บทที่ 1091 กันไฟกันขโมยกันโลลิ

แฟนผมกลายเป็นซอมบี้

หรือว่ามันกำลังหลงกลไอ้เด็กคนนี้อีกครั้ง!? แต่มันไม่น่าจะเป็นไปได้นี่! เขาคาดการณ์ล่วงหน้ามาจนถึงขั้นนี้ได้ยังไง? นอกจากว่า…ตัวมันจะเผยช่องโหว่ให้เขาเห็นโดยไม่รู้ตัว? พอคิดอย่างนี้ ก็ดูเหมือนว่ามีความเป็นไปได้…เพราะอย่างน้อยเรื่องที่มันเป็นมนุษย์ ก็ถูกค้นพบโดยเจ้าเด็กนี่!

เพียงชั่วพริบตา สมองของบลัดมาเธอร์มีความคิดมากมายผุดขึ้นมาไม่หยุด…

“ตุบ!”

ในที่สุด ขณะที่มันอยู่ห่างจากหลิงม่อเพียงไม่กี่เมตร บลัดมาเธอร์พลันชะงักหยุดทันใด จากนั้นก็ใช้ใยแมงมุมดึงร่างตัวเองลอยถอยหลังกลับไปด้วยความเร็วดั่งสายฟ้าฟาด และทรงตัวอยู่บนคานเหล็ก มันก้มหน้ามองหลิงม่อจากข้างบน พูดเสียงขุ่นเคือง “เหอะ…เกือบหลงกลแกซะแล้ว…”

แต่ในตอนนี้เอง หลิงม่อกลับควบคุมให้เสี่ยวเฮยยกร่างตัวเองลอยขึ้นเหนืออากาศ เพื่อหลีกหนีออกจากวงล้อมของระเบิดใยแมงมุมอย่างผ่อนคลาย แมงมุมบางส่วนที่ยังไม่ตายก็พลันพุ่งตามเขามา แต่จำนวนกลับลดน้อยลงจนเทียบไม่ได้กับเมื่อกี้

เขาพ่นลมหายใจออกมาเบาๆ ยกมือปัดตามร่างกายสองสามที แต่กลับพบว่ายังคงมีใยแมงมุมบางส่วนที่ “เล็ดลอด” เข้ามาติดอยู่ตามตัวเขา เวลาผ่านไปเพียงชั่วอึดใจ น้ำพิษที่ผสมอยู่ในใยแมงมุมกลับกัดเซาะเสื้อกันลมของเขาจนกลายเป็นรูสีดำจำนวนมาก หลิงม่อสะดุ้ง รีบถอดเสื้อตัวนอกออก พลางสำรวจร่างกายตัวเองทั้งนอกและใน ตรวจสอบเสร็จแล้วจึงค่อยวางใจลง

“เกือบไปแล้วจริงๆ โชคดีที่เพื่อกันไฟกันขโมยกันโลลิ ฉันถึงได้ใส่เสื้อผ้ารัดกุมอย่างนี้อยู่ตลอด…” หลิงม่อพึมพำอย่างนึกโชคดีประโยคหนึ่ง

บลัดมาเธอร์ที่ทรงตัวอยู่บนคานเหล็กชะงักงัน จากนั้นก็พลันสังหรณ์ใจโดยสัญชาตญาณทันที และในตอนนั้นเองที่หลิงม่อเงยหน้าขึ้น และมองมาที่มัน เมื่อหลิงม่ออ้าปากพูดประโยคแรก บลัดมาเธอร์ที่เพิ่งสังหรณ์ใจก็พลันโมโหจนแทบระเบิด—

“แกรู้จักหลักจิตวิทยาไหม?”

“……”

…ไอ้สารเลว เขาถึงขั้นถามมันเรื่องหลักจิตวิทยา! เสี้ยววินาทีเมื่อกครู่ กลับกลายเป็นหลักจิตวิทยาที่เอาชนะมัน!

