ตอนที่ 265 ความเคลื่อนไหวของขุมกำลังต่าง ๆ

คุณหนูสี่ สตรีเปื้อนเลือด

“เหวินซื่อชู่ ข้าขอถามท่านสักคำถามได้หรือไม่ ?”

เมื่อมองเหวินซื่อชู่ผู้ที่ไม่เคยยิ้มเลย ฉินอวี้โม่ก็นึกเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ก่อนจะกล่าวถามด้วยความสงสัย

เหวินซื่อชู่ไม่พูดจา เขาเพียงพยักหน้าอย่างนุ่มนวล

ฉินอวี้โม่ยิ้มก่อนจะกล่าวถาม “ท่านรู้จักเหวินหย่าหรือไม่ ?”

เหวินซื่อชู่ส่ายศีรษะโดยไม่ลังเลซึ่งบ่งบอกว่าเขาไม่รู้จักเหวินหย่า

ฉินอวี้โม่พยักหน้า ในตอนที่เห็นเหวินซื่อชู่ส่ายศีรษะ  นางก็รู้แล้วว่าข้อสันนิษฐานของตัวเองคงจะผิดไป

“ฮ่า ๆ ๆ เหวินหย่าน่ะหรือ รู้สึกว่าตอนนี้จะเป็นฮองเฮาของจักรวรรดิไป๋อวิ๋นในดินแดนหวนหลิง”

ฉีอวิ๋นเหล่ยตอบคำถามของฉินอวี้โม่โดยใช้การสื่อสารทางจิตวิญญาณ

เมื่อได้ยินคำพูดของฉีอวิ๋นเหล่ย ฉินอวี้โม่ก็อึ้งงัน นางหันไปมองฉีอวิ๋นเหล่ยก่อนจะส่ายศีรษะ

ฉีอวิ๋นเหล่ยเป็นคนฉลาด เพียงแค่ได้ยินคำถามนั้นเขาก็พอจะคาดเดาตัวตนของฉินอวี้โม่ได้แล้ว

ฉีอวิ๋นเหล่ยยิ้มตอบ เขารู้ดีว่านางไม่อยากจะให้คนอื่นรู้เรื่องนี้ ซึ่งเมื่อฉินอวี้โม่เห็นเช่นนั้นก็มั่นใจว่าเขาคงจะไม่พูดอะไรออกไปแน่

“พี่อวี๋โม่มีพรสวรรค์สูงส่ง แต่ทำไมพวกเราถึงไม่เคยเห็นชื่อของพี่อยู่ในทำเนียบทั้งสามเลยล่ะ ? แล้วพี่ฝึกฝนวิชาแบบไหนมา ตอนที่มีการต่อสู้ ทำไมเราถึงมองไม่เห็นตัวของท่านพี่เลย ?”

ซูเสี่ยวจวิ้นมองฉินอวี้โม่ก่อนจะเอียงหัวถามด้วยความสงสัย

“เสี่ยวจวิ้นอย่าเหลวไหล คำถามนี้เจ้าจะให้อวี๋โม่ตอบได้อย่างไร เรื่องเช่นนี้ถือเป็นเรื่องส่วนตัวนะ” ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวขัดขึ้นมา

เมื่อได้ยินเช่นนั้น ซูเสี่ยวจวิ้นก็รีบปิดปากให้สนิทไปด้วยความอับอายทันที

“ต้องขอโทษพี่อวี๋โม่ด้วยที่ข้าลืมเรื่องนี้ไป”

เมื่อเห็นท่าทีของซูเสี่ยวจวิ้น ฉินอวี้โม่ก็อดยิ้มออกมาไม่ได้

พวกเขายังคงพูดคุยกันไปอย่างสนุกสนานตลอดการเดินทาง การเดินทางของพวกเขาไม่ได้เร่งรีบอะไรเหมือนกับมั่นใจว่าผลจินหยินยังไม่สุกดี

ภายในห้องโถงของกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬ ฉินเทียน ผู้นำแห่งขุมกำลังนั่งอยู่ด้วยสีหน้าที่กระตือรือร้น เขามองฉินจ้านที่อยู่ตรงหน้าพลางเอ่ยถามอย่างรีบร้อน

“เจ้าแน่ใจหรือไม่ว่าฉินอวี้โม่ผู้นั้นคือเสี่ยวโม่เอ๋อร์ของข้า ?”

