บทที่ 272.2 แม่นางหนิง ขอโทษนะ โดย ProjectZyphon
ชายฉกรรจ์เอ่ยเสริมอีกหนึ่งประโยค “ยังคงเป็นคู่ที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของพวกเราที่เข้ากันได้ดียิ่งกว่าเรา ตอนนี้พวกเขาก็ไม่ได้เริ่มเดิมพันเล็กๆ กันแล้วหรอกหรือ”
ประโยคนี้ถึงได้ทำให้นักพรตน้อยสนใจขึ้นมาได้บ้าง “เดิมพันอะไร?”
ชายฉกรรจ์กอดดาบถามหยั่งเชิง “แบ่งให้ข้านั่งบนเบาะสักครึ่งหนึ่งได้ไหม?”
นักพรตน้อยไม่สะทกสะท้าน ยิ้มเย็นตอบ “เจ้าคิดว่าไงล่ะ?”
ชายฉกรรจ์ไม่ตื๊ออีก พูดต่อไปว่า “เหล่าเหยาที่อยู่ข้างๆ เดิมพันกับนักพรตหญิงพกดาบคนนั้นว่า ก่อนฟ้าจะสาง ตอนที่แม่นางน้อยกลับไปยังกำแพงเมืองปราณกระบี่ จะกลับไปคนเดียวหรือว่าสองคน”
นักพรตเด็กถาม “แล้วทำไมไม่เดิมพันว่าจะไม่ได้กลับไปเลยสักคนล่ะ?”
ชายฉกรรจ์อุ้มดาบส่ายหน้า มองไปยังทิศไกล “นางต้องกลับไปที่กำแพงเมืองปราณกระบี่แน่”
นักพรตน้อยถาม “เพราะเกียรติของสองแซ่อย่างหนิงและเหยา?”
ชายฉกรรจ์ถอนหายใจด้วยสีหน้าซับซ้อน
นักพรตน้อยดวงตาเป็นประกาย โบกชายแขนเสื้ออย่างไม่ใส่ใจ หลังจากท่องสองชื่อซึ่งเป็นภาษาบุรพแจกันสมบัติทวีปอยู่ในใจ ยันต์สีเขียวสองแผ่นก็วาดเสร็จในเวลาเดียวกันแล้วพุ่งวับหายไป
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ดีดนิ้วหนึ่งครั้ง ทำลายยันต์สองแผ่นที่บางเบายิ่งกว่าควันเขียวให้แตกสลาย กล่าวอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “อะไรที่ไม่สมควรมองอย่ามอง อะไรที่ไม่สมควรฟังอย่าฟัง”
ยันต์สองแผ่นนั้น แผ่นหนึ่งคือยันต์ฟ้าดินตอบรับ อีกแผ่นคือยันต์ลมเย็นโชยไล้ใบหน้า ฝ่ายแรกสามารถพุ่งไปได้อย่างรวดเร็ว ขอแค่สถานที่ใดมีการพูดคุยเกี่ยวกับถ้อยคำที่คนวาดยันต์ท่องลงไป ยันต์แผ่นนี้ก็จะเริ่มแสดงความศักดิ์สิทธิ์ สามารถบันทึกบทสนทนาเอาไว้ได้ ส่วนฝ่ายหลังยันต์ไล้ใบหน้าสามารถตามหาบุคคลที่ถูกวาดภาพไว้บนยันต์และส่งภาพเหตุการณ์ต่างๆ กลับมาได้
ยันต์ทั้งสองชนิดมีระดับขั้นสูงมาก แล้วก็วาดสำเร็จได้ยากมากด้วย แต่หากเป็นบนภูเขาจะถือเป็นซี่โครงไก่สำหรับสายยันต์ลัทธิเต๋า เพราะยันต์ตอบรับก็ดี ยันต์ลมเย็นโชยไล้ใบหน้าก็ช่าง เมื่อเจอกับสถานที่ที่มีตราผนึกเวทอาคมและสถานที่ที่มีกลิ่นอายชั่วร้ายเข้มข้น ปราณวิญญาณที่อยู่ในยันต์ก็จะถูกเผาผลาญไปอย่างรวดเร็ว ยกตัวอย่างเช่นไปชนเข้ากับจวนใหญ่ที่มีเทพทวารบาลเฝ้าพิทักษ์ ศาลบุ๋นบู๊ ศาลเทพอภิบาลเมือง สุสานไร้ญาติ เป็นต้น
ต่อให้วัสดุในการเขียนยันต์จะดีแค่ไหน แต่แรงสะท้อนกลับจะรุนแรงมาก ความเคลื่อนไหวรุนแรงเกินไป พอผู้ฝึกลมปราณสังเกตเห็น ย่อมถูกมองเป็นการท้าทาย เมื่อไล่ตามเบาะแสมาก็ง่ายที่จะเจอกับคนวาดยันต์ สุดท้ายกลายเป็นความขัดแย้ง
ดังนั้นยันต์สองแผ่นนี้จึงเหมาะสมให้เอาไปใช้ตรวจสอบความจริงจากสถานที่ที่ ‘ไร้อาคม’ เท่านั้น
แต่ว่านักพรตน้อยคิดจะควบคุมยันต์สองแผ่นในถิ่นของตัวเองย่อมไม่มีปัญหาใดๆ ทั้งนั้น
น่าเสียดายก็แต่ถูกเซียนกระบี่ของภูเขาห้อยหัวท่านนั้นดีดนิ้วทำลายทิ้งไปแล้ว
ชายฉกรรจ์กอดกระบี่ถาม “จะเดิมพันหรือไม่?”