“แกหลอกฉัน!” บลัดมาเธอร์อึ้งงัน จากนั้นพลันคำรามเดือด

ทว่าเพิ่งจะคำรามเสร็จ อยู่ๆ บลัดมาเธอร์ก็ใจเย็นลง “ไม่สิแกไม่มีทางเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงหรอก เมื่อกี้แกต้องเตรียมแผนอะไรไว้ไม่ผิดแน่ ดังนั้นการที่ฉันถอยออกมาอย่างนี้ ก็เท่ากับว่าแผนแกล้มเหลว แต่แก…”

แต่หลิงม่อกลับไม่เผยสีหน้าผิดหวังใดๆ ออกมาให้เห็น ตรงกันข้าม เขากลับลอบฉลองดีใจกับตัวเองให้มันเห็น ต่อมาขณะที่บลัดมาเธอร์เกิดแคลงใจกับการตัดสินใจของตัวเอง เมื่อเขาพูดประโยคนั้นออกมา มันก็มั่นใจในข้อสันนิษฐานของตัวเองทันที…

และจุดประสงค์ที่เขาทำอย่างนี้ ก็คือ…

สวบ!

เมื่อเสียงหนึ่งดัง ร่างกายของบลัดมาเธอร์พลันแข็งค้าง…

ศีรษะมนุษย์ของมันค่อยๆ หันไปหันมา จากนั้นก็มองลงมาที่หลิงม่อซึ่งยืนอยู่ตรงซอกมุมด้านล่างด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ…เย่เลี่ยนยืนอยู่ตรงนั้น ปากกระบอกปืนในมือยังมีเขม่าควันจางๆ กลุ่มหนึ่งลอยรอบ ดวงตาของเด็กสาวที่ปรากฏตัวอย่างเงียบเชียบคนนี้ไหวกระพริบอย่างรวดเร็ว ทว่าบลัดมาเธอร์ก็ยังคงเห็น ดวงตาคู่นั้น ดูคล้ายกล้องสลับลาย…

และหลิงม่อที่รับหน้าที่ดึงดูดความสนใจของมัน เวลานี้กลับไปยืนบนพื้นอีกครั้ง มือข้างหนึ่งของเขาพลันยื่นออกมา เผยให้เห็นอิริยาบถที่กำลังทำท่าเหมือนกำนิ้วมือเข้าหากันครึ่งหนึ่ง ขณะเดียวกัน บลัดมาเธอร์รู้สึกราวกับว่าลำคอตัวเองถูกบางสิ่งเกี่ยวรัดไว้…ไม่ ความจริงมันไม่ใช่ลำคอที่ถูกเกี่ยวรัด แต่เป็นความสามารถในการควบคุมร่างกายของมันต่างหาก ถึงแม้เป็นเสี้ยววินาทีสั้นๆ แต่กระสุนนัดนั้น รวมถึงหนวดสัมผัสเส้นหนึ่ง กลับโจมตีมันสำเร็จ…

“อึก…”

บลัดมาเธอร์พลันอ่อนแรง ร่างกายร่วงตกลงมาจากที่สูง ขณะกระแทกพื้น ร่างกายของมันพลิกหงายท้อง…เสี้ยววินาทีเมื่อกี้ มันทำให้จุดอ่อนที่ใหญ่ที่สุดของตัวเองกลายเป็นเป้านิ่งโดยไม่รู้ตัวซักนิด เพราะความเดือดดาลและความแคลงใจในเสี้ยววินาทีนั้นเอง ที่เป็นเหตุทำให้มันถูกตรึงร่างให้อยู่ตรงนั้นขยับไปไหนไม่ได้…

“อึกๆ…”

บนศีรษะมนุษย์ของมันพลันปรากฏรูแผลสองรูเพิ่มขึ้นมา ขาแมงมุมของมันเริ่มกระตุกสั่นอย่างไม่อาจควบคุม ในขณะที่ดวงตาจ้องมองมาที่หลิงม่ออย่างอาฆาตพยาบาท

“ฉัน…”

“ฉันรอโอกาสนี้มาตั้งแต่แรกแล้ว แค่การโจมตีทางจิตคงทำลายแกได้ยาก เพราะดวงแสงแห่งจิตของแกค่อนข้างแข็งแกร่ง หากโจมตีร่างแมงมุมร่างนี้ ก็ยากรับประกันได้ว่าจะสามารถฆ่าแกได้ในเวลาสั้นๆ มีเพียงต้องคอยสังเกตจุดอ่อนทั้งหมดของแก ถึงจะทำให้ได้ผลลัพธ์อย่างนี้…ดังนั้น ความจริงแล้วฉันก็คือเหยื่อล่อ” หลิงม่อย่างกรายเข้าไป พลางคุยกับบลัดมาเธอร์ “แกคงไม่รู้ตัวเลยใช่ไหมล่ะ? ตั้งแต่แรกแล้ว ที่ฉันเอาตัวเองเป็นเหยื่อล่อ เพื่อล่อพวกพ้องของแกให้ออกมา คิดจะกำจัดแมงมุม ก็ต้องใช้วิธีแบบนี้”

