ตอนที่ 295-1 ปลาหมอตายเพราะปาก

ชายาเคียงหทัย

ไม่ว่าข้างนอกจะมีเหตุคาวเลือดเพียงใด ประชาชนในซีเป่ยยังคงใช้ชีวิตอันสงบสุขของพวกเขาดังเดิม มีกองทัพตระกูลม่ออยู่ ราวกับพวกเขาไม่เคยกังวลว่าจะต้องตกอยู่ในเพลิงสงครามมาก่อน เพียงแต่ประชาชนที่อพยพมาจากด่านเฟยหงเยอะค่อยๆ มากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนแรกซีเป่ยยอมรับผู้ลี้ภัยเหล่านี้แน่นอน ในเมื่อเทียบกับพื้นที่ของต้าฉู่ ซีเป่ยไม่ถือว่าใหญ่ จำนวนประชากรก็ไม่ถือว่าเยอะ แม้ว่าสองสามปีมานี้มีประชากรอพยพเข้าสู่ซีเป่ยอย่างต่อเนื่อง ไม่สามารถเปลี่ยนความจริงที่ว่าพื้นดินของซีเป่ยไม่อุดมสมบูรณ์และมีประชากรเบาบางมาตั้งแต่สมัยโบราณ หากเป็นเมื่อก่อน ต่อให้ต้องลี้ภัย ก็ไม่มีใครหนีมาอยู่ในสถานที่เช่นนี้ แต่ตอนนี้จากสงครามสองครั้งติดต่อกัน ซีเป่ยรับผู้ลี้ภัยมาแล้วไม่น้อย และในตอนนี้ สงครามครั้งนี้เห็นได้ชัดว่าเพิ่งจะเริ่มต้น ต้องมีสักวันหนึ่งที่จำนวนประชากรของซีเป่ยขยายตัวมากขึ้น จนกระทั่งพื้นที่แห่งนี้ไม่อาจรองรับได้ เพียงเหตุผลนี้ กองทัพตระกูลม่อต้องการขยายพื้นที่อย่างเร่งด่วน

“ในตอนนี้ซีหลิงและต้าฉู่เริ่มรบกันไม่ถึงสองเดือน จำนวนผู้คนที่หลั่งไหลมาที่ซีเป่ยจากด่านเฟยหงเพียงที่เดียวก็มีมาถึงสามแสนคน สงครามยังคงดำเนินต่อไป ผู้ลี้ภัยมีแต่จะเพิ่มมากขึ้น ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ อย่างมากที่สุดสองเดือน เราจะต้องปิดด่านเฟยหงแล้ว ซีเป่ยเลี้ยงคนเยอะขนาดนี้ไม่ไหวหรอก” ภายในห้องหนังสือขนาดใหญ่ โจวอวี้กงรายงานด้วยสีหน้าให้ความเคารพ ก่อนหน้านี้ไม่กี่ปี โจวอวี้ที่เพิ่งมาซีเป่ยและได้รับความไว้วางใจจากม่อซิวเหยาให้ทำงานสำคัญ ก็เป็นบุคคลที่สามารถทำหน้าที่ขุนนางพลเรือนเพียงผู้เดียวในจวนติ้งอ๋องได้แล้ว หลังจากที่หรู่หยางเปลี่ยนชื่อเป็นเมืองหลี โจวอี้ยังคงดำรงตำแหน่งเจ้าเมืองของเมืองหลีต่อไป ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาการดำรงชีวิตของประชากรในเมืองหลี มีความมั่นคงผู้คนมีความสุขในการใช้ชีวิตและการทำงาน พ่อค้าต่างแคว้นก็เจ็บปวดมากขึ้นเรื่อยๆ จนแทบจะยกความดีความชอบให้กับโจวอวี้ที่มีหลักธรรมาภิบาล

