ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 196 ลมฝนแปดทิศ เกิดจากศิลาดำ

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

มันไม่มี จึงไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้

ไม่มีเรื่องของโชคชะตาเช่นนี้ ดังนั้นย่อมไม่ปรากฏเรื่องการท้าลิขิตพลิกโชคชะตาเช่นกัน

เฉินฉางเซิงมองดูคำพูดท่อนสุดท้ายของบันทึกฉบับดังกล่าว เงียบไปพักใหญ่ ไม่สามารถอธิบายอารมณ์ได้ ยินดีอยู่บ้าง แต่สิ่งที่มากกลับเป็นความอ้างว้างเสียยิ่งกว่า คำพูดของหวังจือเช่อปานอสนีบาตสายหนึ่ง ดังสะเทือนเลื่อนลั่นระเบิดอยู่ในห้วงสมองเขา แต่สิ่งที่น่าเสียดายคือ นั่นไม่ใช่สายฟ้าฤดูใบไม้ผลิ ไม่ได้นำพาน้ำฝนฤดูใบไม้ผลิที่ชุ่มชื้นย่ำพื้นดิน ในทางกลับกัน มันยิ่งเหมือนเสียงระฆังเสียงหนึ่ง ที่ทำให้เขาตื่นจากความเพ้อฝันไม่มีจริง

คำพูดนี้ทรงพลังอย่างยิ่ง สำหรับเขาแล้ว มันไม่มีความหมายใดๆ…ไม่ ไม่ได้มีเพียงสมุดบันทึกเล่มนี้…จากความตั้งใจที่แน่วแน่ในการสู้คัดค้านกับความเป็นตายมาหลายปี เฉินฉางเซิงไม่ได้ใช้เวลามากเท่าไรในการสงบจิตใจ ทั้งนี้เขายืนยันว่านี่ไม่ใช่ทั้งหมดของหนึ่งคืนในหอหลิงเยียน

ตอนสร้างหอหลิงเยียน อาจารย์ของเขานักพรตจี้เป็นคนสำคัญในจิงตูแล้ว ตอนที่เหล่าขุนนางผู้มีคุณูปกรป่วยหนักและตายไป ล้วนเป็นอาจารย์ที่รักษาอาการป่วยให้พวกเขา ฉะนั้นย่อมต้องรู้ความลับที่มากกว่า ให้เขาประสบกับความยากลำบากมากมายเพื่อเข้าหอหลิงเยียน ไม่ใช่เพียงแค่ให้พิศพินิจคำพูดของหวังจือเช่ออย่างแน่นอน

เขายัดสมุดบันทึกที่อ่านจบลงไปในฝักกระบี่ มองดูฝากล่องที่อยู่บนผนังอิฐมรกต มองดูเหล่าเส้นทองแดงที่ซับซ้อนและคานทองแดงที่ละเอียดยิบย่อย ยิ่งรู้สึกว่าภาพสะท้อนเหล่านี้เหมือนกับมหาสมุทรดวงดาวที่กว้างใหญ่ เขาไม่ได้มัวเมาอยู่ในทะเลแห่งนี้ ยื่นมือหยิบฝากล่องขึ้นมา แล้วยัดเข้าไปในฝักกระบี่เช่นกัน

สมุดบันทึกและฝากล่องล้วนไม่ได้ขนาดน้อยๆ ดูอย่างไรก็ยัดเข้าไปในฝักกระบี่ไม่ได้ แต่ก็ถูกเขายัดทั้งแบบนั้นเข้าไปจนได้ เหมือนกับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งถูกกระแสทรายที่มีเส้นรอบวงไม่ถึงหนึ่งนิ้วดูดกลืนเข้าไป และยังเหมือนภูเขาลูกใหญ่ถูกหลุมดำเล็กๆ ดูดเข้าไปอีกโลกหนึ่งอีกด้วย ภายใต้การส่องสว่างจากแสงอันนุ่มนวลของไข่มุกราตรี เกิดภาพสะท้อนประหลาดขึ้นบางอย่าง

หลังทำสองเรื่องนี้เสร็จเรียบร้อย เขายื่นมือเข้าไปในผนังอิฐมรกต ค้นอย่างละเอียดในกล่อง เป็นไปตามคาด สักพัก เขาค้นเจอก้อนศิลาสีดำก้อนหนึ่งจากในนั้น

ศิลาดำก้อนนี้สั้นประมาณครึ่งนิ้วมือ เรียบยาวเล็กน้อย มองด้วยตาเปล่าก็รู้สึกถึงความแข็งแกร่ง จากการสัมผัสที่ปลายนิ้วมือ เขาก็พิสูจน์จุดนี้ได้