“เรียนท่านผู้นำ นางคือเสี่ยวโม่เอ๋อร์ไม่ผิดแน่”

ใบหน้าของฉินจ้านเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทว่าก็ยังมีร่องรอยของความกังวลปะปนอยู่บ้างเล็กน้อยแต่ยากที่ใครจะสังเกตเห็นได้

“ขอบคุณสวรรค์ เสี่ยวโม่เอ๋อร์โตขึ้นมากจริง ๆ” ฉินเทียนกล่าวก่อนจะพยักหน้าอย่างพึงพอใจ เขาไม่คิดเลยว่าฉินอวี้โม่จะเติบโตและพัฒนาจนเดินทางมาถึงดินแดนนี้ได้

“ท่านพ่อบุญธรรม ข้ามีบางเรื่องที่อยากจะบอกท่าน”

ฉินจ้านลังเลเล็กน้อย เขารู้จักบิดาบุญธรรมของตัวเองดี หลายปีมานี้เขาแสดงออกให้เห็นว่าเขาคิดถึงฉินอวี้โม่มาก ดังนั้นฉินจ้านจึงไม่ทราบว่าฉินเทียนจะมีปฏิกิริยาเช่นไรหากทราบข่าวนี้

“ฮึ ? มีปัญหาอะไรเจ้าก็ลองว่ามา” ฉินเทียนจ้องมองฉินจ้านพลางเอ่ยวาจาเชิงเร่งให้เขารีบพูดออกมาโดยเร็ว

ฉินจ้านพยักหน้าก่อนจะเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในหุบเขาหงส์ร่วงออกไปให้ผู้เป็นบิดารับฟัง

ปัง!

เกิดเสียงดังสนั่น โต๊ะที่อยู่ตรงหน้าของฉินเทียนถูกทุบด้วยฝ่ามือจนเกือบจะขาดครึ่งเลยทีเดียว

“จูอวิ๋นชาง เจ้ากล้ารังแกบุตรสาวข้า เจ้ามันรนหาที่ตาย!” ฉินเทียนสบถเสียงดัง ใบหน้าของเขาเต็มไปด้วยความโกรธแค้น รังสีสังหารไหลทะลักทลายออกมาจากร่างของเขาอย่างไม่อาจจะควบคุมได้

“ไป! ข้าจะไปฐานที่มั่นของกลุ่มพญายมเดี๋ยวนี้เพื่อถามจูอวิ๋นชางว่ากล้าดียังไงมารังแกบุตรสาวของฉินเทียนผู้นี้ได้!”

หลังจากกล่าวประโยคนี้จบ ฉินเทียนก็ลุกขึ้นและเดินออกไปข้างนอกอย่างไม่ลังเล

“ท่านพ่อบุญธรรมโปรดอย่าวู่วาม!”

ฉินจ้านรู้สึกจนปัญญาอย่างแท้จริง ก่อนหน้านี้เขาคิดอยู่แล้วว่าถ้าฉินเทียนรู้เรื่องนี้ ผลลัพธ์จะต้องออกมาเช่นนี้แน่

“เสี่ยวโม่เอ๋อร์ไม่มีอันตรายและยังโต้ตอบพวกเขาได้อย่างเจ็บแสบ ตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องรีบตามหาตัวนางให้พบก่อน ส่วนเรื่องของพญายมไว้จัดการทีหลังก็ยังไม่สาย!”

โดยปกติแล้วฉินเทียนจะเป็นคนที่สงบเยือกเย็น ทว่าเวลานี้อารมณ์เขาร้อนรนราวกับเปลี่ยนเป็นคนละคน ทั้งหมดนี้ฉินจ้านคิดว่าน่าจะเป็นเพราะฉินอวี้โม่ ความสุขุมของพ่อบุญธรรมถูกพังทลายลงไปแล้ว

