ตอนที่ 349 ความคิดของแต่ละคน

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 349 ความคิดของแต่ละคน

ฟู่เสี่ยวกวนออกมาจากตำหนักเย็น ในยามที่ประตูได้ปิดลงเขามิได้สังเกตเห็น รอยยิ้มแบบมีเลศนัยของจักรพรรดินีเซียวที่อยู่ ๆ ก็ยกยิ้มขึ้นมา ทั้งยังกล่าวประโยคที่มีอยู่ในความฝันในหอแดงอีกว่า

“มองทะลุปรุโปร่งแล้ว เข้าไปในประตูที่ว่างเปล่า ลุ่มหลงมัวเมา และเอาชีวิตไปทิ้ง ! ”

……

เดือนสามวันที่ยี่สิบห้า เทศกาลฤดูหนาว

ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ตื่นขึ้นมาตั้งแต่ย่ำรุ่ง เพราะเมื่อคืนวานเติ้งซิวได้ชี้แจงกับเขาอย่างละเอียดแล้ว ว่าวันนี้จะต้องไปรวมตัวที่กวนหลี่เตี้ยนตั้งแต่เช้าตรู่

เมื่อถึงเวลาจะมีเสนาบดีฉงซานแห่งกวนหลี่เตี้ยนและผู้อาวุโสเหวินชังไห่ แห่งสำนักศึกษาฮ่านหลินเป็นประธานจัดการ กล่าวว่าจักรพรรดิเหวินเองก็จะมาเช่นกัน

ดังนั้นหลังจากที่ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ จัดการธุระส่วนตัวเสร็จ ก็ได้พาต่งชูหลานกับหยูเวิ่นหวิน รวมไปถึงศิษย์พี่รองสำนักเต๋าเกาหยวนหยวน ศิษย์พี่สามซูโหรว และรวมไปถึงซูซูออกจากคฤหาสน์จิ้งหู และตรงไปยังกวนหลี่เตี้ยน

ส่วนศิษย์พี่คนอื่น ๆ พวกเขาก็ได้ออกจากคฤหาสน์จิ้งหูแล้วเช่นกัน แต่มิได้ไปกวนหลี่เตี้ยน กลับออกเดินทางไปยังวังหลังของเขตหลวง

ในเมื่อบันทึกของจักรพรรดิเหวินเมื่อสามปีนั้นอยู่ในมือของไทเฮา ฟู่เสี่ยวกวนจึงต้องขอให้ศิษย์พี่ใหญ่และคนอื่น ๆ ไปลองดู เมื่อวานตอนที่ได้สนทนากับจักรพรรดินีเซียว ก็เป็นเพียงการคาดเดาของเขาเท่านั้น เขาอยากจะทราบว่าแท้จริงแล้วตนเองเป็นใครกันแน่

กวนหลี่เตี้ยนในยามนี้ได้มีเหล่าบัณฑิตมารวมตัวกันอย่างมากมาย

ในฐานะที่จัวตงหลายเป็นบัณฑิตแนวหน้าของราชวงศ์อู๋จึงได้พื้นที่ที่ใหญ่ที่สุดไป และฝ่ายตรงข้ามของจัวตงหลายในยามนี้ คุณหนูถังซานหลานสาวของถังจู้กั๋วก็กำลังสนทนาอยู่กับจัวตงหลาย

“ข้ากลับรู้สึกว่ามันมีเลศนัยอยู่เล็กน้อย พวกเจ้าลองคิดดูเถิด ตอนนี้งานชุมนุมวรรณกรรมใกล้จะเริ่มแล้ว แล้วในวังหลวงก็ดันมีข่าวที่ว่าฟู่เสี่ยวกวนเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋ออกมา…นี่มันจะประจวบเหมาะเกินไปหรือไม่ ? หากเขาเป็นองค์ชายอย่างแท้จริง งานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ก็ถูกจัดขึ้นมาเป็นพิเศษเพื่อเขาเยี่ยงนั้นหรือ เมื่อเป็นเช่นนั้น แล้วจะให้พวกเราทุกคนพยายามไปทำไมกัน ? ”

หากต้องแย่งชิงอันดับหนึ่งกับองค์ชายหนึ่งคน นั่นราวกับจะมากเกินไปหน่อย บัณฑิตหลายคนต่างมองหน้ากัน ท้ายที่สุดสายตาก็ตกไปยังร่างของจัวตงหลาย

