เล่ม 10 เล่มที่ 10 ตอนที่ 299 จะลงโทษเช่นไร

สนมโง่เจ้าจะหนีไปไหน

กูสือซานฉวยจังหวะนี้สาดผงพิษไร้สีไร้กลิ่นออกไป และกระโดดหนีไปทางหน้าต่าง

เยี่ยโยวเหยากับมู่หรงฉีคิดจะไล่ตาม ทว่าพวกเขาถูกพิษ เมื่อตามไปได้เพียงสองก้าว ขาทั้งสองของเขาพลันอ่อนแรง ทรุดตัวชันเข่าข้างหนึ่งลงกับพื้น

พิษนี้ของกูสือซาน หาใช่พิษร้ายกาจอันใด ขณะที่ระบบถอนพิษตรวจสอบประเภทของพิษนั้น ได้แสดงผลการตรวจสอบออกมาในทันที ซูจิ่นซีจึงรีบสาดผงกำจัดพิษ

เยี่ยโยวเหยาคิดจะไล่ตามกูสือซานต่อ ทว่าซูจิ่นซีรีบคว้าแขนของเยี่ยโยวเหยาไว้แล้วพูดว่า “ทางข้างหน้าสลับซับซ้อน พวกเราไม่คุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้ อย่าบีบสุนัขให้จนตรอกเลยเพคะ”

เยี่ยโยวเหยาพยักหน้า แสดงท่าทีเห็นด้วย

ซูจิ่นซีหันหลังไปมองซูอวี้กับจอมวายร้ายไป๋เฉ่า

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าได้ตรวจชีพจรให้ซูอวี้แล้ว เมื่อเห็นซูจิ่นซีมองมาก็ส่ายศีรษะพูดว่า “นี่คือพิษเผ่าเหมียวแห่งแคว้นไหวเจียง แม้ข้าจะพอรู้จักและศึกษาพิษเผ่าเหมียวของแคว้นไหวเจียงมาบ้าง แต่ข้าไม่เชี่ยวชาญด้านการถอนพิษชนิดนี้ พิษเผ่าเหมียวนี้ ข้าหมดทางจริงๆ ”

ซูจิ่นซีขมวดคิ้ว นางล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ หยิบยาชนิดหนึ่งออกมาจากระบบถอนพิษ และเดินนำยาเข้าไปให้ซูอวี้ทานก่อน

ผ่านไปไม่นาน แม้ซูอวี้ยังคงอ่อนแอ ทว่าความเจ็บปวดลดลงไปมาก

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าเป็นหมอยา เขาไม่ทันเห็นว่าซูจิ่นซีให้ซูอวี้ทานยาอันใดลงไป

“แม่นางพิษน้อย เจ้าให้หนูน้อยคนนี้ทานยาอันใดหรือ? เหตุใดพี่จุนจึงไม่เคยเห็นยาชนิดนี้มาก่อน? ”

นั่นคือยาระงับปวดในยุคปัจจุบัน เรียกว่า บลูเฟ่น ไม่ใช่ยาเสพติด ทว่าไม่มีผลทางการรักษาอาการบาดเจ็บ เป็นเพียงยาระงับปวดเท่านั้น

ยาชนิดนี้เป็นยาแผนปัจจุบันทางฝั่งตะวันตก เป็นสิ่งที่คนในยุคสมัยนี้ไม่คุ้นเคยเป็นอย่างมาก การที่จอมวายร้ายไป๋เฉ่าไม่รู้จัก จึงเป็นเรื่องปกติ

ซูจิ่นซีตรวจดูอาการซูอวี้ก่อนแล้ว พิษเผ่าเหมียวยังไม่เป็นอันตรายจนถึงชีวิต ในเมื่อนางกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่ายังไม่มีวิธีรักษา จึงทำได้เพียงนำตัวซูอวี้กลับไปก่อน แล้วค่อยหาวิธีถอนพิษอีกครั้ง

นอกจากนั้น ซูจิ่นซียังตรวจพบว่าร่างกายของเยี่ยโยวเหยาได้รับพิษจำนวนมาก แม้จะเป็นปัญหาเพียงเล็กน้อย ทั้งเยี่ยโยวเหยายังใช้กำลังภายในยับยั้งไว้แล้ว พิษจึงไม่กำเริบชั่วคราว ทว่าอย่างไรเสียก็ต้องรีบถอนพิษออกให้หมด

ซูจิ่นซีรีบประคองตัวซูอวี้ให้ลุกขึ้น

แม้นางจะไม่คุ้นเคยกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่าและมู่หรงฉีมากนัก ทว่านางยังคงกล่าวคำขอบคุณพวกเขาทั้งสองสำหรับการช่วยเหลือที่ผ่านมา

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าแย้มยิ้ม “แม่นางพิษน้อย ไม่ต้องเกรงใจพี่จุนเช่นนั้น เมื่อไรเจ้าพบกับปัญหาและอุปสรรค พี่จุนจะปรากฏตัวเพื่อช่วยเหลือเจ้าเป็นคนแรกอย่างแน่นอน”

