ตอนที่ 869 ขอโทษ

Elixir Supplier

มันเป็นเหมือนภาพยนตร์ที่ถูกกลอกลับอย่างช้าๆ เขามองดูจุดบอดและช่องโหว่ที่อาจมีอยู่ในความทรงจําเหล่านั้น

เฮ้อ ฉันรู้สึกอยู่ตลอดว่ามีบางอย่างผิดปกติ แต่มันผิดปกติที่ตรงไหนล่ะ?

ในตอนที่เขากําลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น เขาก็ได้ยินเสียงบางอย่าง

“อะไรน่ะ?”

เขาผุดลุกขึ้นจากเตียงและเอื้อมมือไปที่เอว

เสียงนั้นหายไป

มันเกิดอะไรขึ้น?

เขาลอบมองออกไปด้านนอก มันเงียบสงัด เขาไม่พบอะไรที่ผิดปกติ เขาค้นดูภายในห้องทั้งๆที่ไม่ได้เปิดไฟ แล้วเขาก็พบไม้ไผ่ท่อนหนึ่ง

ไม่ไผ่?

เขาหยิบมันขึ้นมาสํารวจดู เขาดึงมีดออกจากกระเป๋าและตัดเพื่อเปิดมันออก ด้านในมีกระดาษอยู่หนึ่งแผ่น เขาใช้ไฟจากมือถือเพื่อส่องดูเนื้อหาในกระดาษ แล้วก็ยิ้มออกมา

น่าสนใจจริงๆ!

ภายในหมู่บ้าน ไม่มีอะไรเกิดขึ้นในค่ําคืนนั้น

เช้าวันต่อมา มันเป็นวันที่ท้องฟ้าสดใส

“ฮา วันนี้ก็เป็นวันดีอีกวันหนึ่ง” ชายหนุ่มพูด

“หัวหน้า วันนี้พวกเราจะทําอะไรกันครับ?”

“เราจะเดินดูรอบๆแล้วจากนั้นก็กลับกัน”

“เอ๋ เราจะกลับกันเร็วขนาดนี้เลยเหรอครับ?”

“ทําไม? หรือคุณคิดถึงอาหารที่นี่เลยไม่อยากลับขึ้นมา?”

“เอ่อ ไม่ใช่แบบนั้นครับ”

เมี่ยวซึ่งเพิ่งเดินเข้ามาหาโดยที่ไม่มีใครเชิญ

“วันนี้ พวกคุณอยากไปที่ไหนกันบ้างครับ?”

“ที่ไหนก็ได้ครับ” หยางกวนเฟิงพูดด้วยรอยยิ้ม “เราจะกลับกันบ่ายนี้แล้ว ลองไปเดินดูรอบๆนี้อีกสักครั้ง พอกลับไปจะได้รายงานได้ดีกว่าเดิม”

“นี่ไม่ใช่สิ่งที่เจ้าหน้าที่สืบสวนควรพูดเลยนะครับ” เสี่ยวชิงเฟิงพูด

“คุณรู้เรื่องผมด้วยเหรอ?”

“ผมเพิ่งตรวจสอบเมื่อคืนครับ” เมี่ยวชิงเฟิงพูด “บอกตามตรง ผมไม่คิดเลยว่า คุณจะเก่งถึงขนาดแก้ไขคดีใหญ่ได้หลายคดี” นี่ไม่ใช่แค่การชมตามมารยาทเท่านั้น แต่มันมาจากความรู้สึกจริงๆของเขาด้วย

“จริงเหรอครับ?”

“จริงสิครับ”

“เราไปกันเลยไหมครับ?”

“ได้ครับ”

เมี่ยวชิงเฟิงเดินนําพวกเขาไปรอบหมู่บ้าน

ภายในหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ห่างออกไปหลายพันไมล์

ตอนเช้า หวังเจ๋อเชิงกับพ่อของเขาไปที่คลินิกด้วยกัน หวังเจ่อเชิงลางานเพื่อพาพ่อของเขามารักษา

“คุณลุงดูแข็งแรงขึ้นกว่าตอนที่มาคราวก่อนนะครับ” หวังเย้าพูด

ไม่เพียงแต่สีหน้าของเขาจะดีขึ้น แต่แววตาและการหายใจของเขาก็ดีขึ้นเช่นเดียวกัน เขายังดูกระฉับกระเฉงมากขึ้นด้วย

เมื่อดจากสิ่งเหล่านี้แล้ว มันแสดงให้เห็นว่าอาการของเขาดีขึ้น

“คุณลุงรู้สึกเป็นยังไงบ้างครับ?”