นักพรตน้อยหมดความสนใจ ส่ายหน้ากล่าวว่า “ไม่ล่ะ ผีพนันอย่างเจ้านิสัยการเล่นพนันย่ำแย่จนติดสามอันดับแรกของภูเขาห้อยหัวได้เลย ข้าเดิมพันกับเจ้า หากแพ้ ข้าต้องมอบของให้กับเจ้า แต่หากชนะ ก็ไม่มีทางได้ของมาแน่ เดิมพันอะไรกัน ไม่เด็ดขาด”
ชายฉกรรจ์สีหน้าหดหู่ “ชีวิตนี้ข้าไม่มีความหวังอะไรอีกแล้ว ขนาดเป็นผีพนันก็ยังอยู่อันดับหนึ่งไม่ได้อย่างนั้นหรือ”
นักพรตน้อยนึกถึงเรื่องที่น่าสนใจเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ จึงหัวเราะฮ่าๆ “อย่างเจ้าน่ะถือว่าดีแล้ว ลองมองกระบี่ผุๆ สองเล่มที่อยู่ในหอจิ้งเจี้ยนแล้วหันกลับมามองตัวเองดูสิ ผู้คนจากที่ต่างๆ ที่เดินทางผ่านที่แห่งนี้ ไม่ว่าจะคนของกำแพงเมืองปราณกระบี่หรือใต้หล้าไพศาล ใครบ้างที่ไม่เคารพนอบน้อมต่อเจ้า? ในสายตาของพวกเขา เซียนใหญ่ที่ยังมีชีวิตอยู่อย่างเจ้า ต่อให้ผายลมก็ยังหอม”
ชายฉกรรจ์กอดดาบไม่ได้อารมณ์เสีย กลับยังเอ่ยเย้ยหยันตัวเอง “พูดแบบนี้ก็แสดงว่าการที่ข้าได้มาเฝ้าประตูอยู่ที่นี่ ไม่ควรมีอะไรให้ไม่พอใจสินะ”
นักพรตเด็กวางตำราลง สอดสองมือรองท้ายทอย แหงนหน้ามองท้องฟ้า
ชายฉกรรจ์พึมพำว่า “สำหรับชาวบ้านร้านตลาดแล้ว จากบ้านไปหนึ่งร้อยปี บ้านเกิดก็คงเปลี่ยนเป็นมาตุภูมิแล้ว สำหรับผู้ฝึกลมปราณ หนึ่งพันปีก็ถือว่าใช่ แล้วนักโทษลี้ภัยพลัดถิ่นที่จากบ้านมานานเกินหมื่นปีอย่างพวกเราล่ะ?”