คนอื่นก็พากันมีสีหน้าเคร่งขริม เพียงแค่เดือนกว่าๆ ในระยะเวลาแสนสั้นนี้ ก็มีคนทะลักเข้ามาจากด่านเฟยหงถึงสามแสนกว่าคน ไม่ต้องพูดถึงผู้ลี้ภัยมายังซีเป่ยจากสถานที่อื่นเลย เกรงว่าคงจะทะลุห้าแสนแล้ว ต้องรู้ว่า คนหลายแสนนี้ไม่ใช่แค่ให้ที่หลับนอนเรื่อยเปื่อยก็เพียงพอ ต้องกินต้องดื่ม โชคดีที่ตอนนี้ไม่ใช่ฤดูหนาว มิฉะนั้นยังต้องมีปัญหาพวกเรื่องเสื้อผ้าและที่พักอาศัยอีก ยิ่งไปกว่านั้นปล่อยให้พวกเขาตายด้วยความอดอยากในพื้นที่ขนาดใหญ่ไม่ได้ ยังไม่พูดถึงปัญหาด้านศีลธรรม เพียงแค่คนจำนวนมากมายขนาดนี้ป่วยตาย ตอนนี้เป็นฤดูร้อนซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดโรคระบาดมากๆ จำเป็นต้องเผชิญหน้าอย่างระมัดระวังแล้วละ

“หากปิดด่านละก็ เป็นไปได้มากที่จะก่อให้เกิดความขุ่นเคืองในหมู่ผู้ลี้ภัย ถึงตอนนั้น…” สวีหงเยี่ยนที่นั่งอยู่อีกด้านเอ่ยพลางขมวดคิ้ว ตั้งแต่ต้าฉู่เริ่มสงคราม เขาและสวีหงอวี่ที่เดิมทีเอ้อระเหยลอยชายอยู่ต่างต้องกลับมา แม้ทุกคนไม่ได้เอ่ยปาก ทว่าในใจทุกคนต่างก็เข้าใจ อีกไม่นานติ้งอ๋องจะเคลื่อนกำลังออกรบแล้ว

ม่อซิวเหยาพิงอยู่ในเก้าอี้ มือข้างหนึ่งกุมหน้าผากพลางฟังคนข้างล่างแสดงความเห็นของตนเองอย่างเงียบๆ รอให้พวกเขาพูดก็ ถึงได้ถามขึ้น “หาที่พักให้ผู้ลี้ภัยให้ได้มากที่สุด แต่…ข้าไม่อยากเห็นพวกที่วันๆ ห่วงแต่กิน ชอบเที่ยวเล่นและขี้เกียจทำงานอยู่ในซีเป่ย แล้วข้าก็ไม่อยากเห็นพวกสายลับ นักสืบ ที่มีจุดประสงค์แอบแฝงจากทุกที่เช่นกัน เรื่องนี้…เว่ยลิ่น ม่อฮว่า ให้พวกเจ้าเป็นคนจัดการได้ไหม” เว่ยลิ่นและม่อฮว่าเดินออกมาข้างหน้า ก่อนจะขานรับกันอย่างพร้อมเพรียง “ท่านอ๋องโปรดวางใจ ข้าน้อยจะต้องไม่ทำลายความเชื่อใจของท่านอ๋องแน่นอน!”

ม่อซิวเหยาพยักหน้า เอ่ย “ข้าวางใจในการทำงานของพวกเจ้า ทว่า…ต้องทำอย่างระมัดระวัง อย่าให้เกิดจลาจลอะไรนะ อาจารย์หงเยี่ยน เรื่องนี้รบกวนท่านช่วยชี้แนะพวกเขาด้วย”

สวีหงเยี่ยนพยักหน้ารับคำ เอ่ย “ข้าน้อยรับหน้าที่ที่ควรทำนี้ ท่านอ๋องไม่ต้องห่วง”

โจวอวี้ขมวดคิ้วเล็กน้อย ถาม “ท่านอ๋อง หากผู้ลี้ภัยทะลักเข้ามาภายในที่ซีเป่ยไม่หยุด เกรงว่าสะเบียงคงเหลือของเราจะมีไม่พอถึงปีหน้า อีกทั้ง ท่านอ๋องยังตัดสินใจจะออกศึก สะเบียงของเหล่าทหารที่ออกศึกจะขาดแคลนไม่ได้เด็ดขาด หากไม่เตรียมการรับมือล่วงหน้า เกรงว่าฤดูหนาวปีนี้จะเกิดเหตุการณ์ที่มีประชาชนของซีเป่ยอดตายได้

