ตอนที่ 351 เรือนหยุนชิง

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 351 เรือนหยุนชิง

มีหมอกบางในยามเช้า สายน้ำไหลเชี่ยว

บัดนี้ใกล้จะเลยเวลาของยามเหม่าแล้ว ระฆังยามเช้าของวัดหานหลิงได้ดังไปแล้ว แสงภายในทุ่งกว้างนี้ได้สว่างโร่ขึ้นมา แต่ภายในป่าภูเขานั้นกลับอึมครึมอยู่เล็กน้อย

ขั้นบันไดขึ้นไปยังวัดนั้นถูกสร้างมาอย่างดี และกว้างขวางเป็นอย่างมาก สองข้างทางมีต้นไม้เก่าแก่อยู่เรียงราย แต่มิได้มีผลต่อการขึ้นเขา เพียงแค่ไร้หนทางจะเห็นทัศนียภาพที่อยู่ห่างไกลได้ชัดเจน

ที่เดินอยู่ด้านหน้าสุดย่อมเป็นราชองครักษ์ 500 นาย ที่ตามติดกันไปคือขุนนางจำนวนมากจากกวนหลี่เตี้ยนและสำนักศึกษาฮ่านหลิน หลังจากนั้นเหล่าบัณฑิตจากราชวงศ์อู๋ ต่อจากนั้นจึงเป็นบัณฑิตจากสามแคว้น และท้ายขบวนก็คือราชองครักษ์ 500 นาย

ดังนั้นขบวนนี้จึงยาวออกไป เดินคดเคี้ยวไปมาบนขั้นบันได มองดูแล้วราวกับมังกรกำลังเคลื่อนที่

เหล่าบัณฑิตกำลังสนทนากันถึงเรื่องราวของวัดหานหลิงแห่งนี้ และบางทีก็จะตกใจกับหญ้าข้างทางที่แปลกประหลาด ทันใดนั้นก็ได้ยินเสียงกัมปนาทดังขึ้น เมื่อเลี้ยวโค้งไป ก็ได้พบเห็นกับน้ำตกที่เหมือนกับมังกรขาวบินลงไปในทะเล

ดังนั้นจึงมีไอน้ำลอยขึ้นมา ปกคลุมไปทั่วทุ่งกว้าง จนทำให้ใบหญ้าและต้นไม้เปียกชื้น รวมไปถึงคนที่อยู่ ณ ที่นี้ด้วย

“บนวัดหานหลิงมีทะเลสาบอยู่หนึ่งแห่ง น้ำจากน้ำตกนี้มาจากทะเลสาบ ดังนั้นฉากนี้ผู้คนต่างขนานนามว่าทางช้างเผือกกลับหัว เพียงแค่คนที่มาวัดหานหลิงนี้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่เลื่อมใสกันทั้งหมด มาเพื่อฟังระฆังยามเช้าของที่นี่ มาเพื่อจุดธูปเบื้องหน้าพระพุทธองค์ และอธิษฐานให้พระพุทธเจ้าคุ้มครองอยู่ในใจ ดังนั้นชื่อเสียงของระฆังยามเย็นและเช้าของวัดหานหลิงจึงถูกเผยแพร่ออกไปอย่างกว้างขวาง ทัศนียภาพเหล่านี้จึงมิค่อยมีผู้ใดเอ่ยถึงมากนัก”

ฝานเทียนหนิงเดินไปพร้อมกับคูฉานและฟู่เสี่ยวกวน เขามองน้ำตกและกล่าวอย่างมิสะทกสะท้านว่า “น่าเสียดายที่ยามนี้ดวงอาทิตย์ยังมิโผล่ขึ้นมา มิเช่นนั้นแล้วในยามที่แสงอาทิตย์ตกกระทบกับน้ำตกนี้ บางทีอาจจะได้เห็นรุ้งเจ็ดสี ! ”

ฟู่เสี่ยวกวนหันมองไปทางฝานเทียนหนิงด้วยความแปลกใจเล็กน้อย “ท่านรู้ได้เยี่ยงไร ? ”