“อีกไม่นานงานชุมนุมวายุเมฆาก็จะเริ่มขึ้น ข้าเชื่อว่าเสี่ยวโม่เอ๋อร์จะต้องเข้าร่วมด้วยแน่ ข้าคิดว่าพวกเราควรรีบไปเมืองเฟิงอวิ๋นให้เร็วที่สุดเท่าที่ทำได้จะเป็นการดีกว่า” ฉินจ้านกล่าวเสริมขึ้นมาอีกครั้งเพื่อให้ฉินเทียนอารมณ์เย็นลง

เมื่อได้ยินคำพูดของฉินจ้าน อารมณ์ของฉินเทียนก็ค่อย ๆ เย็นลง อย่างไรก็ตาม ความโกรธก็ยังสุมอยู่เต็มอกของเขา

“ที่เจ้าว่ามาก็ถูก เช่นนั้นเจ้ารีบไปเตรียมตัวได้แล้ว”

ฉินเทียนพยักหน้าและสั่งการให้ฉินจ้านไปเตรียมตัวให้พร้อม ส่วนตัวเขานั้นเมื่อกล่าวจบก็เดินออกไปข้างนอกทันที

ฉินจ้านได้แต่ส่ายศีรษะอย่างไร้หนทาง สถานที่ที่ฉินเทียนจะไปนั้นเขาพอจะเดาออก อย่างไรก็ตาม ด้วยความแข็งแกร่งของฉินเทียนคงไม่มีผู้ใดหยุดเขาได้

ฐานที่มั่นของกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬอยู่ไม่ไกลจากกลุ่มพญายมเท่าใดนัก หลังจากเร่งรีบเดินทางเพียงครึ่งวัน ฉินเทียนก็มาถึงฐานที่มั่นของพวกเขาแล้ว

“จูอวิ๋นชาง โผล่หัวออกมาพบข้าเดี๋ยวนี้!”

ตูม!

กล่าวจบ ลูกกลมแสงในมือของฉินเทียนก็พุ่งออกไปชนเข้ากับหลังคาของอาคารหลังหนึ่งจนเกิดเสียงดัง

จูอวิ๋นชางที่กำลังทำสมาธิฝึกฝนอยู่ เมื่อได้ยินเสียงที่คุ้นเคย สีหน้าเขาก็พลันเปลี่ยนไป จากนั้นร่างของเขาก็หายไปก่อนจะปรากฏตัวตรงหน้าฉินเทียน

“ฉินเทียน เจ้าคิดจะทำอะไร ?! กล้าบุกเข้ามาก่อเรื่องถึงที่นี่ คิดว่ากลุ่มพญายมของพวกเราเป็นอะไรกัน!”

จูอวิ๋นชางจ้องหน้าฉินเทียนพลางตวาดเสียงดัง แม้ว่าจะมีความกลัวอยู่บ้างแต่ผู้นำอย่างเขาก็ไม่มีวันยอมให้ผู้ใดมาหยามถึงถิ่นได้

“จูอวิ๋นชาง ข้าคิดว่าเจ้าคงไม่อยากอยู่ในดินแดนอ้างว้างต่อไปแล้วกระมัง กล้ามารังแกบุตรสาวข้า เจ้าอยากตายหรืออย่างไร ?!” ฉินเทียนกล่าววาจาเย็นชา ร่างของเขาหายไปพลันพุ่งเข้าจู่โจมจูอวิ๋นชางแต่ดูเหมือนจะไม่ใช่การโจมตีที่จริงจังนัก

จูอวิ๋นชางรีบหลบหลีกทันที แม้ว่าจะเหมือนกับว่าอีกฝ่ายโจมตีแบบไม่จริงจัง แต่ก็ไม่มีใครกล้าประมาทความลึกลับของผู้นำกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬ

“ฉินเทียน เจ้ามันหน้าไม่อาย ใคร ๆ ก็รู้ว่าเจ้ามีบุตรคนเดียว อีกทั้งยังเป็นบุตรบุญธรรมที่รับมาเลี้ยง เจ้าไม่มีภรรยาด้วยซ้ำ บุกมาถึงพญายมทั้งทีเจ้าหาข้ออ้างได้เพียงแค่นี้รึ ?”

