บทที่ 137 จากลามีสายตามองส่ง Ink Stone_Romance
ในหน้าร้อนฟ้าสว่างเร็ว รถม้าขบวนหนึ่งขับออกจากเมืองท่ามกลางแสงสว่างขมุกขมัว เงียบเชียบเหมือนเช่นตอนออกจากเมืองหลวงอย่างนั้น
แต่สิ่งที่แตกต่างกับเมืองหลวงก็คือครั้งนี้ไม่มีชาวบ้านคอยส่ง
เรื่องที่หน่อฝีทำคนตายที่มณฑลเหอเป่ยซีอย่างไรก็ไม่ใช่เรื่องน่าภาคภูมิใจอะไร ข่าวคุณหนูจวินออกจากหยางเฉิงย่อมไม่อาจป่าวประกาศโจ้งแจ้งได้
แต่แม้ไม่มีชาวบ้านมาส่ง รถม้าขบวนนี้จำนวนคนก็ไม่น้อย
นอกจากผู้คุ้มกันของตระกูลฟางยังมี บุรุษวัยฉกรรจ์อีกสิบกว่าคน
“ที่แท้ก็เชิญท่านลุงเหลยสำนักคุ้มภัยของพวกท่านอารักขา” คุณหนูจวินมองเหลยจงเหลียนที่ขี่ม้าตามอยู่นอกรถม้า ยิ้มเอ่ยขึ้น
นี่เป็นการจัดการของฟางเฉิงอวี่ แม้ซานซีมีสำนักคุ้มภัยที่มีชื่อเสียงมากกว่าร้ายกาจมากกว่ามากมาย แต่สำหรับคุณหนูจวินแล้ว ความน่าเชื่อถือมาเป็นอันดับหนึ่ง
พูดถึงความน่าเชื่อถือ ไม่มีสำนักคุ้มภัยแห่งไหนสู้เหลยจงเหลียนได้
ไม่ได้พบหน้าเกือบหนึ่งปี เหลยจงเหลียนผอมลงนิดหน่อย แต่มีชีวิตชีวา
“ขอบคุณนายน้อยฟางที่ไว้ใจ” เขาเอ่ย “คุณหนูจวินโปรดอย่ารังเกียจที่พวกเราเพิ่มปัญหา”
มีอารมณ์ขันกว่าคำพูดคำจาก่อนหน้านี้แล้ว
“ได้สิ” คุณหนูจวินยิ้มเอ่ย “แต่ครั้งนี้หากต้องการให้ข้าช่วย ท่านลุงเหลยท่านต้องจ่ายเงิน”
จ่ายเงินคำนี้คุ้นๆ อยู่ เหลยจงเหลียนเหม่อลอยนิดหนึ่ง
มองอะไร มองอีกก็จ่ายเงินมา
ในหูเหมือนมีเสียงบุรุษเอ่ย
เหลยจงเหลียนฉุกคิดได้ ไม่มีต้นสายปลายเหตุคิดถึงคนประหลาดคนนั้นขึ้นมาทำไม
แต่ คุณหนูจวินถึงกับติดปากเรื่องเงินด้วยแล้ว ได้รับอิทธิพลมาจากคนผู้นั้นหรือเปล่า?
