บทที่ 100 แม่ของขนมผิง

รักหวานอมเปรี้ยว

เปปเปอร์ยืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับเขยื้อน

มายมิ้นท์จึงไม่สามารถปิดประตูได้ เธอโมโหและพยายามผลักเขาออกไปเพื่อให้เขาไปจากตรงนั้น

แต่เธอลืมไปว่าขาข้างหนึ่งของเธอไม่อาจออกแรงได้ ดังนั้นการที่เธอผลักเขาไม่ทำให้เปปเปอร์ขยับเขยื้อนอีกครั้งตัวเธอเองกลับสูญเสียการทรงตัว จึงทำให้ร่างกายเอนไปทางด้านหลัง

เมื่อเปปเปอร์เห็นดังนั้นดวงตาของเขาก็หรี่ลงแล้วเอื้อมมือไปคว้าเธอเอาไว้

แต่มือของเขาก็ยังช้าไปอยู่ชั่ววินาที เขาไม่อาจประคองแขนเธอเอาไว้ทัน ไม่เพียงแต่จะรั้งเธอไว้ไม่ได้แม้แต่เขาเองก็เอนตัวลงไปทางเธอ

“ตุ๊บ!” เสียงดังสนั่น

มายมิ้นท์ล้มลงไปที่พรม มือทั้งสองข้างของเปปเปอร์สัมผัสไปยังบ่าของเธอ หัวเข่าข้างหนึ่งยันไว้ที่พื้นคร่อมอยู่บนร่างเธอ

ดวงตาของทั้งคู่ประสานกันและชะงักลง

มายมิ้นท์คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าจะเกิดเรื่องแบบนี้ขึ้นมาได้ ใบหน้าของเธอแดงเรื่อ หัวใจเต้นโครมคราม

แววตาอันเขินอายและโมโหของเธอจับจ้องไปที่เปปเปอร์ แต่ดวงตาของเปปเปอร์นั้นดูมืดมน เขาอดไม่ได้จะนึกถึงคืนที่เธอดื่มจนเมามายคืนนั้น

ตัวเธอในคืนนั้นช่างมีเสน่ห์น่าหลงใหล ราวกับแม่มดน้อยที่กระชากวิญญาณเขาออกจากร่าง

เมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ร่างกายของเปปเปอร์ก็ร้อนผ่าว ลำคอของเขาขยับเขยื้อนกลืนน้ำลายลงไป ดวงตาคู่นั้นจับจ้องไปที่ริมฝีปากแดงเรื่องของเธอ เขาผ่อนคลายเปลือกตาและโน้มตัวลงไป

ทันใดนั้นเอง มายมิ้นท์ก็เอ่ยปากขึ้นด้วยน้ำเสียงเยือกเย็นว่า “คุณทับฉันพอหรือยัง ลุกขึ้นได้หรือยังคะ?”

เปปเปอร์จึงได้สติกลับคืนมา เมื่อคิดได้ว่าเมื่อสักครู่ตนเองจะทำอะไร สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไป เม้มริมฝีปากพูดว่า “ขอโทษครับ”

เขาลุกขึ้นยืนและเอื้อมมือมาทางเธอเพื่อต้องการจะช่วยพยุงเธอขึ้น

แต่มายมิ้นท์ไม่รับความช่วยเหลือจากเขา เธอใช้มือทั้งสองข้างค้ำไปที่พื้นแล้วลุกขึ้นเอง

แววตาของเปปเปอร์หนักอึ้งลงเล็กน้อย มือที่ยื่นออกไปท่ามกลางอากาศกำแน่นแล้วหดกลับ

จู่ๆ มายมิ้นท์ก็ส่งเสียงซี๊ดออกมา

ใบหน้าของเปปเปอร์เผยถึงความกังวลใจโดยที่แม้แต่เขาก็ไม่รู้ตัว “เป็นอะไรครับ?”