“พอได้กินยาของเธอแล้ว ฉันก็รู้สึกดีขึ้นมากเลยล่ะ” หวังยี่หลงพูด

“ฉันรู้สึกว่าร่างกายแข็งแรงขึ้น และตรงที่เคยเจ็บก็ไม่เจ็บแล้ว”

“คุณลุงยังเจ็บอยู่ไหมครับ?”

“มีนิดหน่อย แต่ถ้าไม่ใส่ใจก็ไม่รู้สึกอะไร” ชายชราพูดด้วยรอยยิม

“ดีครับ”

หวังเข้าตรวจดูร่างกายของชายชรา ตัวยาได้ผลดี แต่สภาพร่างกายที่ดีขึ้นก็ไม่ได้หมายความว่าต้นตอของปัญหาดีตามไปด้วย สําหรับโรคที่เขาเป็นอยู่นั้น มันเป็นไปไม่ได้เลยที่จะคาดหวังว่ายาแค่หนึ่งถ้วยจะทําให้หายขาดได้ ถึงแม้ตัวยาจะทําขึ้นมาจากสมุนไพรวิเศษ แต่มันก็ไม่ใช่ยาวิเศษ แม้แต่ไข้หวัดก็ยังต้องใช้เวลารักษาหลายวัน แล้วโรคมะเร็งระยะสุดท้ายจะต้องใช้เวลานานแค่ไหน

“มาครับ ดื่มยาอีกถ้วย” หวังเย้าเทยาใส่ถ้วยให้ชายชรา มันมีปริมาณเดียวกับที่ดื่มไปครั้งก่อน

หวังยหลงรับยามาดื่ม

“เอ่อ เธอพอจะบอกฉันได้ไหม ว่าฉันเป็นอะไร?” ชายชราถาม เขาป่วยมานานและกินยามาได้สักพักแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้เป็นอะไรหนัก เขายังสามารถทํางานได้ปกติ แต่มันก็ไม่ใช่เรื่องดีหากต้องใช้จ่ายเงินเป็นค่ายารักษาไปตลอด

“เป็นเพราะอายุที่มากขึ้นของคุณลุงครับ” หวังเย้าตอบ “คุณลุงได้รับสารอาหารที่ไม่เพียงพอการไหลเวียนโลหิตและฉีไม่ราบรื่น คุณลุงเลยต้องฟื้นฟูและบํารุงร่างกาย มันเลยต้องใช้เวลาสักหน่อยน่ะครับ”

คําตอบของเขาไม่ใช่แค่เพื่อทําให้ชายชราสบายใจเท่านั้น แต่จากทฤษฎีความรู้ของแพทย์ปรุงยา ทุกโรคในร่างกายมนุษย์สามารถเกิดจากการไหลเวียนที่ไม่ราบรื่นของโลหิตและฉี และหยินหยางที่ไม่สมดุล ทําให้เป็นสาเหตุของโรคและอาการป่วยหลายอย่าง

“โอ้ ดี ถ้าอย่างนั้นก็รักษาต่อให้หายแล้วกัน” ชายชราพูด

“ครับ ผมคาดว่ามันจะค่อยๆดีขึ้น”

หลังจากแสดงความขอบคุณแล้ว หวังเจ๋อเชิงก็กลับบ้านไปกับพ่อของเขา จากนั้นเขาก็รีบกลับมาที่คลินิก

“มีเรื่องอะไรเหรอครับ?”

“อาการของพ่อฉันดีขึ้นจริงเหรอ?”

“มันดีขึ้นจริงๆครับ แต่เขาต้องได้รับการรักษาอย่างต่อเนื่องด้วย” หวังเย้าพูด

“มันรักษาให้หายได้ด้วยเหรอ?”