เหลยจงเหลียนยิ้มมองคุณหนูจวิน
“คุณหนูจวินตอนนี้ก็ชอบเอ่ยเรื่องเงินกับผู้อื่นด้วยแล้วรึ” เขาเอ่ย
คำว่าก็นี่…คุณหนูจวินก็คิดถึงคนผู้หนึ่งขึ้นมาด้วยทันที คิดถึงคนๆนี้ ก็คิดถึงเรื่องการเดินทางไปหรู่หนานของพวกเขา
เหลยจงเหลียนยังไม่รู้ว่าเจ้าหมอนั่นที่ชื่อหลิงจิ่วเป็นใครสินะ
“ไม่รู้เนื้อรู้ตัวก็ผ่านไปหนึ่งปีแล้ว ท่านลุงเหลยสำนักคุ้มภัยของท่านเป็นอย่างไรบ้าง?” นางยิ้มเอ่ย มองผู้คุ้มกันสิบกว่าคนที่เรียงแถวตั้งกระบวนทัพแล้ว
รูปแบบกระบวนทัพของผู้คุ้มกันสิบกว่าคนนี้ คุณหนูจวินก็คุ้นเคยอยู่บ้าง ก็คือกระบวนทัพที่จูจั้นจัดตอนอารักขาพวกเขากลับมาหยางเฉิง
มุมปากนางโค้งอีกครั้ง รอยยิ้มยิ่งกดลึก
เหลยจงเหลียนมองเหล่าผู้คุ้มกันตามสายตาของนาง
“แม้พบกันเวลาสั้นๆ แต่ประสบการณ์ที่คุณชายหลิงคนนั้นสั่งสอนกลับมีปะโยชน์ยิ่งนัก” เขาเอ่ย “หนึ่งปีนี้พวกเราก็ทำตามวิธีของเขา หลบพ้นอันตรายครั้งหนึ่ง”
พูดพลางยิ้มอีกครั้ง
“ไม่เช่นนั้นกลุ่มสำนักคุ้มภัยที่เพิ่งก่อตั้งนี่ของข้าคงสลายไปแล้ว”
ประสบการณ์ของเขาย่อมมีประโยชน์ นั่นเป็นสิ่งที่ได้มาจากการเข่นฆ่าคนในสงครามโลหิต คุณหนูจวินยิ้มแล้ว ท่าทางกลุ้มใจอยู่บ้างอีกครั้ง
แต่วันนี้พยัคฆ์ร้ายตัวนี้กลับถูกขังอยู่ที่เมืองหลวง ติดพันอยู่กับคนที่แม้ไม่มีฟันทว่ากลับกัดคนตายได้กลุ่มนั้น
ตอนนี้แดนเหนือไม่มั่นคง เขาอยู่ที่เมืองหลวงคงร้อนรนมากสินะ? อยากกลับไปดั่งศรแล้วกระมัง?
คุณหนูจวินกดความคิดลงไป ยิ้มอีกครั้งบ้าง
“สำนักคุ้มเป็นอย่างไร?” นางเอ่ยถาม
“รับลูกศิษย์อายุน้อยไว้หลายคน ได้นายน้อยดูแลเลยรับงานหลายครั้ง แล้วก็เลี้ยงผู้คุ้มกันอีกหลายคน ก็นับว่าตั้งกิจการได้แล้ว” เหลยจงเหลียนเอ่ย
พร้อมกับที่พวกเขาพูดคุยกันสบายอารมณ์อยู่ ขบวนรถก็เคลื่อนเป็นระเบียบมาข้างหน้า ไกลออกไปท่ามกลางแสงอรุณ
บนกำแพงเมืองฟางเฉิงอวี่มองออกไปไกล ถอนหายใจอีกครั้ง
ฟางอวี้ซิ่วที่ยืนพิงกำแพงพลางกินถั่วผัดอยู่ด้านข้างหันกลับมามองทีหนึ่ง
“ไปไกลแล้ว กลับกันเถอะ” นางเอ่ย
เพราะไม่อยากถูกคนรู้ ตระกูลฟางจึงไม่ได้มาส่งอย่างเอิกเกริก พวกนายหญิงผู้เฒ่าฟางเพียงส่งออกจากประตูบ้าน มีเพียงฟางเฉิงอวี่กับฟางอวี้ซิ่วมาส่งที่ประตูเมือง
“ไม่อยากกลับไป” ฟางเฉิงอวี่ค้ำช่องกำแพงชะเง้อมองไปด้านนอก “อิจฉาหลิ่วเอ๋อร์จริงๆนะ”
ฟางอวี้ซิ่วแค่นเสียงเหอะเหอะสองที
“ใครไม่อิจฉานางเล่า กินดื่มเที่ยวเล่นตามใจอยาก ดีใจหัวเราะโกรธก็ด่าตามใจ มีแต่นางรังแกผู้อื่น ไม่มีใครรังแกนางได้ ทั้งโง่ทั้งเขลาแต่มีคนรัก ทิ่มฟ้าทะลุก็มีคนค้ำไว้” นางเอ่ย “สิ่งที่คนปรารถนามากที่สุดก็คือใช้ชีวิตมีความสุขดั่งเช่นสัตว์เลี้ยงสินะ?”
