กู้ชูหน่วนสตรีอัปลักษณ์ บทที่ 563
ชายร่างกำยำหลายคนเข้ามารายล้อมกู้ชูหน่วนเอาไว้และหนึ่งในนั้นก็หัวเราะเยาะเย้ยพูดขึ้นมาว่า “ไม่ต้องทำเรื่องเล็กให้เป็นเรื่องใหญ่ ผู้หญิงคนนี้มีฝีมือเพียงระดับขั้นที่สองเท่านั้น ข้าจะจัดการนางเอง ไม่ใช่เรื่องยากลำบากอะไรเลย”

ยอดฝีมือคนอื่นๆ ที่มีพละกำลังมากกว่าต่างจับจ้องไปยังเยี่ยจิ่งหานอย่างระมัดระวัง เพียงแค่เยี่ยจิ่งหานขยับตัวแม้แต่นิดเดียว พวกเขาก็จะลงมือทันทีและจัดการเอาชีวิตของเยี่ยจิ่งหาน

กู้ชูหน่วนสังเกตชายที่มองนางด้วยสายตารังเกียจที่อยู่ตรงหน้านาง

ผู้ชายคนนี้อายุราวๆ สี่สิบปี เขามีสีหน้าดุร้ายและคิ้วขมวด ร่างกายแข็งแรงกำยำ คาดเดาจากสายตาแล้วคิดว่ามีฝีมืออยู่ในระดับขั้นที่สาม

“เจ้าแน่ใจหรือว่าเจ้าเพียงคนเดียวก็จัดการข้าได้?”

“เด็กผู้หญิงตัวเล็กเช่นนี้ จะไปยากอะไร ไม่จำเป็นต้องให้คนอื่นจัดการเจ้าเลยด้วยซ้ำ”

กู้ชูหน่วนส่ายหน้า ราวกับถอนหายใจให้กับความไม่รู้จักเจียมเนื้อเจียมตัวของเขา

ท่าทีที่เย็นชาและเย่อหยิ่งนี้ทำให้ชายร่างกำยำโกรธทันที

เขาทุบมันอย่างแรงด้วยค้อนขนาดใหญ่ ราวกับว่าเขาต้องการทำให้กู้ชูหน่วนเกิดความหวาดกลัวขึ้นและจัดการนางเสียให้ได้

ค้อนนี้ทรงพลังมาก และใบไม้ที่อยู่รอบๆ ก็ส่งเสียงกรอบแกรบและตกลงมา ราวกับว่าลมในฤดูใบไม้ร่วงพัดใบไม้ไปพร้อมกับสายลม

คนของเผ่าเพลิงฟ้าต่างมองดูเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอย่างขบขัน

แม้ว่าความแข็งแกร่งของหวางเหมิ่งจะไม่สูงนัก แต่ความแข็งแกร่งของเขาเป็นที่รู้จักกันดีในเผ่าเพลิงฟ้า

และแม้แต่ยอดฝีมือระดับขั้นที่สี่โดยทั่วไปก็ไม่อาจทนต่อการความแข็งแกร่งในการจู่โจมของเขาได้ แค่เพียงเขาทุบค้อนลงมา ก็เห็นได้ชัดว่าเขาออกแรงทั้งหมดและไม่ไว้หน้าใครทั้งนั้น

ผู้หญิงคนนั้นมีฝีมือเพียงระดับขั้นที่สองเท่านั้น นางจะหลบทันได้อย่างไร

ทุกคนต่างพากันจ้องมองดูกู้ชูหน่วนถูกค้อนทุบจนกลายเป็นเนื้อแผ่น

มีเพียงเยี่ยจิ่งหานเท่านั้นที่เชื่อมั่นในกู้ชูหน่วน เพียงมือทั้งสองของงเขาก็อดไม่ได้ที่จะกำหมัดแน่น

และ……

หลังจากที่ค้อนได้ทุบลงไปแล้ว คนที่ล้มลงไปกลับไม่ใช่กู้ชูหน่วน

แต่กลับเป็นหวางเหมิ่ง

ค้อนนั้นได้หลุดออกจากมือของเขาและทุบเข้าไปยังกำแพงหินอย่างรุนแรง จึงทำให้กำแพงหินนั้นรับแรงกระแทกไม่ไหวและถล่มลงมา

ทำให้หวางเหมิ่งล้มลงกับพื้นอย่างไม่ทราบชะตากรรม ไม่แม้แต่จะรู้ว่าเขายังมีลมหายใจอยู่หรือไม่

จากนั้นเมื่อมองไปยังกู้ชูหน่วนที่ยืนหลังตรงต้อนรับสายลมที่พัดผ่านและยิ้มอย่างสง่างาม

นี่……

เป็นไปได้อย่างไรกัน……

“นังปีศาจ เจ้าทำอะไรลงไป หรือว่ามีใครยื่นมือมาช่วยเจ้าอย่างนั้นหรือ?”