นักพรตน้อยไม่ได้ตอบคำถามข้อนี้
เพราะตอบยากเกินไป
……
ฝั่งของภูเขาห้อยหัวคือยามดึกฟ้ามืดมิด อีกฝั่งหนึ่งของประตูใหญ่กลับเป็นช่วงกลางวันที่แสงแดดส่องเจิดจ้า
มีคนสองคนนั่งเฝ้าประตูอยู่เหมือนกัน คนหนึ่งมาจากกำแพงเมืองปราณกระบี่ อีกคนหนึ่งมาจากภูเขาห้อยหัว
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเสื้อเทาคนหนึ่งกำลังหล่อหลอมกระบี่บินแห่งชะตาชีวิตอย่างโจ่งแจ้ง ข้างกายมีนักพรตหญิงวัยกลางคนพกดาบอาคมคนหนึ่งยืนอยู่
นักพรตหญิงขมวดคิ้วถาม “แม่หนูหนิงไปที่ภูเขาห้อยหัวโดยพลการ ไม่สอดคล้องกับกฎเกณฑ์ ถึงเวลานั้นหากเทียนจวินใหญ่ซักถามขึ้นมา ข้าคงต้องตอบไปตามตรง”
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าพยักหน้ารับ “พูดไปตามความจริงได้เลย ข้ารับผิดชอบเอง”
ห่างไปไกลมีเด็กหนุ่มเด็กสาวกลุ่มหนึ่งเดินมา พวกเขาต่างก็เป็นลูกรักซึ่งมีชื่อเสียงเลื่องลือแห่งกำแพงเมืองปราณกระบี่
แม้ว่าพวกเขาจะมีชาติกำเนิดที่ยิ่งใหญ่กันแทบทุกคน เรียกได้ว่าเป็นลูกรักแห่งสวรรค์ ทว่าในศึกใหญ่ช่วงที่ผ่านมา ระยะเวลาไม่ถึงสามปี เด็กกลุ่มนี้ก็ออกรบกันไปแล้วถึงสามครั้ง และเพื่อนก็น้อยลงไปสองคน คนหนึ่งคือเด็กหนุ่มที่มีฉายาว่าตั๊กแตนน้อย เขาตายในสนามรบทางทิศใต้ของกำแพงเมือง อีกคนหนึ่งฝึกประสบการณ์สำเร็จจึงกลับไปยังสถานศึกษาของลัทธิขงจื๊อ
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาพกกระบี่ยาวสองเล่มตรงเอว เล่มหนึ่งมีฝักชื่อว่าคัมภีร์ อีกเล่มหนึ่งไร้ฝัก ชื่อว่าลายเมฆ
เด็กหนุ่มตัวอ้วนที่มีใบหน้าเปื้อนยิ้มมาตั้งแต่เกิด แต่กลับมีปราณสังหารเข้มข้นที่สุด ตรงเอวพกกระบี่สายฟ้าม่วง
เด็กสาวแขนเดียวคนหนึ่งสะพายกระบี่สยบขุนเขาที่ใหญ่เกินตัวไปมาก
เด็กหนุ่มผิวดำเกรียมหน้าตาอัปลักษณ์ ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยบากพกกระบี่นงคราญ
ผู้ฝึกกระบี่เฒ่าเห็นพวกลูกกระต่ายกลุ่มนี้ (เป็นคำด่า สมัยโบราณคำว่ากระต่ายใช้ด่าผู้หญิงที่สำส่อน ลูกกระต่ายจึงเป็นคำด่าว่าลูกไม่มีพ่อ) แล้วก็ชักสีหน้า หลอมกระบี่ของตนต่อไป
กลับเป็นนักพรตหญิงดาบอาคมที่ไม่มีความเกี่ยวข้องใดๆ กับตระกูลใหญ่ในกำแพงเมืองปราณกระบี่ที่คลี่ยิ้มทักทายเด็กทุกคนอย่างจริงใจ
เรียกคนเหล่านี้เป็นเด็ก ก็แค่เพราะดูจากส่วนสูงและอายุของพวกเขาเท่านั้น ในความเป็นจริงแล้วพวกเขาทุกคนต่างก็มีอนาคตยาวไกล ระดับความสูงของความสำเร็จในอนาคตแทบจะเป็นสิ่งที่ทุกคนในกำแพงเมืองปราณกระบี่มองเห็น โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเดินขึ้นไปบนหัวกำแพงแล้วลงจากหัวกำแพงไปยังสนามรบที่อยู่ทางทิศใต้ ผ่านการเข่นฆ่าสังหารในแต่ละครั้งมาด้วยตัวเองก็ยิ่งชนะใจและได้รับความเคารพที่มากพอจากผู้คน
อยู่ที่กำแพงเมืองปราณกระบี่ ไม่ว่าเจ้าแซ่อะไรก็ล้วนต้องลงสนามรบ