การแสดงออกบนใบหน้าของซูจิ่นซียังคงเรียบเฉย นางไม่พูดตอบอันใด

มู่หรงฉีสบตาซูจิ่นซีพลางประสานมือเพื่อแสดงความเคารพ นี่เป็นครั้งแรกที่เขาแนะนำตนเองกับซูจิ่นซี “ข้าน้อยมู่หรงฉีจากแคว้นหนานหลี”

สกุลมู่หรงเป็นสกุลเชื้อพระวงศ์ของแคว้นหนานหลี ทั่วทั้งอาณาจักรเทียนเหอมีสกุลมู่หรงแห่งแคว้นหนานหลีเพียงสกุลเดียวเท่านั้น เรื่องเหล่านี้ซูจิ่นซีทราบอยู่แล้ว ดังนั้นเมื่อมู่หรงฉีเอ่ยชื่อตนเองออกมา ซูจิ่นซีจึงรู้ได้ทันทีว่ามู่หรงฉีคือใคร

“ฉีอ๋อง ขอบใจท่านมาก ครั้งนี้ข้าติดค้างน้ำใจท่านหนึ่งครั้ง หากวันใดต้องการให้ข้าช่วยเหลือ สามารถเอ่ยปากบอกได้ทันที”

นัยน์ตามู่หรงฉีปรากฏความซับซ้อนที่ไม่อาจคาดเดาได้ แม้แต่เยี่ยโยวเหยายังมองไม่ออก

“พระชายาโยวอ๋องรับปากเช่นนี้ หากต่อไปข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่าน ข้าจะไม่เกรงใจ”

“ลาก่อน”

“รักษาสุขภาพด้วย”

เยี่ยโยวเหยายังคงพูดน้อยเช่นเดิม นอกจากนั้น จอมวายร้ายไป๋เฉ่ากับมู่หรงฉียินดีมาที่หุบผาราชันพิษด้วยตนเอง เยี่ยโยวเหยาจึงรู้สึกว่าไม่มีอันใดให้ต้องขอบคุณ ทว่าเขาไม่ได้เร่งรัดซูจิ่นซี ทำเพียงเอามือไพล่หลัง ยืนรอด้วยใบหน้าเย็นชา

เมื่อซูจิ่นซีพูดกับจอมวายร้ายไป๋เฉ่ากับมู่หรงฉีเรียบร้อยแล้วจึงเดินไปหาเยี่ยโยวเหยา เยี่ยโยวเหยาหันไปมองจอมวายร้ายไป๋เฉ่าด้วยใบหน้าแสดงการตักเตือน ก่อนจะจูงมือพาซูจิ่นซีเดินจากไป

ดูเหมือนจอมวายร้ายไป๋เฉ่าจะมีภูมิคุ้มกันกับท่าทางเช่นนี้ของเยี่ยโยวเหยา จึงไม่ได้สนใจอันใดมากนัก

หลังจากที่เยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีเดินลับสายตาไป จอมวายร้ายไป๋เฉ่าก็เดินเข้าไปโอบไหล่มู่หรงฉีราวกับเป็นเพื่อนสนิท “จะว่าไปแล้ว เจ้าฉี เมื่อครู่เป็นโอกาสอันดีทีเดียว! เหตุใดเจ้าไม่บอกแม่นางพิษน้อยไปตามตรงว่า เจ้าเป็นพี่ชายแท้ๆ ของนาง? เช่นนั้นระยะห่างระหว่างข้ากับแม่นางพิษน้อยก็จะใกล้ชิดมากขึ้นยิ่งกว่าเยี่ยโยวเหยา ต่อไปข้าจะดูสิว่า เยี่ยโยวเหยายังกล้าแสดงท่าทางหยิ่งยโสเช่นนี้อีกหรือไม่”

อารมณ์ที่ปกปิดภายใต้ดวงตาซับซ้อนของมู่หรงฉีก่อนหน้านี้ เวลานี้กลับปรากฏออกมา

“เจ้ามั่นใจได้อย่างไรว่านางคือคนที่พวกเราตามหา? ”

“นางมีหยกกิเลน! อีกทั้งป้ายหยกสกุลจงที่เยี่ยโยวเหยาขโมยมาจากฮูหยินเตี๋ยเมิ่งก่อนหน้านี้ ก็เป็นของนาง”

มู่หรงฉียกยิ้มมุมปากเล็กน้อย พลางส่ายศีรษะ “แม้จะมีของเหล่านี้ ก็ไม่แน่ว่าจะเป็นนาง”

“เช่นนั้นเจ้ามีวิธียืนยันเช่นไร? ” จอมวายร้ายไป๋เฉ่าถามด้วยความสงสัย

มู่หรงฉียิ้มอย่างมีเลศนัย ไม่ยอมตอบข้อสงสัยของจอมวายร้ายไป๋เฉ่า

“จะใช่นางหรือไม่ ถึงเวลาก็รู้เอง”

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าสบถด่า “บัดซบ” และพูดว่า “ช่างลึกลับซับซ้อน หากเจ้าไม่อยากพูด ข้าก็ไม่อยากรู้”