มายมิ้นท์หายใจเข้าด้วยความโมโหและจ้องมองเขา “เปปเปอร์! เป็นเพราะคุณนั่นแหละ คนในบ้านนวบดินทร์เกิดมาเพื่อจะจัดการกับฉันหรือไง! เมื่อสักครู่ที่ฉันล้มลงทำให้ขาของฉันที่กว่าจะหายดีขนาดนี้เจ็บขึ้นอีกแล้วนะ”

ขณะที่เธอพูดไปน้ำตาก็คลอเบ้าแดงเรื่อ ในใจเธอรู้สึก น้อยเนื้อต่ำใจยิ่งนัก

ถ้าไม่เจอเขาเธอก็ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้น

แต่ทุกครั้งที่พบกับเขา เธอก็จะต้องเกิดอุบัติเหตุทุกครั้ง มันน่าโมโหจริงๆ

เปปเปอร์ที่มองเห็นมายมิ้นท์แทบจะร้องไห้ออกมา ในใจของเขาก็ตึงเครียดขึ้นทันที แต่ไม่ได้สีแดงสีหน้าออกมา “ผมจะรับผิดชอบเอง”

เมื่อพูดจบเขาก็ก้มตัวลงไปอุ้มเธอขึ้น

มายมิ้นท์เบิกตากว้าง แล้วใช้มือจับไปที่ลำคอของเขาโดยสัญชาตญาณ

แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงอุณหภูมิร่างกายของเขาอันอบอุ่นนั้น เธอก็รีบปล่อยมือออก

“ปล่อยฉันนะ” มายมิ้นท์พูดอย่างเยือกเย็น

เปปเปอร์ทำเป็นไม่ได้ยิน เขาอุ้มเธอเข้าไปเพียงสองสามเก้าก็ถึงห้องรับแขก จากนั้นวางเธอลงบนโซฟาก่อนจะรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา “ส่งแพทย์มาคนหนึ่ง มาที่คอนโดพราวฟ้า”

คอนโดพราวฟ้า?

ที่อยู่ของคุณมายมิ้นท์ไม่ใช่หรือไง?

ผู้ช่วยเหมันตร์ตกตะลึง แม้จะมีคำถามมากมายแต่ก็รู้ได้ว่าไม่ควรถามออกมา เขารีบตอบรับอย่างเร็วไว

ในไม่ช้าแพทย์ก็เดินทางมาถึง

เปปเปอร์ชี้ไปยังผู้หญิงที่นั่งอยู่บนโซฟา “ดูขาเธอให้หน่อย”

“ครับ” หมอพยักหน้าแล้วเดินตรงไปทางมายมิ้นท์

มายมิ้นท์เองก็ไม่อยากจะกลายเป็นคนขาพิการ เธอจึงได้ยื่นขาออกมาให้ดูอย่างว่าง่าย

หลังจากแพทย์ตรวจดูเรียบร้อยแล้วก็ได้เปิดกล้องยาออก

เปปเปอร์ยืนอยู่ด้านข้างเอ่ยถามว่า “เธอเป็นยังไงบ้าง?”

“คุณมายมิ้นท์ไม่เป็นอะไรมากครับ เพียงแค่บริเวณแผลที่รักษาแทบจะหายอยู่แล้วเกิดอักเสบขึ้นมาใหม่ คงจะต้องรักษาใหม่อีกครั้ง” แพทย์ค้นหายาสลายลิ่มเลือดออกมาแล้วตอบเขา

“ร้ายแรงขนาดนี้เชียวเหรอ?”

เปปเปอร์ขมวดคิ้วเข้าหากัน

ท่าทางของมายมิ้นท์เองก็ไม่ต่างกันเท่าไรนัก

เดิมทีอีกประมาณสองสามวันเธอก็ไม่ต้องใช้ไม้เท้าแล้ว

แต่ตอนนี้เป็นยังไงล่ะ ยังคงต้องใช้ไม้ค้ำอีกสักพักหนึ่งเลย นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย!