ฟางเฉิงอวี่หัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว
“พี่รอง ท่านกินถั่วของท่านไปเถอะ” เขาเอ่ย
ฟางอวี้ซิ่วยื่นมือมาถึงตรงหน้าเขา
“เจ้ากินไหม?” นางเอ่ยถาม
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มพิงบนกำแพงเมือง ถอนหายใจยาวๆ อีกครั้ง
“เจ้าไม่ได้บอกนางว่าเจ้าชอบนางหรือ?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ยถาม
“นี่ยังต้องพูดหรือ? ไม่พูดนางก็รู้” ฟางเฉิงอวี่ถลึงตาเอ่ย
ฟางอวี้ซิ่วแค่นเสียงเหอะๆ สองที
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าไม่ถามนางว่าพวกเจ้าจะแต่งงานกันเมื่อไร?” นางเอ่ยถาม
ฟางเฉิงอวี่เบ้ปากใส่นาง
“จะถามเรื่องเช่นนี้ได้ยังไง” เขาเอ่ย ยื่นมือเขี่ยกำแพง
“อ้อ?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย เอียงคอมองฟางเฉิงอวี่ “เพราะคุณชายหนิงถูกปฎิเสธแล้ว เจ้ารู้สึกว่าตนเองสู้คุณชายหนิงไม่ได้ จึงไม่กล้าเอ่ยปากแล้วรึ?”
“เรื่องเช่นนี้ไม่ได้แข่งเช่นนี้สักหน่อย” ฟางเฉิงอวี่เถียงทันที
“ถ้าอย่างนั้นเรื่องเช่นนี้แข่งกันอย่างไรเล่า?” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย
ฟางเฉิงอวี่มองนาง หันหน้ามองขวนรถที่มองไม่เห็นตั้งนานแล้วอีกครั้ง
“เรื่องเช่นนี้ที่จริงง่ายดายนัก” เขาเอ่ย “ชอบก็คือชอบ ไม่ชอบก็คือไม่ชอบ ไม่ใช่ข้าชอบเจ้า เจ้าก็ต้องชอบข้า”
“อ้อ พูดมากปานนี้ ที่จริงก็คือนางไม่ชอบเจ้านี่เอง” ฟางอวี้ซิ่วเอ่ย
ฟางเฉิงอวี่ทุบกำแพงอีกครั้ง
“พี่รอง ท่านพูดจาใยต้องตรงเช่นนี้เล่า” เขาโอดครวญ
ฟางอวี้ซิ่วแหงนหน้าโยนถั่วผัดเข้าปาก เครี้ยวกร้วมๆ เสียงดัง
“เจ้ากระทั่งถามยังไม่กล้าถามเลย” นางเอ่ย “ไม่เอาไหนจริงๆ”
ฟางเฉิงอวี่แนบหน้าไปบนกำแพง
“ไม่ต้องถามหรอก ข้าไม่รู้จักจิ่วหลิงหรือ?” เขาเอ่ยสบายๆ “นางจะปกป้องใครก็ปกป้องผู้นั้น นางต้องการโต้กลับใครก็โต้กลับผู้นั้น ถ้าอย่างนั้นนางชอบใครย่อมไปชอบเช่นกัน”
ดังนั้นนางไม่อยาก ไม่ชอบ พูดตรงๆ ก็แค่ยังไม่พบคนที่ชอบเท่านั้น