“เพราะข้าอ่านหนังสือมาจำนวนมาก วัดหานหลิงนี้ได้ถูกบันทึกไว้ใน ‘บันทึกหนึ่งร้อยแปดสิบวัด’ นี่คือตำราที่เขียนโดยเจ้าอาวาสพระพเนจรเมื่อสามร้อยปีก่อน เขาใช้เวลาทั้งชีวิตเดินทางไปทั่วทั้งใต้หล้า เขาใช้บั้นปลายชีวิตที่วัดลันทา และได้เขียนบรรยายรายละเอียดของหนึ่งร้อยแปดสิบวัด”

ดังนั้นศาสนาพุทธในยุคนี้จึงรุ่งเรืองเป็นอย่าง แล้วลัทธิเต๋าเล่า ?

เหมือนว่านอกจากสำนักเต๋าแล้วก็มิเคยได้ยินอีก ฟู่เสี่ยวกวนคิดว่าหลังจากที่กลับไปแล้วต้องไปถามศิษย์พี่ใหญ่ถึงเรื่องนี้เสียหน่อย

ข้ามผ่านละอองน้ำจากน้ำตก แล้วเดินต่อไปยังเบื้องหน้าตามขั้นบันไดหิน แสงสว่างเจิดจ้าขึ้นเรื่อย ๆ จึงสามารถเห็นกำแพงสีแดงและกระเบื้องที่ซ่อนอยู่ในป่าได้จากที่ห่างไกล ตึกเหล่านี้ค่อนข้างกระจัดกระจาย คาดว่าน่าจะเป็นสถานที่อาศัยของพระสงฆ์ในวัดหานหลิง

และเมื่อเดินขึ้นไปอีก ก็มีกลิ่นควันธูปลอยวนอยู่ในอากาศ

เมื่อมองออกไปไกล ๆ ก็จะเห็นควันธูปลอยอบอวลอยู่ในป่าทึบ และจะได้ยินเสียงพระสงฆ์ท่องบทสวดสันสกฤตทำวัตรเช้าอยู่ในอาราม

“คิดว่าตรงนั้นน่าจะคือห้องโถงด้านหน้า คือสถานที่ตั้งของวิหารเทียนหวางเตี้ยน สถานที่หลักของงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้อยู่ด้านหลังเขา หรือก็คือด้านข้างของทะเลสาบ” ฝานเทียนหนิงอธิบายให้ฟู่เสี่ยวกวนฟัง เมื่อเห็นท่าทางมึนงงของฟู่เสี่ยวกวน เขาจึงกล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เจ้ายุ่งเป็นอย่างมาก แต่ข้ากลับว่างมากยิ่งนัก ขอกล่าวกับเจ้าอย่างมิปิดบัง ข้าเคยได้มาวัดหานหลิงแห่งนี้แล้วหนึ่งครา วันที่เจ้าได้รับบาดเจ็บวันที่สอง ข้าได้มาที่นี่ตั้งแต่เช้าตรู่ เดินเล่นอยู่ที่นี่หนึ่งวัน ก็ได้ยินเสียงระฆังทำวัตร จึงพักอยู่ที่อารามนั่นหนึ่งคืน และลงเขาไปในวันรุ่งขึ้น”

“เพื่องานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้ จึงได้มีการสร้างอาคารใหม่ที่ด้านหลังเขาจำนวนมาก ถือเป็นที่พักหลัก เยี่ยงไรเสียก็ต้องใช้รองรับผู้คนหลายพันคน จะไปมีเรือนรับแขกอยู่ในอารามจำนวนมากได้เยี่ยงไรกัน ? ”

“ประเดี๋ยวพอไปหลังเขาเจ้าก็จะรู้เอง ที่ตรงนั้นมิเลวเสียทีเดียว ทะเลสาบที่กว้างใหญ่ ด้านข้างของทะเลสาบนั้น ได้มีการสร้างพระพุทธรูปองค์ใหม่ขึ้น ยามที่ข้าไปนั้นมีผู้คนมากมายกำลังหล่อพระพุทธรูปองค์นั้น บัดนี้คาดว่าน่าจะสำเร็จแล้ว เมื่อเทียบกับพระพุทธรูปของวัดลันทาแล้วถือว่าใหญ่กว่าหลายเท่า”

ระหว่างการอธิบายข้อมูลที่ไร้ประโยชน์ของฝานเทียนหนิง ประตูเขาอันงดงามก็ได้ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าของฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ

เหนือประตูทางเข้ามีอักขระสีทองประทับไว้ว่า วัดหานหลิง !