“แล้วพี่คิดว่ายังไงล่ะครับ?” หวังเย้าถาม

“พี่ต้องเข้าใจด้วยว่าโรคนี้มันเป็นยังไง” เขาพูด “ผมจะพยายามอย่างสุดความสามารถ แต่มันก็ต้องขึ้นอยู่กับความร่วมมือจากพี่ด้วย”

“ฉันจะให้ความร่วมมืออย่างเต็มที่เลย”

“มันไม่จําเป็นต้องทําอะไรมากหรอกครับ อาการของคุณลุงตอนนี้ถือว่าดีมาก แค่กินยา, อารมณ์ดีอยู่เสมอ และบํารุงร่างกายด้วยวิตามินกับแร่ธาตุที่จําเป็นอย่างเหมาะสม ใส่ใจเรื่องการใช้ชีวิตประจําวันที่ผมเคยบอกไปเท่านั้นก็พอแล้วครับ”

“ได้ ฉันจําไว้แล้ว” หวังเจ๋อเชิงพูด เขาจดบันทึกทุกเรื่องที่หวังเย้าอธิบายเกี่ยวกับการดูแลพ่อของเขาลงไปในสมุด ปกติเขาจะคอยใส่ใจเรื่องพวกนี้อยู่ตลอด ทั้งเขาและภรรยาต่างก็รู้ข้อควรระวังทั้งหมดที่หวังเย้าบอกมา

“เอาล่ะ พี่กลับไปเถอะ ไม่ต้องกังวลมากเกินไป พยายามทําให้ดีที่สุด ส่วนที่เหลือก็ปล่อยให้เป็นหน้าที่ของสวรรค์”

“ได้” หวังเจ๋อเชิงกลับบ้านไป

หวังเย้าจดบันทึกการเปลี่ยนแปลงของชายชราไว้อย่างละเอียด นี่เป็นผู้ป่วยโรคมะเร็งรายแรกที่เขาคอยติดตามอาการและสังเกตผลการรักษาอย่างต่อเนื่อง มันมีความหมายกับเขามาก

“ฉันหวังว่ามันจะสําเร็จ”

ปังปังปัง! มีเสียงเคาะประตูอย่างเร่งรีบดังขึ้น

“เข้ามาได้เลยครับ” เสียงของหวังเย้าส่งออกไปถึงพวกเขาที่อยู่ด้านนอกอย่างชัดเจน

“เข้าไปกันเถอะ”

ผู้ชายสองคนและผู้หญิงสองคนเดินเข้าไปใยคลินิก คนไข้เป็นหญิงวัยหกสิบที่ถูกแบกมาบนหลังของคนที่น่าจะเป็นลูกชายของเธอเอง

“สวัสดีครับ คุณคือหมอหวังใช่รึเปล่า?”

“ผมเองครับ”

“ช่วยดูอาการแม่ของผมด้วยครับ

สีหน้าของคนไข้ไม่ดีอย่างมาก และการหายใจของเธอก็ยังแผ่วเบา

“เกิดอะไรขึ้นครับ?”

“แม่ของผมล้มที่ลานบ้าน หลังจากนั้นเธอก็เดินไม่ได้” เขาตอบ

ทุกคนต่างมีสีหน้าวิตกกังวล

“มันเกิดขึ้นเมื่อไหร่ครับ?”

“สามคืนก่อน”

“แล้วได้พาไปโรงพยาบาลในเมืองรึยังครับ?”

“ไปมาแล้ว แต่การรักษาไม่ได้ผล

พวกเขาวางคนไข้ลงบนเก้าอี้

หวังเข้าตรวจดูอาการของเธออย่างละเอียด

เส้นเลือดมีการอุดตัน ปัญหาอยู่ที่บริเวณศีรษะ

“เรื่องนี้ไม่ยากครับ”

หวังเย้าบอกให้คนไข้นอนลง เขาหยิบเข็มเงินหลายเล่มออกมาจากกระเป๋า แล้วแทงเข็มลงไปบนศีรษะของคนไข้ บิดไปมาหลายครั้งแล้วดึงเข็มออก จากนั้น เขาก็นวดศีรษะของคนไข้

“เอาล่ะ เรียบร้อยครับ”

“เสร็จแล้ว? หมอหมายความว่ายังไง?” ลูกๆที่เธอมารักษาต่างสงสัย

“ตอนนี้ เธอเดินได้แล้วครับ”

“อะไรนะ?”

“ขาของฉันมีความรู้สึกอีกครั้งแล้ว” หญิงชราพูดขึ้นมาหลังจากลุกขึ้นมานั่งเรียบร้อยแล้ว ตอนที่มาถึง ขาทั้งสองข้างของเธอไร้ความรู้สึก แม้ว่าเธอจะพยายามสั่งให้พวกมันขยับ แต่พวกมันก็ไม่ตอบสนองคําสั่งของเธอ