เยี่ยหลีที่ไม่ได้เอ่ยปากออกมาตลอด พูดขึ้น “หากจัดการได้อย่างเหมาะสม หากประคองไปจนถึงปีหน้าบางทีปัญหาอาจไม่ใหญ่มาก สองสามปีมานี้มีการเก็บเกี่ยวที่ดีมากในพื้นที่ตอนเหนือจากคุณชายสวีสี่และคุณชายห้า ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาเรายังให้ความสำคัญกับการสำรองเมล็ดพืช อีกอย่าง ปีที่แล้วคุณชายสวีสี่ถือโอกาสส่งจดหมายมารายงานว่า พืชที่เรียกว่ามันหวานถูกนำเข้ามาจากซีหนาน ผลผลิตสูงกว่าพืชทั่วไปสามถึงห้าเท่า เหมาะสำหรับการรองท้องและไม่เลือกดินสำหรับการเพาะปลูก เราพยายามปลูกในช่วงต้นฤดูใบไม้ผลิของปีนี้และการเก็บเกี่ยวก็ค่อนข้างดี มันหวานชนิดนี้ไม่เลือกดินที่ปลูก มันสามารถเติบโตได้ในดินที่แห้งแล้งมาก หรือแม้กระทั่งในดินทราย สิ่งที่คุณชายสวีสี่หมายถึงคือปลูกอีกฤดูกาลหนึ่ง ในขณะที่ยังสามารถถางพงที่รกร้างจำนวนมากได้ แต่หนึ่งในนั้น…ต้องใช้กำลังคนจำนวนมาก…”

โจวอวี้ได้ยินดังนั้น ก็ดีใจ เขาไม่ใช่คนใจร้ายและถ้าทำได้ ย่อมยินดีที่จะรับผู้ลี้ภัยเหล่านั้นอยู่แล้ว ก่อนจะยิ้มออกมา “เช่นนั้นพระชายาต้องการให้ผู้ลี้ภัยเหล่านั้นถางพงที่รกร้างบนเขาหรือ”

เยี่ยหลีพยักหน้า ในขณะเดียวกันก็เตือนด้วยว่า ไม่ควรตัดต้นไม้จนเกินเหตุ คนในยุคนี้ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้ แล้วก็ไม่ต้องเจอกับปัญหาเหล่านี้ด้วย แต่เยี่ยหลีรู้ดีว่าเมื่อป่าถูกตัดเป็นจำนวนมาก สภาพอากาศของซีเป่ยที่เดิมทีก็ไม่ถือว่าดีอยู่แล้ว จะมีแต่เลวร้ายลง

ด้านล่างยังมีบางคนที่เอ่ยถามขึ้นอย่างกังวล “ต่อให้ผ่านปีนี้ไปได้ ต่อไปจะทำอย่างไรดีเล่า” ซีเป่ยก็ใหญ่แค่นี้ สงครามคราวนี้ก็ไม่รู้ว่าจะต้องสู่กันต่อไปอีกกี่ปี ทว่าผู้ลี้ภัยกลับจะยิ่งมากขึ้นทุกที อย่างไรเสียการเก็บเกี่ยวเสบียงก็มีจำกัด

ม่อซิวเหยาเลิกคิ้วขึ้นเล็กๆ มองใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มของสวีชิงเฉิน ประชากรเพิ่มขึ้นทุกทีจริงๆ แต่ว่า…ดินแดนของซีเป่ยก็ไม่มีทางที่จะใหญ่เพียงเท่านี้ตลอดไป อีกทั้ง เมื่อผู้ลี้ภัยเหล่านี้พบว่าความจุของซีเป่ยเกินขอบเขตที่ยอมรับได้แล้ว พวกเขาก็จะจากไปเอง

เมื่อประชุมเสร็จแล้ว ก็เชิญทุกคนออกไป ภายในห้องหนังสือก็เหลือเพียงม่อซิวเหยา เยี่ยหลี สวีชิงเฉินและสวีหงอวี่ สี่คน