มายมิ้นท์โมโหกัดริมฝีปากของตนเอง หน้าอกของเธอกระเพื่อมตามแรงโกรธ

เมื่อแพทย์ใส่ยาให้เธอเรียบร้อยแล้วก็ได้เดินทางจากไป

มายมิ้นท์เอามือขึ้นกุมศีรษะของตนเองแล้วพูดอย่างเหนื่อยล้าว่า “เอาละค่ะ ประธานเปปเปอร์คุณไปเถอะ ฉันเชื่อว่าคุณก็คงจะพอมองออกว่าทุกครั้งที่คุณปรากฏตัวขึ้นต่อหน้าฉัน มักจะสร้างความเดือดร้อนให้ฉันตลอด ดังนั้นต่อจากนี้อย่ามาหาฉันอีกเลย”

เปปเปอร์รู้สึกตึงเครียดขึ้นมาทันใด ขณะที่เขากำลังจะพูดบางอย่างออกมานั้น โทรศัพท์มือถือก็ดังขึ้น เป็นสายจากส้มเปรี้ยว

ไม่รู้ว่าเพราะอะไร แต่จู่ๆ เขาก็ไม่อยากจะรับสายเธอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่ออยู่ต่อหน้ามายมิ้นท์

แต่ท้ายที่สุดแล้วเปปเปอร์ก็เลือกที่จะรับสาย

เขารู้ดีว่าส้มเปรี้ยวค่อนข้างจะขาดความรู้สึกปลอดภัย

ถ้าเขาไม่รับสายเธอ เธอก็จะโทรมาจนกระทั่งเขารับสายหรือจนกระทั่งเจอเขา

“ฮัลโหล ส้มเปรี้ยว” ขณะที่เปปเปอร์พูดชื่อเธอออกมาก็เหลือบตาไปมองดูมายมิ้นท์

ช่างแปลกจริง เขาอยากจะเห็นว่าเธอมีปฏิกิริยาอย่างไร

แต่สิ่งที่เขาเห็นก็คือมายมิ้นท์ก้มหน้าลงดูเล็บของตนเอง ใบหน้าของเธอไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดแม้แต่น้อย ดูเหมือนเธอจะไม่สนใจเลยว่าเขาโทรศัพท์กับใครอยู่

เมื่อเห็นดังนี้ หัวใจของเปปเปอร์ก็รู้สึกเจ็บปวด

การที่ผู้หญิงคนหนึ่ง ไม่สนใจในการมีตัวตนของผู้หญิงคนหนึ่ง

นั่นเพียงพอที่จะอธิบายว่า เธอปล่อยวางและไม่รักเขาแล้ว

“เปปเปอร์ เปปเปอร์คะ?” น้ำเสียงของส้มเปรี้ยวตะโกนออกมา

เปปเปอร์จึงได้สติกลับคืนแล้วถ้าเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงต่ำทุ้มว่า

“อะไรครับ?”

“ฉันต่างหากที่อยากจะถามว่าคุณเป็นอะไร ฉันเรียกคุณตั้งหลายครั้งแล้ว แต่ว่าคุณไม่ตอบเลย” น้ำเสียงของส้มเปรี้ยวดูเหมือนไม่ค่อยจะดีใจนัก

เปปเปอร์ก้มหน้าลงแล้วพูดเบาๆ ว่า “ขอโทษครับ เมื่อครู่ผมไม่ได้ฟัง คุณโทรมาหาผมมีธุระอะไรเหรอ?”

“คุณลืมเหรอคะว่าคืนนี้คุณจะมาทานข้าวที่บ้านฉัน?”

