ตอนที่ 293-3 ความกังวลของท่านอาจารย์ชิงอวิ๋น

ชายาเคียงหทัย

เห็นได้ชัดว่าหานหมิงซีทำตัวเหมือนค้างคาวที่นอนอยู่บนต้นไม้ พูดออกมาอย่างเกียจคร้านว่า “จะสู้หรือไม่ แล้วเกี่ยวอะไรกับพวกเรา” พวกเขาไม่ต้องไปสนามรบเสียหน่อย

เฟิ่งไหวถิงเดินหมากแล้วลุกขึ้นยืมพลางยิ้ม ก่อนจะเอ่ย “แน่นอนว่าไม่เกี่ยว ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ควรเตรียมตัวได้แล้ว”

หานหมิงซีลงมาจากต้นไม้ มองหลังของเฟิ่งไหวถิงที่จากไป ก่อนจะเอ่ยถามด้วยความสงสัย “เราจะเตรียมตัวอะไร”

หานหมิงเย่ว์ยิ้มบางๆ เอ่ย “ออกตัวก่อนที่ทหารและม้าจะเคลื่อนไหว หัวหน้าตระกูลเฟิ่งเป็นคนฉลาด”

“ท่านพี่…” หานหมิงซีมองพี่ชายด้วยความเสียใจและกังวล ไม่พูดเรื่องกาลก่อนที่พี่ใหญ่จมปลักอยู่กับซูจุ้ยเตี๋ยแล้ว ตอนนี้เขาค่อยๆ ตื่นขึ้นแล้ว ความสามารถของพี่ใหญ่ไม่มีทางด้อยไปกว่าหัวหน้าตระกูลเฟิ่งแน่นอน แต่เรื่องที่เคยเกิดขึ้นได้ตัดสินแล้วว่าเขาไม่อาจได้สู้รบในซีเป่ยไปชั่วนิรันดร์ หานหมิงเย่ว์ส่ายหัวด้วยความโล่งใจและพูดด้วยรอยยิ้มจางๆ “หมิงซี…สำหรับข้าแล้วการช่วงชิงอำนาจเป็นเพียงแค่ความฝันเท่านั้น ไม่สิ แม้แต่ความฝันเช่นนี้ข้ายังไม่เคยมีเลย ที่เป็นอยู่ในตอนนี้ไม่มีอะไรไม่ดี…”

“ติ้งอ๋องไม่รู้จริงๆ หรือว่าเจ้าเคยให้คำแนะนำกับข้าในช่วงปีสองปีที่ผ่านมา” หานหมิงซีถาม ความสามารถของเขามีจำกัดและไม่เคยกลัวที่จะยอมรับว่าตัวเองด้อยกว่าคนอื่นๆ ในปีสองปีที่ผ่านมา มีหลายสิ่งที่ติ้งอ๋องมอบหมายให้กับเขา เห็นได้ชัดว่ามันเกินกว่าความสามารถของเขา นี่ทำให้หานหมิงซีเกิดความสงสัยอย่างอดไม่ได้ หานหมิงเย่ว์ยิ้ม พลางตบไหล่น้องชายและพูดว่า “อาจจะเลอะเลือนไปบ้างก็ได้ ไปกันเถอะ อาจารย์เฟิ่งอาจมีอะไรให้เจ้าช่วย”

เมื่อเยี่ยหลีก้าวเข้ามาในห้องโถงใหญ่ ทูตของต้าฉู่ยังไม่จากไปไหน ในขณะที่ทูตของซีหลิง ถูกเชิญให้ดื่มชาระหว่างรออยู่ในห้องบุปผาอีกด้านหนึ่ง เข้าไปดูว่าทูตที่ต้าฉู่ส่งมา ทำให้เยี่ยหลีตกใจ ที่แท้ก็เป็นอวี๋อ๋องหรือม่อจิ่งอวี๋ คนคุ้นเคยนี่เอง