“เผ่าเพลิงฟ้าของพวกเจ้าที่ยกตัวว่ามียอดฝีมือเยอะมากมายราวกับก้อนเมฆ ข้าใช้หรือไม่ใช้วิธีการอะไร พวกเจ้าดูไม่ออกหรือ? มีคนช่วยเหลือข้าหรือไม่นั้น พวกเจ้าก็ดูไม่ออกเลยหรือ?”

ทุกคนเมื่อได้ยินสิ่งที่นางพูดเช่นนั้นก็รู้สึกเสียหน้าและอับอาย

เหตุการณ์เมื่อสักครู่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว พวกเขาแทบไม่รู้เลยว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง

มีเพียงแค่รองหัวหน้าเผ่าซือคงและผู้อาวุโสจำนวนหนึ่งเห็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น และอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจออกมา

ถึงแม้ว่าผู้หญิงคนนี้จะมีฝีมือเพียงระดับขั้นที่สองเท่านั้น แต่กำลังภายในของนางนั้นเป็นเลิศ นางหลบค้อนเพชฌฆาตนั้นด้วยความรวดเร็วราวกับสายฟ้าและนางก็เอาชนะหวางเหมิ่งด้วยความอ่อนโยน นางใช้โอกาสตอนที่เขาเย่อหยิ่งภาคภูมิใจในตัวเอง ผลักเขาล้มลง

และอดพูดไม่ได้ว่าผู้หญิงคนนี้มีความดุร้ายและมีความกล้าหาญอย่างมาก

หากนางช้ากว่านี้เพียงนิดเดียว เช่นนั้นนางคงต้องจบชีวิตลง แต่นางก็ได้เดิมพันเอาไว้แล้ว เดิมพันความดูถูกและการประเมินศัตรูต่ำไปของเขา

“ข้าจะช่วยเจ้าเอง” ชายร่างใหญ่อีกคนยืนขึ้น ชายร่างใหญ่คนนี้กำลังถือง้าวกรีดนภาอยู่ในมือ ขมับของเขายกสูงขึ้น อย่างน้อยก็มีฝีมืออยู่ราวๆ ระดับขั้นที่สาม

กู้ชูหน่วนพูดขึ้นอย่างแผ่วเบา “ทำไมหรือ พวกเจ้าคิดอยากผลัดเปลี่ยนกันเข้ามาต่อสู้อย่างนั้นหรือ?”

“ฮึ จัดการกับเจ้า พวกข้าจำเป็นต้องผลัดเปลี่ยนกันอย่างนั้นหรือ?”

“ในเมื่อพวกเจ้ามีความเชื่อมั่นเช่นนี้ เช่นนั้นเราก็มาเดิมพันกันดูสักตั้งและตัดสินผลในสามรอบเป็นผู้ได้รับชัยชนะไป หากข้าชนะละก็ พวกเจ้าก็ปล่อยข้าไป หากข้าแพ้ พวกเจ้าจะจัดการกับข้าอย่างไรก็ได้ เป็นอย่างไร?”

“เจ้า? เดิมพันกับเจ้าน่ะหรือ?”

ทุกคนต่างมองไปยังเยี่ยจิ่งหาน

ถึงแม้ว่าเยี่ยจิ่งหานจะได้รับบาดเจ็บ แต่พวกเขาก็ยังเกิดความกังวลต่อเขา

“ใช่ ข้าคนเดียว”

“แม่สาวน้อย เจ้าช่างไม่รู้จักที่ต่ำที่สูงเอาเสียเลย เจ้าคิดว่าเผ่าเพลิงฟ้าตายกันหมดแล้วหรือ? ที่เจ้าจะเอาชนะได้ง่ายๆ?”