เฉินฉางเซิงนั่งที่มุมกำแพง ยกศิลาดำก้อนดังกล่าวมาไว้หน้าไข่มุกราตรี สังเกตอย่างละเอียด…ศิลาดำก้อนนี้สามารถอยู่กับสมุดบันทึกเล่มนั้น ถูกหวังจือเช่อซ่อนไว้ในหอหลิงเยียน แน่นอนว่าย่อมไม่ธรรมดา

ภายนอกศิลาดำแลดูมันวาว มีสีน้ำคล้ายหมอก ข้างบนไม่มีรอยแตกใดๆ ทั้งหมดล้วนเป็นสีดำสนิทดุจน้ำหมึก แต่เหมือนคลื่นท้องฟ้ายามราตรีไร้ดวงดาวมากกว่า ภายนอกศิลาดำจริงๆ นั้นไม่มีอะไรเลย แต่พอมองนานเข้า กลับรู้สึกราวกับมีระลอกคลื่นขึ้นลงของน้ำหมึก ทำให้เกิดระดับเข้มอ่อนของสีดำด่างที่แตกต่างกันขึ้น

สายตาของเฉินฉางเซิงตรอกตรึงบนศิลาดำ เหมือนมหาสมุทรอันดำมืด

มหาสมุทรอันดำมืด ก็คือท้องฟ้ายามราตรี

สติของเขามาถึงท้องฟ้ายามราตรี

เดิมเป็นท้องฟ้าค่ำคืนที่มืดมนอนธการถ้วนทั่ว จู่ๆ ก็จุดสว่างดวงดาวขึ้นมามากมายนับไม่ถ้วน

ตอนนี้เขาเป็นเช่นเดียวกับคืนที่เลือกดาวโชคชะตา เข้าสู่สถานการณ์ว่างเปล่าไร้ตัวตนชนิดหนึ่ง ปล่อยให้สติล่องลอยอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าค่ำคืน เคลื่อนผ่านไปมาในระหว่างหมู่ดาวอย่างอิสรเสรี ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร เขาเห็นจุดหนึ่ง ณ ที่ไกลโพ้นในท้องฟ้าค่ำคืน ปรากฏดวงดาวสีแดงเล็กๆ ขึ้นหนึ่งดวง

เฉินฉางเซิงมองดูดาวดวงนั้นอย่างสงบ รู้สึกสบายอย่างยิ่ง เพราะนั่นคือดาวโชคชะตาของเขา

ดาวดวงนั้นสงบ แข็งแรง และมีชีวิตชีวา ส่องแสงสว่างที่แจ่มจ้าและบริสุทธิ์บนท้องฟ้าค่ำคืนอย่างต่อเนื่อง ไม่คล้ายว่ากำลังจะดับสูญไปโดยสิ้นเชิง

จู่ๆ เขาเหมือนตระหนักอะไรได้บางอย่าง

ถึงแม้ว่าหลังจากนี้ห้าปีข้าจะตายจริงๆ ดาวดวงนี้กลับยังคงสว่างอยู่

ความจริงข้อนี้ทำให้เขารู้สึกดีขึ้น ต่อมา กลับผิดหวังและโศกเศร้ามากขึ้น

ช่องว่างรอบดวงดาวสีแดงดวงนี้ ยังมีดวงดาวอีกมากมาย

เขามองไปยังดวงดาวเหล่านั้น สังเกตเห็นว่าดวงดาวเหล่านั้นที่แขวนอยู่บนท้องฟ้าค่ำคืนก็มองดูตนเองอย่างสงบเยือกเย็น หรือจะพูดว่า มองดูดาวสีแดงที่เป็นของตัวเขาเอง

เขาพลันรู้สึกไม่สบายใจขึ้นมา เกิดอารมณ์หวาดกลัวอย่างรุนแรง เหมือนกับตอนที่เขามองไปยังภาพวาดเหล่านั้นในหอหลิงเยียน รู้สึกอยู่เสมอว่าคนในภาพวาดเหล่านั้นกำลังจ้องมองตนเอง

คนเหล่านั้นตายไปแล้ว กลับราวยังมีชีวิตอยู่

ดวงดาวเหล่านี้มิได้เปล่งวาจา แต่กลับเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง

สติของเขามิได้รับรู้สิ่งอื่นใด เขาขณะนี้ยังอยู่ที่หอหลิงเยียน นั่งพิงผนังอิฐมรกต ทั่วสรรพางค์กายแข็งทื่อราวกับรูปปั้นแกะสลัก