สวีหงอวี่มองม่อซิวเหยาด้วยสีหน้าเคร่งขรึม ก่อนจะถาม “ท่านอ๋องเลือกวันที่จะออกศึกแล้วใช่ไหม”

ม่อซิวเหยาพยักหน้า แม้กองทัพตระกูลม่อจะเตรียมการอย่างลับๆ ทว่าก็ไม่อาจยืดเยื้อจนนานเกินไป ยืดเยื้อนานเกินไปหากถูกคนนอกจับได้ ก็สูญเสียโอกาสในการซุ่มโจมตีซีหลิงไป “ซีเป่ยก็รบกวนพี่ใหญ่กับท่านลุงแล้วกัน” ม่อซิวเหยาเอ่ยด้วยเวียงเคร่งขรึม

สวีหงอวี่ขมวดคิ้วเล็กน้อย มองเยี่ยหลีก่อนจะเอ่ย “เยี่ยหลีก็จะไปด้วยหรือ”

เยี่ยหลีพยักหน้า ยิ้มเอ่ย “ใช่เจ้าค่ะ รบกวนท่านลุงแล้ว”

สวีหงอวี่มองเยี่ยหลีอย่างไม่เห็นด้วย แม้จะรู้ว่าศิลปะการต่อสู้ของหลานสาวจะเหนือชั้น แต่ท้ายที่สุดก็เป็นผลผลิตเพียงหนึ่งเดียวที่น้องสาวของตนเหลือไว้ สวีหงอวี่เข้มงวดกับลูกชายและหลานชายมาก แม้กระทั่งกับหลานชายอย่างสวีจือรุ่ยและม่อเสี่ยวเป่า แต่เขากลับทำเช่นนั้นกับเยี่ยหลีไม่ลง เยี่ยหลียิ้ม เอ่ย “ท่านลุงไม่ต้องเป็นห่วงหลีเอ๋อร์ ท่านตาก็เห็นด้วยแล้ว”

เมื่อได้ยินดังนั้น สวีหงอวี้รู้สึกประหลาดใจเล็กน้อย เมื่อเทียบตนเองที่รักและเอ็นดูหลีเอ๋อร์แล้ว ท่านพ่อก็ไม่แพ้กัน เหตุใดถึงอนุญาตให้หลีเอ๋อร์ไปในสนามรบที่อันตรายขนาดนั้นได้ คิดๆ ดูแล้ว แม้สวีหงอวี่จะคิดไม่ตก แต่ก็รู้ว่าที่ท่านพ่อของตนทำเช่นนี้นั้นย่อมมีเหตุผลของตัวเอง อยากจะกลับไปที่สำนักแล้วถามไถ่ท่านพ่อให้รู้เรื่อง ทว่าก็ไม่ได้ขัดขวางหลีเอ๋อร์อีก ก่อนจะถอนหายใจเบาๆ “ช่างเถอะ เจ้าต้องดูแลตัวเองให้ดี”

“หลีเอ๋อร์เข้าใจแล้ว ท่านลุงวางใจเถิด” เยี่ยหลียิ้ม

สวีชิงเฉินเงียบไปชั่วครู่ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาถาม “ซีเป่ยมีกำลังพลไม่ถึงหนึ่งล้านสองแสนนาย อย่างน้อยครึ่งหนึ่งต้องประจำการในซีเป่ย ซึ่งก็คือ…อย่างมากสุดท่านจะพาไปออกศึกได้เพียงหกแสนคน ในช่วงไม่กี่ปีนี้พวกเราได้สำรวจอย่างลับๆ ว่า จำนวนกองกำลังทั้งหมดในซีหลิงมีเกินสามล้าน เหลยเจิ้นถิงได้ใช้กองกำลังเกือบหนึ่งล้านคนในต้าฉู่ เมื่อท่านเข้าไปในซีหลิง เขาจะกลับมาช่วยและล้อมรอบทุกด้าน ท่านจะถูกล้อมรอบไปด้วยคนและม้าอย่างน้อยสองล้าน ถึงตอนนั้นแล้วท่านจะทำอย่างไร”