แน่นอนว่าก็มีความแตกต่างในบางเรื่อง ซึ่งขึ้นอยู่กับตบะและขอบเขตของอาจารย์กระบี่ผู้ที่ให้ความช่วยเหลือในสนามรบ ผู้ฝึกกระบี่หนุ่มสาวที่บ้านยากจน ได้แต่ยอมรับอาจารย์กระบี่ที่ทางกำแพงเมืองปราณกระบี่จัดหาให้แต่โดยดี ส่วนพวกลูกหลานที่มาจากตระกูลใหญ่ซึ่งลงสนามรบตั้งแต่อายุน้อย ข้างกายย่อมต้องมีคนติดตามอย่างลับๆ ส่วนใหญ่ล้วนเป็นข้ารับใช้มีฝีมือที่ยังไม่มีภาระหน้าที่ให้ต้องรับผิดชอบชั่วคราว ทว่าเว้นเสียจากจะตกอยู่ในอันตรายที่ต้องตายอย่างแน่นอนแล้ว คนเหล่านี้ก็ไม่มีทางลงมือช่วยเหลือง่ายๆ เด็ดขาด
ทุกตารางนิ้วบนแผ่นดินทางแถบทิศเหนือของกำแพงเมืองปราณกระบี่ล้วนถูกแทรกซึมไปด้วยปราณกระบี่ที่สืบทอดรุ่นแล้วรุ่นเล่าจากโบราณมาจวบจนปัจจุบัน
ทว่าทั่วทุกอณูพื้นที่ทางทิศใต้กลับอาบโชกไปด้วยเลือดของบรรพบุรุษ
คนกลุ่มนี้มีนิสัยแตกต่างกันออกไป เด็กอ้วนตอแยอยู่กับนักพรตหญิงดาบอาคม พูดจาต่ำช้าหยาบโลนเลียนแบบคนบางคน ผลกลับถูกนักพรตหญิงจากภูเขาห้อยหัวตอกกลับจนใบ้กิน เด็กสาวแขนเดียวพยายามเพ่งตาจ้องมองวิธีการหลอมกระบี่ของผู้ฝึกกระบี่เฒ่า เด็กหนุ่มหล่อเหลาทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ ส่วนเด็กหนุ่มตัวดำกลับเหม่อมองไปยังประตูใหญ่บานนั้นอย่างทึ่มทื่อ ห่างแค่เพียงเอื้อมมือก็คือใต้หล้าอีกแห่งหนึ่งแล้ว อีกอย่างที่นั่น ทั้งดวงอาทิตย์และดวงจันทร์ต่างก็มีแค่ดวงเดียว ทัศนียภาพของที่นั่น ภูเขาเขียวน้ำใส เด็กหนุ่มไม่อาจจินตนาการได้เลยว่าแบบไหนคือภูเขาเขียวน้ำใส
เด็กหนุ่มหล่อเหลาใช้ฝ่ามือของมือสองข้างตบไปที่ด้ามกระบี่ไม่หยุด เห็นได้ชัดว่าค่อนข้างจะหงุดหงิดงุ่นง่าน บ่นไปด้วยว่า “หากได้เจอไอ้หมอนั่น ข้ากลัวว่าจะอดไม่ไหวชักกระบี่ฟันออกไป ถึงเวลานั้นเจ้าต้องห้ามข้าด้วยนะ”
เด็กหนุ่มตัวอ้วนหัวเราะหึหึ “ห้ามเหิ้มอะไรกัน ฟันให้ตายไปเลย ถึงเวลานั้นพอเจ้าถูกหนิงเหยาสับเป็นเนื้อบด ขาดคนขวางหูขวางตาไปทีเดียวถึงสองคน ก็ไม่เท่ากับว่ายิงปืนนัดเดียวได้นกสองตัวหรอกหรือ วางใจเถอะ กระบี่สองเล่มอย่างคัมภีร์และลายเมฆ ข้าจะช่วยเก็บรักษาให้เอง”
เอ่ยหยอกล้อไปแล้ว เด็กหนุ่มตัวอ้วนก็พูดอย่างจนใจเล็กน้อย “เรื่องเกี่ยวกับไอ้หมอนั่น หนิงเหยาไม่ยอมพูดอะไรมาก พูดซ้ำไปซ้ำมาก็มีอยู่แค่ไม่กี่ประโยคเท่านั้น คนโง่จากถ้ำสวรรค์หลีจู คนดีเกินเหตุ คนเห็นแก่เงิน…ทำไมข้าถึงได้รู้สึกว่า หากให้เลือก ก็ยังเป็นเจ้าหนอนหนังสือจากสถานศึกษาที่น่าชื่นชอบมากกว่าอยู่ดีไม่ใช่หรือ? ถึงอย่างไรเขาก็เคยรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับพวกเรามาหลายครั้ง แถมยังเคยช่วยต่งถ่านดำหนึ่งครั้ง ถือว่าพอจะคู่ควรกับหนิงเหยาได้อย่างถูไถ”
เด็กหนุ่มหน้าตาอัปลักษณ์ถลึงตาใส่เจ้าอ้วนอย่างดุดัน
ฝ่ายหลังมีหรือจะกลัว ชม้อยชม้ายชายตากลับคืน
เด็กหนุ่มหน้าตาหล่อเหลาถามขึ้น “พวกเราคิดมากกันไปเองหรือเปล่า ด้วยนิสัยอย่างหนิงเหยา ชั่วชีวิตนี้จะชอบใครได้หรือ?”