สองข้างของประตูทางเข้ายังได้สลักกลอนตุ้ยเหลียนเอาไว้หนึ่งบท ใจความของกลอนตุ้ยเหลียนนี้มีอยู่ว่า

เจ้ามาเพื่อนมัสการหรือ ต้องสัมผัสกับจิตใจ ก่อกรรมมามากเท่าใด จงอุทิศตนและกราบไหว้

ใครคือผู้เทศนา ต้องกำจัดความเห็นใจ จงกล่าววาจาตักเตือน ให้ผู้คนที่ฟังพรั่นพรึงกับความชอบธรรม

“กลอนตุ้ยเหลียนกับอักขระนี้ ถูกสร้างขึ้นมาในตอนที่สร้างวัดหานหลิง เป็นตำราที่องค์หญิงเจิ้งหยางประพันธ์ขึ้นมาด้วยพระองค์เอง ผู้คนต่างก็ตื่นตะลึง ! ็”

ฟู่เสี่ยวกวนเห็นด้วยอย่างยิ่ง จากที่มองในตอนนี้ เมื่อห้าร้อยปีก่อนองค์หญิงเจิ้้งหยางผู้นั้นคงมีความเข้าใจในพระไตรปิฎกอย่างลึกซึ้ง มิเช่นนั้นคงเขียนกลอนตุ้ยเหลียนเยี่ยงนี้ออกมามิได้

เมื่อข้ามผ่านธรณีประตูเข้าไป เดินตรงไปเบื้องหน้าราว 1 ลี้ ทางขึ้นเขาก็ได้ถูกแบ่งออกเป็นสองทาง ไปทางซ้ายจะเป็นทางเดินเขาที่กว้างขวาง ไปทางขวาจะเป็นทางเดินเขาที่แคบเล็กน้อย

“นี่คือเส้นทางเดินไปด้านหลังเขา”

พวกเขาเดินไปยังทางขวา พอเลี้ยวผ่านสันเขา ทุกคนต่างก็สะดุดตากับพระพุทธรูปองค์ใหญ่ที่ตั้งสูงเด่นตระหง่านอยู่เบื้องหน้า !

คาดมิถึงว่าจะสูงกว่าต้นไม้ที่มีอายุเก่าแก่ไปถึงครึ่งหนึ่ง !

ในยามนี้ที่ดวงอาทิตย์กำลังขึ้น แสงแดดสีเหลืองอ่อนตกกระทบกับพระพุทธรูปสีทอง เปล่งประกายเจิดจ้า และเมื่อประกอบกับมีแผ่นฟ้าเป็นพื้นหลัง ราวกับด้านหลังของพระพุทธรูปนั้นมีแสงศักดิ์สิทธิ์เจ็ดสีขึ้นมาจริง ๆ

“ใหญ่มากใช่หรือไม่ ? ”

ฟู่เสี่ยวกวนพยักหน้า “ใหญ่มากจริง ๆ ! ”

“เพียงการปั้นพระพุทธรูปองค์นี้ กล่าวว่าใช้เวลามานานถึง 8 ปี จักรพรรดิเหวินมีความคิดที่กล้าหาญยิ่ง มิทราบเช่นกันว่าใช้เงินไปแล้วกี่ตำลึง”

และเมื่อเดินไปได้อีกหนึ่งก้านธูป พวกเขาก็ได้เดินมาถึงใต้ฝ่าธุลีของพระพุทธรูป ที่ตรงนี้คือลานกว้างขนาดใหญ่ พื้นที่ปูด้วยหินอ่อนนั้นสะอาดและกระจ่างใส ด้านล่างของพระพุทธรูปนั้นมีเวทีสูงตั้งอยู่ ราวกับเป็นสถานที่ที่ใช้สำหรับสักการะบูชา