“แก…แกมัน…ร้ายกาจ…” บลัดมาเธอร์พูดติดๆ ขัดๆ

“ความจริงฉันมีเรื่องสงสัย อยากถามแกอยู่เรื่องหนึ่ง” หลิงม่อพลันลดเสียงต่ำ ถามว่า “ความคิดของแกตอนนี้ ยังเป็นความคิดแบบมนุษย์อยู่ใช่ไหม?”

บลัดมาเธอร์เหลือบมองเขาแวบหนึ่ง แล้วแสยะยิ้มออกมาอย่างยากเย็น ทว่ารอยยิ้มนั้นเพิ่งจะฉีกออก ดวงตาของมันพลันนิ่งค้างไปทันใด…

สองวินาทีต่อมา หลิงม่อถอนหายใจ ถอนสายตาออกจากร่างบลัดมาเธอร์ บอกว่า “แค่ฆ่าแมงมุมไม่กี่ตัว พวกนายยังต้องใช้เวลาอีกนานแค่ไหนเนี่ย?”

“เชี่ยย หัวหน้าอย่าพูดจาแดกดันกันอย่างนั้นสิ ฉันเกือบถูกกัดแล้วนะโว้ย!”

“รู้ไหมว่าเหนื่อยขนาดไหน ทั้งต้องหลบหลีก ทั้งต้องถ่วงเวลาไปด้วย!”

“เพราะพวกนายไม่อยากสู้กับไอ้ตัวใหญ่นั่นต่างหากล่ะ!” หลิงม่อตะโกนตอบ

ท่ามกลางความมืด ทุกเสียงพลันเงียบกริบไปชั่วขณะ ไม่นานเสียงพูดอ่อยๆ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้น “ก็แมงมุมที่มีหัวคนงอกออกมามันน่ากลัวมากเลยนี่นา…”

“น่ากลัวน้องสาวเอ็งสิ!”

“ใครเรียกฉัน?” หลี่ย่าหลินขานรับอย่างงุนงง

สวบ…

ขณะเดียวกัน เงาร่างเล็กๆ ห้อยตัวลงมาจากด้านบน จากนั้นก็หยุดยืนบนศพของบลัดมาเธอร์

เฮยซือหยุดจ้องศีรษะมนุษย์อยู่ครู่หนึ่ง แล้วอยู่ๆ ก็พึมพำกับตัวเองขึ้นมาว่า “ทำไมมันยิ้มแปลกๆ อย่างนี้ล่ะ…”

…………

“ตุบตบๆ!”

เวลานี้ ณ บางแห่งในเมือง X …

ผู้รอดชีวิตที่มีอาวุธครบครันกลุ่มหนึ่งกระโดดลงมาจากรถขนสินค้า พลางกวาดมองไปรอบตัวอย่างระแวดระวัง

ที่นี่เป็นเขตชานเมืองย่านหนึ่ง ซึ่งยังสามารถมองเห็นตึกอาคารสูงเสียดฟ้าจากที่ไกลๆ ได้ แต่บริเวณโกดังแห่งนี้ กลับมีหอพักอยู่เพียงไม่กี่หลังเท่านั้น ถนนที่แทบจะร้างไร้เงาสิ่งมีชีวิตและถูกหญ้ารกชัฏปกคลุมทอดยาวไปยังประตูโกดัง ประตูใหญ่ที่เดิมปิดสนิทเวลานี้สนิมขึ้นเขรอะ กำลังไหวกระเพื่อมดัง “เอี๊ยดอ๊าดๆๆ” ยามลมพัดผ่าน

ชายคนหนึ่งที่ดูคล้ายเป็นผู้นำกลุ่มหยิบกล้องส่องทางไกลออกมาเพื่อสอดส่องสถานการณ์ทางนั้นครู่หนึ่ง จากนั้นจึงค่อยพูดขึ้นว่า “ไม่มีร่องรอยของคนเข้าไปในนั้น ดูเหมือนพวกหลิงม่อยังหาที่นี่ไม่เจอ หัวหน้าพูดถูก ที่นี่อยู่ไกลจากพวกมันมากที่สุด ดังนั้นพวกมันไม่มีทางเลือกมาที่นี่ก่อนแน่นอน”

