลวงผ่านระดับที่สูงขึ้นไปได้!” ดูเหมือนว่าประมุขนิกายปีศาจจะเห็นถึงการตัดสินใจอันเด็ดขาดของผู้อาวุโสร่างท้วมแล้ว จึงไม่ได้พูดเกลี้ยกล่อมแต่อย่างใด

เวลาที่เหลือทั้งสองก็พูดคุยกันเรื่องที่ประมุขนิกายปีศาจพาศิษย์แกนนำไปแดนลึกลับกันเล็กน้อย จากนั้นก็รีบกล่าวลา และพากันออกจากป่าไป

เช้าวันที่สอง มีไอดำพวยพุ่งที่ตรงประตูทางเข้านิกาย ในนั้นมีเรือกระดูกยักษ์ขนาดยาวยี่สิบกว่าจั้งอยู่ลำหนึ่ง

ประมุขนิกายปีศาจ ผู้อาวุโสแซ่หวง อาจารย์อาจาง และหลิ่วหมิงกับศิษย์แกนนำทั้งเก้ายืนอยู่บนเรือลำนั้นแล้ว

ภายใต้การสั่งของประมุขนิกายปีศาจ เรือกระดูกสั่นไหวขึ้นมาทันที จากนั้นมันก็พุ่งขึ้นไปบนฟ้า และเหาะออกไปท่ามกลางไอสีดำพวยพุ่งที่ปกคลุมอยู่

……………………………………….