จัวตงหลายยืนขึ้นโดยสองมือไขว้หลัง ด้วยสีหน้าเยือกเย็น

“พวกเราจงจำไว้ หากฝ่าบาทยังมิมีราชโองการออกมา เขา…ก็คือฟู่เสี่ยวกวนจากราชวงศ์หยู ! ”

นี่เป็นคำกล่าวตัดสิน เหล่าบัณฑิตจากราชวงศ์อู๋ที่ล้อมรอบเขาก็เข้าใจในทันพลัน หมายความว่า ตัวตนของฟู่เสี่ยวกวนยังคงเป็นปริศนาอยู่ต่อไป เยี่ยงนั้นงานชุมนุมวรรณกรรมครานี้ พวกเขาอยากจะแสดงออกเยี่ยงไรก็แสดงออกไปเยี่ยงนั้น ไร้ซึ่งพันธนาการใด ๆ ทั้งสิ้น

แต่คุณหนูถังซานกลับจ้องมองจัวตงหลายอย่างมีเลศนัย ครุ่นคิดถึงการวิเคราะห์ของบิดาที่มีต่อข่าวลือนี้ เกรงว่าน่าจะเป็นความจริง และอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาก็น่าจะบอกกับจัวตงหลายแล้วเช่นกัน เพราะนี่คือช่วงเวลาที่อ่อนไหวอย่างยิ่ง แม้แต่พระนางเซียวเฉียงก็ยังถูกปลดออกจากตำแหน่งจักรพรรดินีและถูกส่งตัวไปยังตำหนักเย็น นี่เป็นนัยสำคัญว่าหากฟู่เสี่ยวกวนเป็นบุตรนอกสมรสของฝ่าบาทโดยแท้จริง เยี่ยงนั้นทุกคนก็จำต้องหลีกเลี่ยงอย่างสุดความสามารถ อย่าได้ไปแตะเกล็ดย้อนของฝ่าบาทเป็นอันขาด

แต่จัวตงหลายมิได้ให้ความสนใจคุณหนูถังซานแต่อย่างใด สายตาของเขาตกมองอยู่ที่ประตูใหญ่ เมื่อถึงเวลา หนึ่งในศิษย์ทั้งเจ็ดแห่งหลานซีเยี่ยงอู๋หลิงเอ๋อร์ก็มิได้มา

ในคืนนั้นเขาเห็นองค์หญิงไท่ผิงพาฟู่เสี่ยวกวนกลับเข้าไปในวังหลวงด้วยตาของตนเอง ในคืนนั้นเขานั่งอยู่ในเขตหลานซีทั้งคืน จึงได้ตระหนักว่าตนนั้นตื่นตูมไปเอง

ในเมื่อฟู่เสี่ยวกวนคือบุตรนอกสมรสของฝ่าบาท เยี่ยงนั้นก็คือพี่ชายของอู๋หลิงเอ๋อร์ ระหว่างพวกเขามิมีความเป็นไปได้อีกต่อไป แล้วเหตุใดตัวเขาต้องไปพัวพันกับสิ่งที่ผ่านไปแล้วด้วยกัน ?

สิ่งที่ตนเองต้องทำในตอนนี้คือเปล่งประกายในงานชุมนุมวรรณกรรม ส่วนอู๋หลิงเอ๋อร์ท้ายที่สุดนางก็จะยอมรับพี่ชายคนนี้ ท้ายที่สุดนางก็จะต้องตามหาคู่ครอง และตนเองก็จะทำเพียงอยู่เคียงข้างนางอย่างเงียบ ๆ ทุกอย่างย่อมเป็นไปตามธรรมชาติ

จัวอี้สิงย่อมเคยกล่าวถึงสถานะของฟู่เสี่ยวกวนให้เขาฟังแล้ว ทั้งยังกล่าวด้วยความระมัดระวังอย่างยิ่ง

แต่งานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ ในสายตาของจัวตงหลาย ฝ่าบาททรงยังมิมีพระราชโองการประกาศสถานะของฟู่เสี่ยวกวน นี่ก็เพื่อความยุติธรรมและความเท่าเทียมของงานชุมนุมวรรณกรรม

เยี่ยงนั้นก็พยายามจนถึงที่สุดเถอะ

และจับตาดูพรสวรรค์ที่แท้จริงของฟู่เสี่ยวกวน และลองดูว่าท้ายที่สุดแล้วตัวเขานั้นมีกี่ชั่งมีกี่เหลียงกัน !