จอมวายร้ายไป๋เฉ่าพูดพลางหยิบหมูน้อยกลไกออกมาจากแขนเสื้อ

เจ้าตัวน้อยนี้นำทางเขาจนมาพบกับซูจิ่นซี คิดไม่ถึงว่ากูสือซานก็อยู่ด้วยเช่นกัน ยังไม่ทันจะถึงมือซูจิ่นซี ก็ตกไปอยู่ในมือของกูสือซานเสียก่อน ทั้งยังไม่รู้ว่าถูกกูสือซานทำพังและหล่นลงบนพื้นตอนไหน

เมื่อจอมวายร้ายไป๋เฉ่าหยิบขึ้นมาและพบสิ่งผิดปกติ ก็รู้สึกปวดใจอย่างมาก เวลานี้เขารู้สึกเกลียดชังกูสือซานเข้ากระดูกดำ

เพื่อสร้างสิ่งนี้ เขาต้องใช้ทั้งความคิดและเวลานานในการสร้างมันขึ้นมา ทั้งมันยังเป็นสมบัติล้ำค่าของเขา แต่เขาตัดสินใจแล้วว่าจะมอบมันเป็นของขวัญให้กับแม่นางพิษน้อย

ตอนนี้ถูกกูสือซานทำพังไปแล้ว เขาจะมอบให้นางได้อย่างไร?

กูสือซาน!

แม้ข้าจะยอมรับว่าวิชาพิษและวรยุทธ์ของเจ้าร้ายกาจกว่า ทว่าทางที่ดีเจ้าควรอธิษฐานไว้ว่า ขออย่าให้มีวันใดที่เจ้าเผลอตกอยู่ในเงื้อมมือข้า มิฉะนั้นข้าจะสังหารเจ้าให้ตายอย่างน่าอนาถ!

เมื่อเยี่ยโยวเหยากับซูจิ่นซีออกมาจากหุบผาราชันพิษ ท้องฟ้าในเวลานี้ก็มืดสนิทแล้ว

ซูจิ่นซีหันไปดูอาการของซูอวี้ นางขมวดคิ้วเล็กน้อยพูดกับเยี่ยโยวเหยาว่า “ท่านอ๋อง อาการของอวี้เอ๋อร์ไม่สู้ดีนัก ไม่เหมาะกับการเดินทางตอนกลางคืน ทั้งหม่อมฉันยังตรวจพบพิษในร่างกายของท่าน เช่นนั้นพวกเราหาที่พักผ่อนกันก่อน หม่อมฉันจะได้ช่วยดูอาการของท่านด้วยเพคะ”

ทันใดนั้น สีหน้าของเยี่ยโยวเหยาก็แปรเปลี่ยนเป็นขึงขัง เขาบีบหัวไหล่ซูจิ่นซีอย่างรุนแรงแล้วพูดว่า “ซูจิ่นซี มีอีกหลายเรื่องที่เจ้าต้องอธิบายให้ข้าฟัง มิฉะนั้นแล้ว… ”

เยี่ยโยวเหยายังไม่ทันได้เอ่ยคำพูดต่อจากนั้น ทว่าดวงตาที่เย็นชาขึงขังก็ทำให้ซูจิ่นซีตกตะลึงทันที

ซูจิ่นซีเพิ่งนึกขึ้นได้ว่า ระหว่างนางกับเยี่ยโยวเหยามีหลายเรื่องที่เข้าใจผิดและยังไม่ได้อธิบายให้ฟัง

เมื่อเผชิญหน้ากับศัตรู เยี่ยโยวเหยาสามารถปกป้องและดูแลนางเป็นอย่างดี แต่ไม่ได้หมายความว่าพวกเขาทั้งสองไม่มีเรื่องผิดใจกัน

ซูจิ่นซีนึกมาถึงตรงนี้ นางกับซูอวี้ก็ถูกเยี่ยโยวเหยาใช้สองมือหิ้วราวกับหิ้วไก่ พาเหาะหายไปในความมืด

ยามค่ำคืนที่มืดมิด ท้องฟ้าเต็มไปด้วยเมฆสีดำปิดบังดวงจันทร์ที่ไม่กระจ่างใส ดวงดาราพลอยน่าสงสารไปด้วย สภาพท้องฟ้าเช่นนี้ช่างสอดคล้องกับอารมณ์เคร่งขรึมน่ากลัวของเยี่ยโยวเหยายิ่งนัก

ภายในใจของซูจิ่นซีรู้สึกหวาดหวั่นอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน เวลานี้พวกเขามุ่งหน้าไปทางเมืองตี้จิง เยี่ยโยวเหยารีบพานางกับซูอวี้กลับไปที่จวนอย่างไม่รีรอ

ดูจากท่าทางโกรธเคืองของเขาแล้ว ไม่รู้ว่าหลังจากกลับไปถึงจวนจะเกิดอันใดขึ้นกับนางบ้าง และเยี่ยโยวเหยาจะลงโทษนางอย่างไร?