“นั่นเป็นเรื่องของข้า พวกเจ้าไม่ต้องสนใจหรอก”

ผู้อาวุโสเหล่าต่างมองหน้ากันและมองเห็นการเห็นด้วยจากสายตาของกันและกัน

การเดิมพันในครั้งนี้ นางไม่ได้ร้องขอว่ายอดฝีมือระดับใดบ้างที่จะมาต่อสู้กับนาง เพราะถึงอย่างไรเสีย พวกเขาก็ไม่เสียเปรียบอะไร

“เพื่อไม่ให้เป็นที่วิพากษ์วิจารณ์ออกไปว่าเผ่าเพลิงฟ้าของพวกข้ารังแกคนไม่มีทางสู้ เช่นนั้นแล้วพวกข้าตกลงรับการเดิมพันในครั้งนี้”

กู้ชูหน่วนมองไปที่การแสดงออกของพวกเขาและมุมของริมฝีปากสีแดงสดใสของนางก็เยาะเย้ยดูถูกขึ้นมา

คิดว่านางโง่อย่างนั้นหรือ?

เช่นนี้ก็ต้องการหลอกล่อนาง?

กู้ชูหน่วนกล่าวว่า “เผ่าเพลิงฟ้าไม่เพียงมีประวัติมายาวนานกว่าพันปีและนับเป็นเผ่าใหญ่เผ่าหนึ่งที่ได้รับการกล่าวขานบนโลกใบนี้ แต่ข้ากลับเป็นเพียงหญิงสาวธรรมดาคนหนึ่งที่มีฝีมือระดับขั้นที่สองเท่านั้น ข้าคิดว่าพวกเจ้าคงไม่คิดรังแกข้าที่เป็นเด็กที่ปากไม่สิ้นกลิ่นน้ำนมหรอกใช่หรือไม่”

เมื่อพูดจบ นางเผยให้เห็นฟันที่ขาวสะอาดและยิ้มอย่างไร้เดียงสา “ไม่ทราบว่าท่านลุงท่านอาทั้งหลายจะส่งยอดฝีมือระดับขั้นที่เท่าไรออกมาต่อสู้และจำนวนกี่คนอย่างนั้นหรือ?”

แววตาของนางสะอาดบริสุทธิ์ ไม่แม้แต่จะกังวลใดๆ ราวกับว่าสิ่งที่บริสุทธิ์และศักดิ์สิทธิ์ที่สุดในโลก ทำให้พวกเขาอับอายที่จะลงมือกับนางชั่วขณะหนึ่ง

ผู้อาวุโสทั้งหลายต่างไม่พูดอะไร รองหัวหน้าเผ่าซือคงกล่าวว่า “ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น? เยี่ยจิ่งหานห้ามยื่นมือเข้าช่วย?”

“แน่นอนอยู่แล้ว”

“ได้ เช่นนั้นข้าจะเลือกคนจำนวนหนึ่งตามอำเภอใจเพื่อออกไปจัดการกับเจ้า”

ทุกคนคิดว่า รองหัวหน้าเผ่าซือคงจะเลือกคนที่มีพละกำลังฝีมือเทียบเท่ากับกู้ชูหน่วน หรืออาจจะดีกว่านางเล็กน้อย

แต่คาดไม่ถึงว่ารองหัวหน้าเผ่าซือคงกลับชี้ไปยังเด็กหนุ่มสองคนที่มีหน้าตาหล่อเหลา

“สนามแรก มีพวกเจ้าทั้งสองคนลงมือต่อสู้”

ผู้อาวุโสของเผ่าเพลิงฟ้าต่างตกตะลึง

รองหัวหน้าเผ่ากลับเลือกหวางเฟิง หวางอวี่ สองคนนี้นับว่าเป็นลูกศิษย์ที่มีความเก่งกาจอย่างมาก พวกเขาอายุยังน้อย แต่ฝีมือของพวกเขากลับอยู่ในระดับขั้นที่สี่เบื้องต้น และเมื่อดาบของพวกเขาทั้งสองมารวมกัน ในเผ่าเพลิงฟ้านั้นแทบไม่มีใครกล้าเป็นศัตรูคู่ต่อสู้เลย

และพวกเขาแทบทำการต่อสู้กับยอดฝีมือระดับสูงสุดขั้นที่สี่ได้อีกด้วย

รองหัวหน้าเผ่าซือคงให้พวกเขาออกไปจัดการ นี่ก็เห็นได้ชัดว่าเป็นการจงใจกลั่นแกล้งรังแกกู้ชูหน่วนไม่ใช่หรือ?