ศิลาดำก้อนนั้นที่ถูกบีบระหว่างนิ้วมือทิ้งสอง จู่ๆ ก็สว่างเจิดจ้าหาใดเปรียบ แสงสว่างโชติช่วงเริงร้อนอันเป็นอนันต์หากแต่แสงเหล่านั้นก็ยังไม่สามารถทะลุประตูหน้าต่างของหอหลิงเยียนได้ ความร้อนเหล่านั้นก็มีเพียงเขาที่สามารถรู้สึกได้

ในหอหลิงเยียน เฉินฉางเซิงเริ่มเหงื่อแตกพลั่กตลอดเวลา เหงื่อเหล่านั้นยังระเหยอีก ในที่สุดกลายเป็นกลุ่มหมอกสีขาว ล้อมรอบกายเขา

กลิ่นประหลาดที่ยากจะพรรณนา อยู่ระหว่างกลุ่มหมอก โชคดีที่ถูกบริเวณขอบของหมอกสกัดกั้นไว้ กลิ่นจึงไม่ฟุ้งกระจายออกไปแม้แต่น้อย

มีลมหายใจที่ประหลาดเกินบรรยาย ปรากฏออกมาจากส่วนลึกของศิลาดำ แทรกตามนิ้วมือเขา เข้าไปที่ร่างกาย ทะลุผ่านส่วนลึก ในที่สุดตกลงสู่ความทรงจำของเขา ในห้วงสมองของเฉินฉางเซิงเกิดเสียงระเบิดดังสนั่น! ทว่าความรู้สึกกลับแตกต่างจากตอนอ่านท่อนสุดท้ายในสมุดบันทึกของหวังจือเช่อ เสียงอสนีบาตครั้งนี้ประหนึ่งเสียงฟ้าผ่าของจริง!

เกิดคลื่นยักษ์ขนาดมหึมาขึ้นในความทรงจำของ ราวกับจะโถมออกมา!

เขาซึ่งพิงอยู่ที่ผนังอิฐมรกต ม่านนัยน์ตาสั่นระริก ยิ่งมายิ่งเร็ว เหงื่อก็ยิ่งไหลยิ่งชุ่มโชก หมอกรอบกายยิ่งมายิ่งเข้มข้น จนกระทั่งปกคลุมใบหน้าทั้งหมดของเขาไป

ในส่วนลึกของกลุ่มก้อนหมอกนี้ เขาหลับตาแน่น ม่านตายังคงสั่นระรัวอย่างรวดเร็ว หลังเสียงฟ้าผ่าฤดูใบไม้ผลิพาดผ่านความทรงจำของเขานั้น บังเกิดภาพมากมายพรั่งพรูขึ้นมา

นั่นเป็นข้างในของตำหนักศึกษาที่ยิ่งใหญ่ เต็มไปด้วยความสว่างไสว มีนักบวชมากมายคุกเข่าอยู่ที่พื้น รูปปั้นนับร้อยที่อยู่สองข้างของตำหนักศึกษา ภายใต้แสงสว่างประหนึ่งทำให้แลดูมีความอ่อนน้อมถ่อมตนมากขึ้น

ราวกับคลื่นในส่วนลึกของความสว่าง ผู้อาวุโสท่านหนึ่งผู้ใส่ชุดเทพสวมมงกุฎเทพ มือกำไม้เท้าเทพแน่น หันไปยังท้องฟ้าที่เต็มไปด้วยดวงดาวด้านบนของตำหนักศึกษา สวดบทสวดเสียงดัง ข้างหน้าที่นั่งเทพ มีชายวัยกลางคนรูปร่างอวบท้วมคุกเข่าอยู่ ตามการดำเนินการของกระบวนการบูชา แสงดวงดาวฉายบนตัวเขา ในขณะเดียวกันมีลมหายใจที่ทรงพลังผิดปกติ จากร่างกายเขากลับไปยังท้องฟ้าดวงดาว

ส่วนลึกที่สุดของท้องฟ้าดวงดาวมีการเปลี่ยนแปลง การเปลี่ยนแปลงนั้นมีความละเอียดอย่างยิ่ง บางดวงดาวเปลี่ยนเป็นมืด กลับเห็นเป็นเพียงแค่คล้ายปีกของแมลงเม่ายื่นออกมาบดบังแสงพระอาทิตย์ บางดวงดาวเคลื่อนห่างจากตำแหน่ง กลับเห็นเป็นเพียงระยะเท่าน้ำที่นองขึ้นมาเทียมเส้นผมของแม่น้ำลั่ว แม้จะเป็นหอดูดาวที่มีความเก่าแก่มากที่สุดในประวัติศาสตร์โลกมนุษย์ ก็ยากที่จะสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลงนี้ ถึงจะเป็นหอความลับสวรรค์ก็ทำไม่ได้