……

ท้ายที่สุดรถม้าของฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินทางมาถึงกวนหลี่เตี้ยน

ในยามที่เขาลงมาจากรถม้า ผู้ที่เข้ามาล้อมเป็นอันดับแรกย่อมเป็นบัณฑิต 100 คนของราชวงศ์หยูอยู่แล้ว

แววตาของพวกเขาดูกังวลโดยมิคิดปกปิดแต่อย่างใด ตลอดการเดินทางท่านอาจารย์ได้สอนความรู้และหลักธรรมให้แก่พวกเขาไว้มากมาย เดิมทีคิดว่าเมื่อกลับไปยังราชวงศ์หยูแล้วจะได้ฟังบรรยายจากท่านอาจารย์อีกครา แต่คาดมิถึงว่าท่านอาจารย์จะเป็นองค์ชายแห่งราชวงศ์อู๋

เยี่ยงนั้นราชวงศ์อู๋ก็คือบ้านเกิดเมืองนอนของท่านอาจารย์ และวังหลวงของเมืองกวนหยุนต่างหากเล่า ที่เป็นจวนของท่านอาจารย์อย่างแท้จริง

ราชวงศ์หยูจะทำเยี่ยงไร ?

สำนักศึกษาจี้เซี่ยจะทำเยี่ยงไร ?

แล้วพวกเราเหล่าบัณฑิต จะทำเยี่ยงไร ?

ในยามที่แต่ละคำถามดังมาจนถึงหูของฟู่เสี่ยวกวน เขาเพียงยิ้มบาง ๆ และตอบกลับไปเพียงว่า “ข้าคือคุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียง”

บัณฑิตจากแคว้นอื่น ๆ ก็ได้ยินเช่นเดียวกัน ดังนั้นเสียงกระซิบกระซาบจึงดังขึ้น

“เขากล่าวแล้วว่าเขาเป็นเพียงคุณชายเศรษฐีที่ดินจากหลินเจียง”

“ข้าเองก็คิดไว้แล้ว พวกเจ้าลองใช้สมองเสียบ้าง หากเขาเป็นโอรสของจักรพรรดิเหวินโดยแท้จริง หายตัวไป 17 ปี เยี่ยงนั้นความเป็นห่วงเป็นใยก็ต้องรุนแรงมากมิใช่หรือ จักรพรรดิย่อมต้องรับเขาเข้าวังหลวงโดยเร็วเป็นแน่ ไฉนเลยจะยังให้เขาพักอยู่ที่ด้านนอกเฉกเช่นในตอนนี้ ? ”

“เจ้าว่าเกิดอันใดขึ้นกับจักรพรรดินีเซียวกัน ? ”

“นี่คือแผนการล่องูออกจากรัง โดยใช้ฟู่เสี่ยวกวนมาดึงความสนใจจากจักรพรรดินีเซียว การลงมือของจักรพรรดินีเซียวในครานี้…กลับกลายเป็นการโยนก้อนหินกระทบเท้าของตนเอง”

“อ่า…”

นั่นคือความคิดของบัณฑิตหลาย ๆ คน หลังจากนั้นก็มั่นใจอย่างยิ่ง และยามที่มองไปทางฟู่เสี่ยวกวนอีกครา สายตาที่เต็มไปด้วยความริษยาก็ได้จางหายไป และผุดรอยยิ้มเยาะขึ้นมาบนใบหน้า…ท้ายที่สุดแล้วก็ยังคงเป็นคุณชายเศรษฐีที่ดินแห่งหลินเจียงผู้หนึ่งเท่านั้น จะมากลายร่างเป็นมังกรเพียงพาดผ่านเมฆาได้เยี่ยงไร

ในยามนั้นฝานเทียนหนิงกลับพาคูฉานเข้ามาหาฟู่เสี่ยวกวน

เขาพินิจพิจารณาฟู่เสี่ยวกวนตั้งแต่หัวจรดเท้า จนฟู่เสี่ยวกวนที่ถูกเขาจ้องถึงกับขนลุกขนชัน ชายผู้นี้คงมิได้มีปัญหาอันใดใช่หรือไม่ ?