เด็กสาวแขนเดียวครุ่นคิดอย่างตั้งใจ นางที่พูดน้อยราวกับว่าคำพูดมีค่าดุจทองคำให้ข้อสรุปแบบตอกปิดฝาโลงว่า “ยาก!”
……
ครึ่งคืนหลังของภูเขาห้อยหัว เด็กสาวองอาจที่สวมชุดคลุมยาวสีเขียวเข้มพกกระบี่คู่ไว้ที่เอวมาปรากฎตัวอยู่ใกล้กับตีนเขาภูเขาเดียวดาย นางเดินตรงไปที่กระจกโดยไม่แม้แต่จะชำเลืองตามองชายฉกรรจ์อุ้มกระบี่และนักพรตเด็ก
พริบตาเดียวนางก็เดินออกมาจากอีกฝั่งหนึ่งของกระจก ดวงอาทิตย์ร้อนแรงสาดแสงกลางอากาศ นางเงยหน้าขึ้นแล้วหรี่ตาลงโดยอัตโนมัติ
ส่วนคนรุ่นเดียวกับเด็กสาว เหล่าสหายที่เต็มไปด้วยความเคารพและเลื่อมใสในตัวนาง แต่ละคนที่หยาบกระด้างกลับรู้สึกโล่งใจเหมือนยกภูเขาออกจากอก รู้สึกว่าวันนี้ที่หนิงเหยากลับมายังกำแพงเมืองปราณกระบี่เพียงคนเดียว อากาศไม่เลวเลยจริงๆ
เดินไปเดินมา เด็กหนุ่มแซ่ต่งที่ตัวดำเหมือนถ่านก็หันหน้ามาเรียก “พี่หญิงหนิง?”
หนิงเหยาอืมรับหนึ่งที สาวเท้าก้าวเร็วๆ เดินไปให้ทันพวกเขา
แล้วก็เดินเลยพวกเขาไป
คนสี่คนที่พูดคุยหัวเราะสนุกสนานจึงพากันเงียบเสียงลง
……
นอกหอจิ้งเจี้ยนภูเขาห้อยหัว เฉินผิงอันลุกขึ้นยืน คิดว่าจะกลับไปที่โรงเตี๊ยมกว้านเชวี่ย
หลังจากที่เขาลุกขึ้นยืนก็สังเกตเห็นว่าห่างไปไกลมีคู่ชายหญิงวัยกลางคนลักษณะเหมือนสามีภรรยาเดินมา พวกเขาสวมเสื้อผ้าเรียบง่ายแต่สง่างาม หน้าตาธรรมดา ใบหน้าประดับรอยยิ้ม เพียงแค่มองเขาแวบเดียวก็หันไปมองหอจิ้งเจี้ยนที่อยู่ด้านหลัง
เฉินผิงอันก้มหน้ารัดน้ำเต้าบรรจุเหล้าที่ไม่ได้ยกขึ้นดื่มพักใหญ่ไว้ตรงเอว เตรียมจะจากไป
สตรีแต่งงานแล้วผู้นั้นเอ่ยยิ้มๆ ด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน “พวกเรามาที่หอจิ้งเจี้ยนเป็นครั้งแรก ได้ยินว่าที่นี่ใหญ่มาก มีอะไรที่ต้องระวังหรือไม่?”
เฉินผิงอันหยุดเท้า ครุ่นคิดเล็กน้อยแล้วผงกศีรษะ “ไม่อย่างนั้นให้ข้าพาพวกท่านเข้าไปเดินดูดีไหม?”
ชายหญิงหันมายิ้มให้แก่กันแล้วพยักหน้ารับพร้อมกัน “ดีสิ”
—–