และด้านหลังของพระพุทธรูป ก็คือทะเลสาบที่มีไอน้ำลอยขึ้นมาราวกับดินแดนแห่งสรวงสวรรค์

ฟู่เสี่ยวกวนมองสำรวจไปรอบ ๆ มีอาคารถูกสร้างขึ้นล้อมรอบลานกว้างนี้เป็นจำนวนมาก แต่มิได้มีลักษณะคล้ายอาราม แต่รูปร่างเหมือนกันกับอาคารในจินหลิงเสียมากกว่า

คิดไปแล้วอาคารเหล่านั้นคาดว่าจะถูกสร้างมาเพื่อเหล่าบัณฑิตที่มาร่วมงานชุมนุมวรรณกรรมในครานี้

และแน่นอน ในยามที่ทุกคนมาถึงลานกว้างแห่งนี้ ก็ได้พบเห็นขุนนางจากกวนหลี่เตี้ยนและสำนักศึกษาฮ่านหลินกำลังจัดการที่พักให้แก่เหล่าบัณฑิตอยู่

และขุนนางที่เดินตรงมาหาฟู่เสี่ยวกวนนั้นก็คือผู้อาวุโสเหวินชังไห่จากสำนักศึกษาฮ่านหลิน !

“ข้าได้รับคำสั่งจากท่านขุนนางโจวแห่งหอเทียนจีมา และข้าจะพาพวกเจ้าไปยังอีกสถานที่หนึ่ง”

ท่ามกลางสายตาตกใจของฝานเทียนหนิง ฟู่เสี่ยวกวนก็ได้เดินตามเหวินชังไห่ออกไปจากลานกว้างแห่งนี้ แต่มิได้ตรงไปยังอารามที่อยู่เบื้องหน้าเขา แต่กลับเดินตรงไปในป่าภูเขาทางด้านซ้ายแทน

ที่นี่มีทางเดินเล็กที่เงียบสงบ เดินผ่านป่าไปอีกครา ดังนั้นจึงออกห่างจากพระพุทธรูปองค์ใหญ่นั้นไปไกลยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เดินไปได้ราว 3 ก้านธูป เหวินชังไห่ก็หยุดลง

ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เห็นเรือนที่สวยงามอยู่หลังหนึ่ง !

มันตั้งอยู่ด้านข้างของทะเลสาบ รอบด้านมิมีต้นไม้เก่าแก่ล้อมรอบ แต่กลับเป็นสวนสาลี่ที่บัดนี้ดอกกำลังบานสะพรั่ง !

พวกเขาเดินมาจนถึงทางเข้าประตูเรือน เมื่อเงยหน้าขึ้นไปก็พบกับทับหลังบนประตูสีแดง ฟู่เสี่ยวกวนตกตะลึงไปพลัน บนทับหลังประตูได้เขียนเอาไว้ด้วยตัวอักษรสีทองว่า เรือนหยุนชิง !

เมื่อเหวินชังไห่เห็นท่าทางของฟู่เสี่ยวกวน ก็กล่าวยิ้ม ๆ ว่า “เรือนนี้ถูกสร้างขึ้นมาได้ 5 ปีแล้ว ฝ่าบาทจะเสด็จมาที่นี่ในทุกปียามที่ดอกสาลี่ผลิบาน สภาพแวดล้อมที่นี่เงียบสงบมากยิ่งนัก ภายในนั้นมีนางกำนัลอยู่ 30 คน ได้ตระเตรียมทุกอย่างไว้เสร็จสรรพแล้ว…เพียงแค่ท่านขุนนางโจวกำชับมาหนึ่งประโยค กล่าวถึงพระประสงค์ของฝ่าบาท หากเจ้ามีเวลาว่าง จะเก็บดอกสาลี่เหล่านี้ด้วยตนเองและนำกลับมาให้ฝ่าบาทต้มชาสักกาได้หรือไม่ ? ”