หลังจากแขวนกล้องส่องทางไกลไว้บนตัวเหมือนเดิม ชายหนุ่มหันกลับไปโบกมือให้กลุ่มคนที่อยู่ข้างหลัง บอกว่า “ทุกคนฟัง เป้าหมายของพวกเราไม่ใช่ขนของทั้งหมดไปจากที่นี่ แต่เป็นการอาศัยสถานที่แห่งนี้เป็นกับดัก เพื่อซุ่มฆ่าคนพวกนั้นให้สิ้นซาก! ทันทีที่พวกนั้นตาย อนาคตของพวกเราก็จะสุขสบายขึ้น! ตอนนี้! เข้าไปกันเถอะ!”

“ใช่สิ เวินเสี่ยวอวี่ หลิวหยาง เธอสองคนเอารถไปซ่อนให้ดีก่อน” หัวหน้าทีมผู้นี้หันไปมอบหมายงานให้สมาชิกทีมสองคน

เมื่อกำลังคนกลุ่มใหญ่เดินไปทางโกดัง สมาชิกสองคนที่ถูกเรียกชื่อก็เริ่มเคลื่อนไหวทันที

หนึ่งในนั้นทอดมองไปทางโกดังแวบหนึ่ง ล้วงบุหรี่ออกมาหนึ่งมวน แล้วหันไปพูดกับเวินเสี่ยวอวี่ “เฮ้อ นี่เธอเคยเจอเจ้าแซ่หลิงอะไรนั่นไหม?”

“ไม่เคย” เวินเสี่ยวอวี่ตอบเสียงเย็นชา หญิงสาวแต่งกายกลางๆ ด้วยชุดที่จะชายก็ไม่เชิงจะหญิงก็ไม่เชิง ทั้งที่รูปร่างหน้าตาสะสวยไม่เบา เพียงแต่ท่าทางเย็นชานั้น กลับบ่งบอกทันทีว่าเธอไม่ใช่คนช่างพูด

“ฉันจะบอกอะไรให้ ฉันเคยเจอแล้วล่ะ ตอนนั้นหมอนั่น…นี่ ตกลงว่าเธอฟังที่ฉันพูดอยู่ไหมเนี่ย?” หลิวหยางเพิ่งเปิดประตูรถ กลับพบว่าเวินเสี่ยวอวี่ที่อยู่ตรงประตูอีกฝั่งกำลังจ้องมองไปด้านหลังรถคล้ายเหม่อลอย เขามองตามสายตาของเธอไปทันที ทว่ากลับมองเห็นเพียงถนนอันว่างเปล่าและวังเวง

“เวิน…”

“ไม่ต้องพูด” เวินเสี่ยวอวี่ตัดบทเขา จากนั้นก็พูดเสียงเบา “นายรู้สึกอะไรไหม?”

“อะไร?”

“ก่อนหน้านี้ตอนที่ยังไม่ออกจากเมือง X ฉันก็เริ่มรู้สึกได้รางๆ แล้ว เหมือนว่า…มีใครบางคนตามพวกเรามา ตอนนี้พอนายพูดถึงหลิงม่อ ฉันก็รู้สึกแบบนั้นขึ้นมาอีกแล้ว เหมือนมีใครกำลังแอบฟังอยู่…” เวินเสี่ยวอวี่บอก

หลิวหยางพลันเบิกตากว้าง พลันลดบุหรี่ในมือลง เขาจ้องมองเข้าไปในหญ้ารกพวกนั้นครู่หนึ่ง จนในที่สุดก็อดพูดขึ้นไม่ได้ว่า “แต่ว่า…จะเป็นไปได้ยังไง? เมื่อกี้พวกเราขับรถมาตลอดทางเลยนะ ใครจะตามทันกัน…เวินเสี่ยวอวี่ ฉันว่าเธอรู้สึกไปเองมากกว่ามั้ง?”

ทว่าเมื่อเขาหันมามองเวินเสี่ยวอวี่อีกครั้ง ใบหน้าพลันฉายแววตะลึงงัน…