ฟางอวี้ซิ่วร้องอ้อทีหนึ่ง
“ความจริงมักจะโหดร้ายนัก” นางเอ่ย “ดังนั้นถึงบอกว่าเจ้าน่าสงสารจริงๆ”
ฟางเฉิงอวี่ยิ้มอีกครั้ง ยืนตัวตรง
“ไม่ใช่เสียหน่อย” เขาว่า “ได้พบคนที่ชอบ แล้วยังสนิทกับนางปานนี้ได้ นางก็ชอบข้าด้วย แม้ไม่ใช่ชอบแบบนั้น แต่ข้าคุยกับนางได้ตลอดเวลา เฝ้าอยู่ข้างกายนางได้ทั้งชีวิต นี่เป็นเรื่องที่โชคดีมาก มีความสุขมากแล้ว”
ฟางอวี้ซิ่วร้องอ้ออีกครั้ง
“ถ้าอย่างนั้นเจ้าต้องถนอมความสุขไว้ล่ะ” นางว่า ปัดมือก้าวเดิน “กลับบ้านกัน”
ฟางเฉิงอวี่มองทิศทางที่คุณหนูจวินจากไป ย่อมต้องถนอมความสุขไว้อยู่แล้ว เขามีความสุขวันนี้ได้ล้วนเป็นจิ่วหลิงนำมาให้ เขายิ้มตามฟางอวี้ซิ่วไป
และในเวลาเดียวกันนี้ก็มีขบวนคนม้าขบวนหนึ่งวิ่งออกจากหยางเฉิง
จินสือปาขี่บนม้าใช้มือพัดลม
“วันนี้ร้อนนัก” เขาเอ่ย
“ใต้เท้าพวกเราเตรียมลงมือได้แล้วหรือขอรับ?” บรรดาผู้ชายข้างกายเขาเอ่ยถามพร้อมเพรียงอีกหน
จินสือปาส่ายศีรษะ
“ยังไม่ได้ ยังไม่ถึงเวลา” เขาเอ่ย
ยังไม่ถึงเวลา
“ผู้คุ้มกันเหล่านี้ ข้าคนเดียวก็จัดการได้แล้ว” บุรุษบนหลังม้าที่ยังคงตัดเล็บอยู่คนหนึ่งเอ่ยขึ้น
“นอกจากผู้คุ้มกันอย่างเปิดเผยเหล่านี้ เต๋อเซิ่งชางตระกูลฟางยังจัดผู้คุ้มกันในที่ลับไว้มากมาย” บุรุษอีกคนหนึ่งเอ่ยช้าๆ เก็บม้วนสาส์นในมือไป “ผู้คุ้มกันในที่ลับเหล่านั้นล้วนอาศัยอยู่กับร้านแลกเงิน พวกเราแค่ต้องลงมือระหว่างการรับส่งของร้านแลกเงินสองที่ก็ได้แล้ว”
จินสือปายิ้มโบกมือ
“ไม่ได้หมายถึงเรื่องนี้ ความหมายของใต้เท้าลู่ก็คือ รอให้นางจัดการเรื่องหน่อฝีให้เสร็จก่อนค่อยลงมือ” เขาว่า
จัดการหน่อฝีเสร็จ?
บุรุษสี่คนสบตากันทีหนึ่ง
“ถ้าอย่างนั้นพวกเรา…” พวกเขาลังเลเอ่ย
“พวกเราก็ตามนางไปสิ” จินสือปาว่า โบกมือปุบก็ควบม้าขี่เร็วรี่ไป
ตามนางไป รอจัดการหน่อฝีเสร็จค่อยลงมือ? ทำไมรู้สึกว่านี่ไม่เหมือนต้องการจับคน เหมือนกับว่าอารักขาเลยนะ
บุรุษสี่คนสบตากันอีกครั้ง
……………………………………….