“อาหลี เจ้ากลับมาแล้วหรือ” เห็นเยี่ยหลีปรากฏตัวขึ้นตรงหน้าประตู ม่อซิวเหยาแสดงสีหน้าว่าไม่อยากอดทนแล้วก็เผยรอยยิ้มทันที ก่อนจะลุกขึ้นยืนเพื่อต้อนรับเยี่ยหลี ม่อจิ่งอวี๋ก็รีบลุกขึ้นเพื่อคำนับเช่นกัน “พระชายาติ้งอ๋อง พระชายานี่มันอะไรกัน” เยี่ยหลียิ้มบางๆ ก่อนเอ่ย “ที่แท้ก็เป็นอวี๋อ๋องนี่เอง เมื่อครู่ออกไปเยี่ยมท่านตามาน่ะ ขอโทษด้วยที่ไม่ได้ต้อนรับอวี๋อ๋อง โปรดอภัย”

แน่นอนว่า ม่อจิ่งอวี๋รู้จักสำนักหลีซานบนภูเขาที่อยู่ไม่ไกลจากตัวเมือง แต่เดิมเป็นสำนักหลีซานของต้าฉู่ ซึ่งเป็นหนึ่งในสามสำนักที่ยิ่งใหญ่แห่งยุค แต่เนื่องจากความโง่เขลาของม่อจิ่งฉี เอาเปรียบซีเป่ยโดยเปล่าประโยชน์ ในช่วงสองปีที่ผ่านมา ระบบการคัดเลือกผู้มีความสามารถในซีเป่ย ได้เริ่มก่อตัวขึ้นโดยพื้นฐานแล้ว ปัจจัยที่ใหญ่ที่สุดคือสำนักหลีซานดึงดูดและปลูกฝังผู้มีความสามารถอย่างต่อเนื่อง ลูกศิษย์จำนวนมากเดินทางหลายพันลี้เพื่อมาศึกษา ส่วนใหญ่หลังจากที่เรียนจบแล่วต่างเลือกจะอยู่ที่ซีเป่ยต่อ ยิ่งไปกว่านั้นจำนวนนักเรียนท้องถิ่นในซีเป่ยเพิ่มขึ้นอย่างมากในช่วงสองปีที่ผ่านมา และพวกเขาภักดีต่อจวนติ้งอ๋อง

“อวี๋อ๋องเชิญนั่ง” หลังจากที่ม่อซิวเหยานั่งลงบนบัลลังก์ จึงนั่งลงตาม เยี่ยหลีก็พูดด้วยรอยยิ้ม

ม่อจิ่งอวี๋ขอบคุณและนั่งลงอีกครั้ง มองม่อซิวเหยาที่ตอนนี้จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัวอย่างเห็นได้ชัด ก็อดยิ้มอย่างขมขื่นออกมาไม่ได้ และไม่รู้ว่าจะเอ่ยปากอย่างไร เยี่ยหลีพูดออกมาอย่างรู้สึกผิด “ข้ารบกวนการคุยกันของพวกท่านหรือเปล่า” ม่อซิวเหยาจับมือของเยี่ยหลีวางไว้บนเข่าแล้วจับเล่น พลางเอ่ย “จะมีเรื่องอะไรเล่า มาเจรจาขอความช่วยเหลือใช่ไหม”

“ขอความช่วยเหลือหรือ” เยี่ยหลีเลิกคิ้ว

ม่อจิ่งอวี๋ ยิ้มอย่างขมขื่น เห็นแก่ความตรงไปตรงมาของม่อซิวเหยา เขามาขอความช่วยเหลือจริงๆ แต่มอซิวเหยาใช้น้ำเสียงเช่นนี้พูดออกมา ทำให้รู้สึกไม่รู้จะตอบอย่างไร เยี่ยหลีขมวดคิ้ว เอ่ย “สถานการณ์แย่ถึงเพียงนี้แล้วหรือ หลีอ๋อง หรือว่ายินยอมให้กองทัพตระกูลม่อช่วยเหลือแล้ว”

ม่อจิ่งอวี๋กระอักกระอ่วนเล็กน้อย หลีอ๋องไม่ได้ยินยอมหรอก จำเป็นต้องพูดว่า แม้ม่อจิ่งหลีกับม่อจิ่งฉีจะไม่ถูกกันเท่าไร แต่ท้ายที่สุดพวกเขาก็เป็นพี่น้องแท้ๆ สนับสนุนเรื่องการโจมตีจวนติ้งอ๋องต่อกันอย่างไร้เหตุผล สิ่งเดียวที่น่าจะแตกต่างคือม่อจิ่งฉีพุ่งเป้าไปยังจวนติ้งอ๋อง ไม่ว่าใครจะมาเป็นติ้งอ๋อง เขาปรารถนาที่จะพุ่งตัวเข้าไปกัด ทว่าม่อจิ่งหลีพุ่งเป้ามายังม่อซิวเหยามากกว่า แต่ในสถานการณ์ตอนนี้กลับไม่มีที่ว่างพอให้ม่อจิ่งหลีคัดค้านแล้ว บางทีม่อจิ่งหลีอาจจะพาคนของตนเองถอยทัพกลับไปคุ้มกันเจียงหนานได้ แต่คนอื่นกลับทำไม่ได้ รากเหง้าของพวกเขาอยู่ที่ฉู่จิง พอฉู่จิงถูกทำลาย ทั้งหมดของพวกเขาก็จบลงแล้ว