ในผืนท้องฟ้าค่ำคืนนั้น ดวงดาวขยับเล็กน้อย บ้างมืดบ้างจาง การเปลี่ยนแปลงอันละเอียดมากมายนี้มารวมกันทั้งหมด ระหว่างนั้นโครงสร้างของพลังไร้รูปร่างก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเช่นกัน ตรงกลางสุดมีดวงดาวสีม่วงอ่อนที่ค่อยๆ เปลี่ยนเข้มขึ้น เข้มจนสดสวย ม่วงจนถึงจุดสูงสุด จากนั้นจู่ๆ ก็ระเบิดแสงสว่างจัดจ้าออกมา!

ดาวจักรพรรดิสีม่วงเล็กน้อย ก็ปรากฏขึ้นมาแบบนี้ แต่ในโลกมนุษย์ พลทหารเมืองเทียนเหลียงออกเส้นทางภูเขาทิศบูรพา โจมตีเมืองสิบเจ็ดเมืองติดต่อกัน ทลายวงล้อมเมืองลั่วหยาง แย่งชิงสุสานแห่งจิงตู จักรพรรดิไท่จู่ขึ้นครองราชย์อย่างเป็นทางการ

หลังจากนั้นหลายปี สวนร้อยหญ้านครจิงตูมีเสียงฆ่าฟันเกิดขึ้น คืนที่เงียบสงบถูกตีแตก ท้องฟ้าค่ำคืนถูกฉีกขาด ดวงดาวเหล่านั้นที่เคยถูกเปลี่ยนตำแหน่งและความสว่างค่อยๆ มืดจางลง โลหิตไหลดั่งสายน้ำ พี่น้องฆ่ากันเอง บุตรชายที่มีความสามารถโดดเด่นทั้งหลายของจักรพรรดิไท่จู่ สุดท้ายเหลือเพียงคนเดียวที่สามารถมีชีวิตอยู่ต่อได้

หลายปีต่อมา เกมไพ่หนึ่งตาได้จบลง มั่วสุมสาวงามนางในจำนวนหนึ่งได้จบลง จักรพรรดิไท่จู่มาถึงใต้แผงเลื้อยไม้ มองดูเหล่าดวงดาวยามท้องฟ้าค่ำคืน บนใบหน้าปรากฏรอยยิ้มที่เจ็บปวด

ดาวสีม่วงดวงนั้นในท้องฟ้าค่ำคืนยังคงโดดเด่นสะดุดตา เพียงแต่ว่ามันไม่เป็นของเขาอีกต่อไป กลับเป็นของบุตรชายเขา ฉีอ๋องท่านนั้นที่ถูกขนานนามว่ากตัญญู ก็คือฝ่าบาทไท่จงในปัจจุบัน

จักรวาลเกิดการเปลี่ยนแปลงต่อเนื่อง ราศีทั้งยี่สิบสี่ที่ครองบริเวณกึ่งกลาง สว่างตามลำดับ ราวกับจะนำเอาพลังที่รวบรวมมาในอดีตชั่วกาล ปลดปล่อยออกมาทั้งหมดภายในระยะเวลาอันสั้นนับสิบปี

แสงสว่างของราศีทั้งยี่สิบสี่ยังคงดึงดูดสายตายิ่งนัก และทำให้ไม่มีใครสังเกตเห็น ดาวจักรพรรดิสีม่วงที่อยู่ตรงกลางถูกล้อมรอบด้วยดาราจักรราศีเหล่านี้ เปลี่ยนปฏิกิริยาอย่างเงียบๆ ไปแล้ว ยืนมองดูจากพื้นดินอาจจะขยับเพียงเล็กน้อย แต่ในความเป็นจริงมันพุ่งไปยังทิศเหนือแล้วเรียบร้อย ตรงปรี่เข้าไปยังกึ่งกลางท้องฟ้าค่ำคืนที่มืดมิด

พลทหารเผ่ามารแพ้ราบคาบยกทัพกลับเหนือ โลกเผ่ามนุษย์สงบสุข จิงตูสร้างหอหลิงเยียนขึ้นแห่งหนึ่ง จิตรกรที่ผอมแห้งท่านหนึ่ง หมอบวาดภาพอยู่ที่พื้นอย่างต่อเนื่อง สีหน้าคล้ายบ้าคลั่ง