“มีอะไรกัน บนหน้าข้ามีดอกไม้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฝานเทียนหนิงส่ายหน้า “ไม่ บนหน้าของเจ้ามีจิตวิญญาณของเชื้อสายจักรพรรดิ ! ”

“บัดซบ ! ”

“ฮ่า ๆ ๆ ๆ…” ฝานเทียนหนิงหัวเราะลั่น และได้เอ่ยถามอย่างสงสัยอีกว่า “เรื่องนั้น เป็นความจริงเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“จริงกับผี ท่านเป็นถึงองค์ชายสิบสาม เหตุใดจึงเชื่อข่าวลือเยี่ยงนั้นกัน ? ”

“จากที่ข้ามอง น่ากลัวว่าจะมิใช่เรื่องหลอกลวง”

ฝานเทียนหนิงกล่าวออกมาด้วยท่าทีจริงจังยิ่ง บนใบหน้าของเขาไร้สีหน้าหยอกล้อเยี่ยงเมื่อครู่

ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามอย่างตกใจ “ท่านสามารถหาหลักฐานมาได้เยี่ยงนั้นหรือ ? ”

ฝานเทียนหนิงเงียบไปชั่วขณะ “มันมิใช่หลักฐาน แต่เป็นเจ้ากับจักรพรรดิเหวินค่อนข้างคล้ายกันอยู่หลายส่วน”

“ไสหัวไป ! ”

“ที่ข้ากล่าวมานั้นเป็นความจริง ! ”

น่าเสียดายที่ยุคสมัยนี้ไร้หนทางพิสูจน์สายเลือดได้ และการหยดเลือดเพื่อพิสูจน์สายเลือดนั้นก็ไม่สามารถเชื่อถือได้ ฟู่เสี่ยวกวนย่อมหาได้ใส่ใจกับคำกล่าวของฝานเทียนหนิงไม่

หลังจากนั้นเสนาบดีฉงซานแห่งกวนหลี่เตี้ยนและผู้อาวุโสเหวินชังไห่ แห่งสำนักศึกษาฮ่านหลินก็ได้เดินออกมา พวกเขาขึ้นไปบนเวทีสูงเพื่อกล่าวสุนทรพจน์ให้กำลังใจเหล่าบัณฑิต หลังจากนั้นจักรพรรดิเหวินที่แต่งกายอย่างสง่างามก็ได้ปรากฏตัวขึ้น

สายตาน่าเกรงขามของเขากวาดมองเหล่าบัณฑิตที่อยู่ ณ ที่นี้ หลังจากนั้นก็ทิ้งสายตาอยู่ที่ร่างของฟู่เสี่ยวกวนอยู่สองอึดใจ แล้วจึงกล่าวว่า

“ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันราชวงศ์อู๋ได้ก่อตั้งมาห้าร้อยกว่าปีแล้ว ในหนึ่งร้อยปีมานี้ ด้านวรรณกรรมของราชวงศ์อู๋เฟื่องฟูขึ้นเรื่อย ๆ ดังนั้นข้าจึงหวังว่าการจัดงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ จะทำให้ผู้มีพรสวรรค์ชั้นยอดของทั้งสี่แคว้นได้สนทนากันในเรื่องของวรรณกรรม ณ วัดหานหลิงแห่งนี้”

“ข้าหวังอย่างยิ่งว่าจะเกิดบทความที่เยี่ยมยอดขึ้นภายในงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ และข้าขออวยพรเหล่าบัณฑิตทุกท่านขอให้สามารถคว้าอันดับที่หนึ่งในงานชุมนุมวรรณกรรมนี้มาครองได้ ขอให้ได้รับชื่อเสียงและเงินทอง…”

ฟู่เสี่ยวกวนมิได้ฟังท่อนท้ายต่อ สายตาของเขากวาดมองไปท่ามกลางฝูงชน และมิพบเห็นอู๋หลิงเอ๋อร์ แต่กับสบสายตาเข้ากับจัวตงหลาย

ฟู่เสี่ยวกวนแสยะยิ้มให้กับจัวตงหลาย จัวตงหลายสั่นสะท้านไปทั้งร่าง อยู่ ๆ ก็นึกปวดปัสสาวะ รอยยิ้มของชายผู้นี้คล้ายกับซ่อนมีดเอาไว้อยู่ !