“ตอนนี้แม่ทัพเหลิ่งอยู่ที่ด่านจื่อจิง ต้านทานชายแดนทางเหนืออย่างยากลำบาก ซีหลิงและเป่ยหรงก็โจมตีต้าฉู่ในเวลาเดียวกันเมื่อเดือนก่อน ต้าฉู่ถูกโจมตีจากสามทาง…หวังว่าติ้งอ๋องจะเห็นแก่การมีสายเลือดเดียวกัน ยื่นมือเข้ามาช่วยต้าฉู่”

ม่อซิวเหยาหัวเราะอย่างเย็นชา “ยื่นมือเข้าไปช่วยหรือ นี่เป็นความเห็นของพวกคนแก่ในราชสำนักใช่ไหม ม่อจิ่งหลีเห็นด้วยหรือยัง อวี๋อ๋องรับประกันได้ไหมว่า หากข้าส่งกำลังทหารออกไป แล้วม่อจิ่งหลีจะไม่แทงข้างหลัง เรื่องแบบนี้กองทัพตระกูลม่ออย่างข้าเผชิญมาไม่ต่ำกว่าครั้งสองครั้งแล้ว อวี๋อ๋องเชิญกลับไปเถิด”

“ติ้งอ๋อง…หรือว่าท่านจะเห็นคนตายแล้วนิ่งดูดายอย่างนั้นหรือ” ม่อจิ่งอวี๋ยังคงเกลี้ยกล่อมต่อ แม้ว่าเขาจะสนิทกับม่อจิ่งหลี แต่ก็ไม่ยอมให้ต้าฉู่ถูกทำลายลงไปหรอก “หรือติ้งอ๋องคิดว่าความจริงใจของพวกเราไม่พอ หากมีเรื่องอะไรที่พวกเราพอทำได้ ติ้งอ่องเอ่ยปากมาได้เลย”

“ความจริงใจหรือ” ม่อซิวเหยาเอ่ยขึ้นอย่างไม่แยแส “ตั้งแต่ต้นจนจบ ข้าไม่เคยเห็นความจริงใจอะไรเลย ทว่า…ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่ได้…”

ม่อจิ่งหลีดีใจ “ติ้งอ๋องสั่งมาได้เลย”

มุมปากของม่อซิวเหยายกขึ้น เผยรอยยิ้มเย็น “ตราบใดที่ม่อจิ่งหลียอมคุกเข่าต่อหน้าทหารของกองทัพตระกูลม่อเพื่อขอโทษแทนราชวงศ์ต้าฉู่ ข้าก็จะลองคิดดู”

สีหน้าม่อจิ่งอวี๋เปลี่ยนในทันควัน เข้าใจว่าตนนั้นมาโดยเปล่าประโยชน์ทันที ไม่ต้องพูดถึงการที่ม่อจิ่งหลีจะคุกเข่าต่อหน้ากองทัพตระกูลม่อเลย แม้แต่จะโค้งคำนับให้ม่อซิวเหยายังทำไม่ได้ ม่อจิ่งอวี๋ถอนหายใจอย่างจนปัญญา ในที่สุดก็ก้มหัวด้วยความโศกเศร้า

ม่อซิวเหยาหัวเราะ เอ่ย “ดูเหมือนว่าอวี๋อ๋องจะยอมแพ้แล้ว เช่นนั้นก็เชิญเถิด”

ม่อจิ้งอวี๋เห็นสีหน้าไม่แยแสของม่อซิวเหยา จึงถอนหายใจออกมายาวๆ ทีหนึ่ง แล้วลุกขึ้นเดินออกจากประตูไปในที่สุด