พระอัครมเหสีที่จักรพรรดิไท่จงรักและเคารพมากสุดตายไป พี่ชายของพระนาง จ้าวกั๋วกงผู้ที่เป็นลำดับหนึ่งของภาพวาดขุนนางผู้มีคุณูปกรในหอหลิงเยียนถูกรับสั่งให้ฆ่าตัวตาย ทว่าในหน้าประวัติศาสตร์ สาเหตุการตายของเขาเหมือนน้องสาวเขา ล้วนเป็นเพราะโรคที่พบบ่อยสุดที่แม่น้ำลั่วซี ต่อจากนั้น เจิ้งกั๋วกงที่เป็นคนเดียวในโลกที่กล้าบาดหมางกับฝ่าบาทไท่จงก็ป่วยตายตามมาติดๆ ฉินฉงและอวี่กงที่มีความจงรักภักดีต่อฝ่าบาทไท่จงมากที่สุดก็ตายโดยไม่รู้สาเหตุ แต่พวกเขาตายอย่างสงบ กระทั่งพูดได้ว่ามีความสุขมาก ไม่มีคำตำหนิใดๆ

ต้าโจวกำลังเจริญรุ่งเรือง เหล่าขุนพลเทพและขุนนางที่มีชื่อเสียงกลับค่อยๆ ลดลง

ปลายฤดูใบไม้ผลิครั้งหนึ่ง หลังหวังจือเช่อเข้าร่วมพิธีฝังศพของสหายท่านหนึ่งเสร็จ เดินเข้าไปยังพระราชวังอย่างเงียบๆ มาถึงข้างในหอหลิงเยียน มองดูภาพวาดที่อยู่บนผนัง สุดท้ายเดินถึงหน้าภาพวาดของตนเอง เขามองดูตัวเองในภาพวาดอย่างเงียบๆ ราวกับกำลังเข้าร่วมพิธีฝังศพของตัวเองล่วงหน้า ยังยิ้มพลางกล่าวสี่คำว่าน้ำเสียงสีหน้าดุจเดิม*

เขาเอากล่องใบหนึ่งซ่อนอยู่ในผนังอิฐมรกตข้างภาพวาด แล้วหันหลังจากไป

หวังจือเช่อในภาพวาด มองดูหวังจือเช่อที่เดินออกจากหอหลิงเยียน ยิ้มแย้มไร้วาจา

……

……

เฉินฉางเซิงลืมตาตื่นขึ้น ภายในระยะเวลาอันสั้น หมอกเข้มข้นที่ล้อมรอบเขาตลอดเวลาค่อยๆ หายไป เหมือนกับการทรุดยวบ ที่ไม่สามารถมองเห็นชัดเจนด้วยตาเปล่า ตกลงใส่บนตัวเขา ทะลุผ่านเสื้อ ผ่านรูขุมขนบนผิวหนัง เข้าไปยังร่างกายเขา

ไอหมอกเหล่านั้นเดิมเป็นหยาดเหงื่อที่ไหลออกมาของเขา ตอนนี้กลับเข้าไปยังร่างกายใหม่ ก็เปลี่ยนไปเป็นหยดน้ำตามปกติ กลายเป็นสายธารเล็กๆ มากมาย ค่อยๆ ให้ความชุ่มชื้นกับความแห้งขอดของลุ่มน้ำ จากนั้นไหลลงไปสู่เหวไส้ขาดที่อยู่ส่วนปลายของเทือกเขา ไม่มีเสียงสะท้อนกลับ

ท้องฟ้าที่ราบหิมะที่ถูกเผามอดไหม้จากการต่อสู้กับโก่วหานสือ เริ่มมีหิมะตกอีกครั้ง ปลิวว่อน โปรยปราย แผ่นหิมะดั่งขนห่าน ดูราวกับเชื่องช้า ทว่ากลับรวดเร็วยิ่งในการทำให้ที่ราบรกร้างกลายเป็นสีขาวโพลน

จากนั้นเกิดลมฝนสี่ทิศแปดทาง บ้างแนวนอนบ้างแนวตั้ง บ้างเกิดขึ้นจากฟ้าคราม บ้างเกิดขึ้นจากบนผืนดิน เสียงซู่ซ่า โจมตีทะเลสาบบนม่านฟ้า ฉายเป็นฉากหลังอันสวยงามตระการตายิ่งนัก

*น้ำเสียงสีหน้าดุจเดิมแปลว่า น้ำเสียงและสีหน้ายังคงเหมือนราวกับยังมีชีวิตอยู่ มักใช้รำลึกของผู้ล่วงลับ