ด้วยการที่พลังอำนาจของกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วในหลายปีที่ผ่านมา ทำให้แม้ว่าจะลึกลับหรือเป็นปริศนาเพียงใดแต่ข้อมูลของฉินเทียนนั้น ขุมกำลังระดับสูงอื่น ๆ ก็สืบทราบมาไม่น้อย

เขาไม่มีทั้งบุตรจริง ๆ หรือภรรยาโดยมีเพียงบุตรบุญธรรมเท่านั้น การที่ฉินเทียนกล่าวถึงเรื่องบุตรสาวถูกรังแกจึงเป็นเรื่องเหลวไหลอย่างยิ่ง

“ไม่มีบุตรไม่มีภรรยาอย่างนั้นรึ ?! คนอย่างเจ้ามันจะไปรู้อะไร!”

ฉินเทียนระเบิดอารมณ์ขึ้นมาทันที เขาน่ะหรือไม่มีบุตรไม่มีภรรยา คนที่เหลวไหลคืออีกฝ่ายต่างหาก

“กล้ามารังแกบุตรสาวของฉินเทียน ข้าจะทำให้ขุมกำลังพญายมของเจ้าพินาศ!” กล่าวจบ ฉินเทียนก็ปล่อยลูกเพลิงใส่อาคารบ้านพักในจวนของจูอวิ๋นชางทันที

แม้ว่าจูอวิ๋นชางจะอยากหยุดฉินเทียน แต่ก็เห็นได้ชัดว่าความแข็งแกร่งของตัวเขายังไม่พอจะทำเช่นนั้นได้  เขาไม่กล้าแม้แต่จะเข้าไปขัดขวางตรง ๆ และทำได้เพียงพยายามอย่างเต็มที่เพื่อปกป้องของมีค่าไม่ให้ฉินเทียนทำลายไปจนหมดสิ้น

ดูเหมือนว่าฉินเทียนจะตั้งใจมาทำลายสิ่งก่อสร้างเพื่อเป็นการตักเตือนเท่านั้น หลังจากทำลายจนหนำใจแล้ว เขาก็เตรียมจะจากไป

“ครั้งนี้ถือว่าข้าสั่งสอนบทเรียนให้พวกเจ้า ถ้าหากกล้ารังแกบุตรสาวของข้าอีก ข้าจะลบกลุ่มพญายมออกไปจากแผ่นดินนี้ให้หมด!” กล่าวจบ ร่างของฉินเทียนก็หายไปจากฐานที่มั่นของกลุ่มพญายมทันที

“ฉินเทียน เจ้า…”

ยังไม่ทันจะได้กล่าวสิ่งใด ฉินเทียนก็หายไปเรียบร้อยแล้ว

จูอวิ๋นชางแทบกระอักเลือดออกมาขณะมองไปยังทิศทางที่ฉินเทียนหายไปด้วยความคับแค้นใจ  เขาพยายามคิดถึงคำพูดของฉินเทียนตลอดเวลาด้วยความสงสัย ตัวเขายังไม่ทราบเลยว่าไปรังแกบุตรสาวของฉินเทียนตั้งแต่เมื่อไหร่จึงอดไม่ได้ที่จะไล่นึกถึงเรื่องที่เพิ่งเกิดในช่วงนี้ และทันใดนั้นเอง ชื่อของคนคนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นมาในหัวของเขา เรื่องนี้ทำให้เขาประหลาดใจมาก

มันไม่น่าจะบังเอิญถึงเพียงนั้น นางน่ะหรือคือบุตรสาวของฉินเทียน ?

เมื่อคิดถึงความเป็นไปได้นี้ จูอวิ๋นชางก็รีบส่ายศีรษะ เขาไม่อยากจะเชื่อในความเป็นไปได้นี้เลยเพราะถ้านางเป็นบุตรสาวของฉินเทียนจริงก็ถือเป็นข่าวร้ายสำหรับเขามาก

เมื่อออกมาจากที่มั่นของกลุ่มพญายมแล้ว ฉินเทียนก็กลับเข้าไปในจวนของเขาเองด้วยท่าทางที่โล่งราวกับได้ระบายความอัดอั้นทั้งหมดออกไป

“ท่านผู้นำกลับมาแล้วหรือขอรับ”

เมื่อเห็นฉินเทียนกลับมา ฉินจ้านก็รีบกล่าวทักทายทันที

“หึ! ข้าให้บทเรียนกับจูอวิ๋นชางไปแล้ว มันคงนึกว่าตัวเองไร้เทียมทานที่สุดในแผ่นดินนี้กระมังถึงได้กล้ามารังแกบุตรสาวข้า ถ้ามันยังกล้าทำอีก ข้าจะลบกลุ่มพญายมออกจากดินแดนอ้างว้างเสีย!”