สีหน้าของเยี่ยจิ่งหานเคร่งขรึมเล็กน้อย

ความไม่สบอารมณ์แผ่ซ่านออกมาบนใบหน้าของเขา

เผ่าเพลิงฟ้ารู้สึกละอายใจเล็กน้อย

ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวอย่างลังเลขึ้นมาว่า “รองหัวหน้าเผ่า ไม่เช่นนั้นเปลี่ยนคนเถอะ?”

“เปลี่ยนเป็นใคร? เจ้าหรือ?”

“เอ่อ…”

เป็นไปได้อย่างไร…

เขาเป็นถึงผู้อาวุโส หากเขาเข้าร่วมการต่อสู้ ต่อให้ชนะ ก็ชนะอย่างไร้เกียรติ

แต่กลับได้ยินเสียงหัวเราะของกู้ชูหน่วน “ก็ได้ เช่นนั้นก็เป็นพวกเขาสองคนต่อสู้กับข้า”

หวางเฟิงและหวางอวี่ต่างก็เย้ยหยัน “ไม่รู้จักเจียมตัว”

กู้ชูหน่วนราวกับไม่ได้ยินที่พวกเขาพูดเยาะเย้ยดูถูก นางยังคงทำหน้าไร้เดียงสาและถามขึ้นว่า “เช่นนั้นแล้วสนามต่อไปล่ะ ใครจะออกมาต่อสู้ ไม่เช่นนั้น เจ้าเลือกให้เสร็จทีเดียวเลยเถอะ จะได้ไม่เกิดการเปลี่ยนตัวขึ้นกะทันหัน หากเปลี่ยนให้ผู้อาวุโสสูงสุดขึ้นมาละก็ เช่นนั้นข้าคงเสียเปรียบแย่”

ทุกคนต่างพากันหัวเราะขบขัน

ผู้ที่มีฝีมือระดับขั้นที่สองเพียงคนเดียว จำเป็นต้องรบกวนผู้อาวุโสสูงสุดเลยหรือ?

ผู้อาวุโสสูงสุดของเผ่าเพลิงฟ้าของพวกเขาไร้ค่าเช่นนั้นเลยหรือ?

“เจ้าชนะพวกเขาให้ได้เสียก่อนเถอะแล้วค่อยพูดออกมา”

“ไม่ได้ๆ เจ้าต้องเลือกคนให้เสร็จเสียก่อน ข้าเป็นเพียงผู้หญิงอ่อนแอคนหนึ่ง ทั้งโดดเดี่ยวและไร้ที่พึ่ง ช่างน่าสงสาร อีกทั้งยังอยู่ในพื้นที่ของพวกเจ้าอีกด้วย หากข้าเกิดชนะขึ้นมา เช่นนั้นพวกเจ้าต้องจัดการข้าอย่างแน่นอน และเลือกให้ผู้อาวุโสสูงสุดขึ้นมาจัดการข้า”

“เชอะ เจ้าคิดเข้าข้างตัวเองเกินไปแล้ว สนามที่สอง…”

ผู้อาวุโสอารมณ์เกรี้ยวกราดฉุนเฉียวคนหนึ่งอ้าปากด่าทอ และกำลังคิดหาตัวแทน

รองหัวหน้าเผ่าซือคงพูดแทรกก่อน “สนามที่สองมีซ่งอวี้เป็นผู้ออกไปต่อสู้”

ซี๊ด..

คนของเผ่าเพลิงฟ้าถอนหายใจขึ้นอีกครั้งหนึ่ง

ซ่งอวี้..

เขาเป็นถึงยอดฝีมือสูงสุดระดับขั้นที่สี่ และแทบจะก้าวเข้าสู่ระดับขั้นที่ห้า เขายังเป็นถึงลูกศิษย์คนสนิทของหัวหน้าเผ่าอีกด้วย…

หลายปีมานี้ เขาบำเพ็ญเพียรมาโดยตลอดและน้อยครั้งนักที่จะปรากฏตัวออกมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการต่อสู้กับผู้หญิงตัวเล็กที่มีฝีมือเพียงระดับขั้นที่สองเลย

มีคนพูดขึ้นมาว่า นอกจากนายน้อยของเผ่าแล้ว ซ่งอวี้ยังเป็นคนที่หัวหน้าเผ่าต้องการฝึกฝนอย่างจริงจังและยังต้องการมอบตำแหน่งผู้อาวุโสให้กับเขาอีกด้วย