เมื่อได้ยินวาจาที่รุนแรงของฉินเทียน ฉินจ้านก็ได้แต่ยิ้มอ่อน ๆ โดยไม่กล่าวสิ่งใด

“จริงสิ ตอนนี้มีเพียงข่าวของเสี่ยวโม่เอ๋อร์ แล้วข่าวของเฟยเอ๋อร์ล่ะ เจ้าได้มาบ้างหรือไม่ ?” เมื่อนึกถึงบุตรชายของตัวเอง ฉินเทียนก็เอ่ยถามขึ้นมา

ฉินจ้านส่ายศีรษะ เขาไม่ได้ยินข่าวเรื่องนี้จริง ๆ

“เช่นนั้นก็ลืมมันไปเสียเถอะ เรื่องเขาข้าไม่กังวลนัก ในฐานะบุรุษ เขาควรจะยืนหยัดด้วยตัวเองได้ ตอนนี้เราตามหาเสี่ยวโม่เอ๋อร์กันก่อนจะดีกว่า” ฉินเทียนกล่าว ในใจของเขาตอนนี้เป็นห่วงความปลอดภัยของบุตรสาวมากกว่าสิ่งอื่น

หากฉินอี้เฟยอยู่ที่นี่ เขาก็อาจจะคิดว่าบิดาของตัวเองลำเอียงก็เป็นได้

“พรุ่งนี้เราจะออกเดินทางไปที่เมืองเฟิงอวิ๋นเพื่อหาข่าวของเสี่ยวโม่เอ๋อร์ เจ้าจงเตรียมตัวให้พร้อม”

ฉินเทียนสั่งการด้วยรอยยิ้มพลางนึกถึงบุตรสาวที่ไม่ได้พบหน้ามานาน ตอนนี้เขารู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมาก

ฉินจ้านพยักหน้าก่อนจะเดินออกไปจากห้อง

อีกด้านหนึ่ง หานโม่ฉือที่เร่งเดินทางทั้งกลางวันและกลางคืนก็มาปรากฏตัวในเมืองเฟิงอวิ๋นเรียบร้อยแล้ว

“นายท่าน พวกเราไม่น่ารีบถึงเพียงนี้เลย ตอนนี้คุณหนูคงยังไม่มาถึงหรอกขอรับ” อสูรมายาของหานโม่ฉือกล่าวอย่างอับจนหนทาง

มันคิดว่าเจ้านายของมันดูรีบร้อนและเป็นห่วงความปลอดภัยของคนรักจนเกินไป การที่มันและเจ้านายมาถึงที่นี่ได้เร็วถึงเพียงนี้ถือเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์มาก

“เราจะช้าไม่ได้แม้แต่ก้าวเดียว ไว้วันใดเจ้ามีคู่รัก เจ้าก็จะเข้าใจเอง” หานโม่ฉือส่ายศีรษะพลางกล่าว ก่อนจะเดินหาสถานที่เงียบ ๆ แห่งหนึ่งเพื่อพักผ่อน

เมื่อมาอยู่ในดินแดนอ้างว้าง เขาไม่มั่นใจว่าความแข็งแกร่งของตนเองจะเพียงพอสำหรับการปกป้องฉินอวี้โม่ เพราะฉะนั้นเขาจะต้องทุ่มเทและพยายามให้มากขึ้น

ตอนนี้ฉินอวี้โม่ยังไม่ทราบถึงสิ่งที่เกิดขึ้น เวลานี้นางพร้อมด้วยคณะเดินทางของฉีอวิ๋นเหล่ยค่อย ๆ มุ่งหน้าเข้าสู่ใจกลางของป่ารัตติกาล

ป่ารัตติกาลไม่ได้มีอาณาเขตที่ใหญ่มากนัก แต่เป็นเพราะพวกเขาไม่ได้เร่งรีบเดินทางทำให้ยังไม่ถึงสถานที่ที่ต้นจินหยินตั้งอยู่

เรื่องสถานที่ที่มีต้นจินหยินตั้งอยู่นั้น พวกเขาได้รับข้อมูลมาเพียงแค่ว่ามันอยู่บริเวณใจกลางแต่ก็ไม่ทราบตำแหน่งที่แน่ชัด ทว่าด้วยการที่มันเป็นผลไม้มายาหายาก ฉะนั้นมันจะต้องเปี่ยมไปด้วยพลังงานเป็นแน่

ขอเพียงหาสถานที่ที่มีพลังไหลเวียนมากผิดปกติพบก็จะหามันเจอได้ไม่ยาก

ยิ่งกว่านั้น ครั้งนี้คงมีคนมาตามหาผลจินหยินเป็นจำนวนมาก ฉะนั้นขอเพียงเจอสถานที่ที่คนไปรวมตัวกันก็คงหามันพบได้ในทันที

หลังจากเดินทางร่วมกันได้ไม่นาน ฉินอวี้โม่และพวกฉีอวิ๋นเหล่ยก็สนิทสนมคุ้นเคยกัน

ในตอนนี้ฉินอวี้โม่และฉีอวิ๋นเหล่ยเดินนำหน้าขบวน ส่วนเหวินซื่อชู่และซูเสี่ยวจวิ้นเดินตามอยู่ด้านหลัง

“ฮ่า ๆ ๆ ขออภัยด้วยนะ แต่ข้าคาดเดาว่าเจ้าคงจะเป็นฉินอวี้โม่ใช่หรือไม่ ?”

จู่ ๆ ฉีอวิ๋นเหล่ยก็เอ่ยขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม เรื่องตัวตนของนางเขาพอจะเดาออกนานแล้ว

“ที่เจ้ารู้คงเป็นเพราะข้าเอ่ยถึงชื่อของท่านป้าเหวินหย่าสินะ” ฉินอวี้โม่ตอบกลับด้วยรอยยิ้ม นางไม่คิดปฏิเสธ

“จริง ๆ แล้วท่านป้าเหวินหย่าและท่านลุงได้ส่งจดหมายมาถึงพวกเราก่อนแล้วเพื่อบอกว่าเจ้ากำลังมาที่ดินแดนนี้ หากพบเจ้าก็ขอให้ให้การช่วยเหลือ แต่ดูจากความแข็งแกร่งของเจ้าในตอนนี้ดูเหมือนจะไม่จำเป็นแล้ว”

ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม ถึงจะคาดเดาได้ก่อนแล้วแต่การที่นางคือฉินอวี้โม่จริง ๆ ก็ยังทำให้เขาตกใจอยู่ดี

ฉินอวี้โม่ใช้โอกาสนี้กล่าวถามเรื่องที่อยากรู้ออกไป “เจ้ามีข่าวเรื่องของบิดาข้าบ้างหรือไม่ ?”

นางอยากจะยืนยันให้แน่ใจว่าผู้นำของกลุ่มเสื้อคลุมทมิฬจะใช่บิดาของนางหรือไม่

“ฮ่า ๆ ๆ ถ้าให้ข้าเดา ถึงข้าจะไม่พูดเจ้าก็คงรู้คำตอบอยู่แล้ว” ฉีอวิ๋นเหล่ยเอ่ย เขาเชื่อว่าฉินอวี้โม่คงจะได้รับเบาะแสมาแล้ว

คำตอบของฉีอวิ๋นเหล่ยถือเป็นการยืนยันข้อมูลที่นางได้รับมาก่อนหน้านี้ เมื่อรู้เช่นนี้ก็ทำให้ฉินอวี้โม่รู้สึกโล่งใจขึ้นมาก

“ว่าแต่ครั้งนี้ผู้ที่จะเดินทางมาด้วยรู้สึกว่าจะมีบุรุษที่มีนามว่าหานโม่ฉือด้วยมิใช่หรือ เขาไม่ได้อยู่กับเจ้าอย่างนั้นรึ ?” ฉีอวิ๋นเหล่ยกล่าวถามด้วยความสงสัย

.