เปปเปอร์สีหน้าเปลี่ยนไป เขาชะงักลงและนึกขึ้นได้ “ขอโทษครับผมลืมไป”

“ฉันรู้อยู่แล้วแหละค่ะ ก็เลยโทรมาเตือนคุณ จริงสิตอนนี้คุณอยู่ที่ไหนเหรอ?” ส้มเปรี้ยวเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงอ่อนโยน

เปปเปอร์มองไปทางมายมิ้นท์แล้วตอบว่า “ตอนนี้ผมอยู่ข้างนอกกับลูกค้า”

มายมิ้นท์เลิกคิ้วขึ้นแล้วเงยหน้ามองเขาอย่างมีความหมาย

เปปเปอร์ถูกเธอมองด้วยสายตาเช่นนั้นจนรู้สึกกระสับกระส่ายเขาจึงกระแอมออกมาแล้วบอกว่า “ธุระผมใกล้จะเสร็จแล้ว แล้วผมจะตามไป”

“ค่ะ ฉันรออยู่นะคะ” ส้มเปรี้ยวยิ้มออกมา

เปปเปอร์ตอบรับว่า “อืม” แล้ววางสายลง

มายมิ้นท์เอามือขึ้นกอดอกแล้วหัวเราะเยาะว่า “อยู่กับลูกค้าเหรอ? ที่แท้ฉันเป็นลูกค้าของประธานเปปเปอร์สินะคะ คิดไม่ถึงว่าประธานเปปเปอร์จะโกหกแบบนี้ได้ น่าแปลกจริงๆ”

ความเขินอายแวบเข้ามาในดวงตาของเปปเปอร์ แต่ในไม่ช้าก็จางหายไปและกลับสู่ความเยือกเย็นดังเดิม “ผมขอตัวก่อน ส่วนเรื่องเงินชดเชยการหย่าร้าง ผมอยากจะให้คุณลองพิจารณาดูดีๆ”

“ไม่มีอะไรให้ต้องพิจารณาหรอกค่ะ ฉันบอกว่าไม่เอาก็คือไม่เอา” มายมิ้นท์ทำท่าทางไร้ความรู้สึก

เปปเปอร์เม้มริมฝีปากเข้าหากัน ดูเหมือนเขาต้องการจะพูดอะไรออกมา แต่เมื่อเห็นใบหน้าอันเย็นชาของเธอนั้น ในที่สุดแล้วเขาก็จากไปโดยไม่พูดอะไร

หลายวันต่อมา มายมิ้นท์ก็ได้เริ่มกระบวนการฟ้องร้องศาลต่อขนมผิง บัญชีทางการพร้อมกับชาวเน็ต

บรรดาชาวอินเทอร์เน็ตนั้นก็ได้ติดตาม ขั้นตอนการดำเนินคดีของเธออย่างละเอียด แม้จะไม่ได้เกี่ยวข้องกับตัวเองเลยก็ตาม

ท้ายที่สุดแล้วพวกเจ้าของบัญชีเหล่านั้นก็ถูกขังจำคุกไม่ต่ำกว่าสามวัน ส่วนบรรดาชาวเน็ตถูกปรับจำนวนสองร้อยหยวน

ในด้านขนมผิง ในศาลชั้นต้นเธอให้การปฏิเสธและฟ้องกลับ ต่อให้ทนายพยายามบอกกับเธอว่าเข้าไปในศาลชั้นรองก็ไม่มีโอกาสชนะ อย่างมากสุดก็ทำได้เพียง ลดจำนวนติดคุกลงสองสามวัน ไม่อาจหนีคดีได้ และในวันนี้คือวันที่ตัดสินครั้งที่สองพอดี

มายมิ้นท์เดินทางมาที่ศาลด้วยการช่วยเหลือของลาเต้

ตอนนี้ขาของเธอดีหายมากแล้ว แม้จะไม่อาจวิ่งได้ แต่อย่างน้อยก็ใช้เพียงไม้ค้ำแค่ข้างเดียว

ในขณะที่เธอกำลังจะเดินเข้าไปในประตูศาล ก็ถูกใครบางคนเรียกรั้งเอาไว้ว่า “คุณมายมิ้นท์คะ”

มายมิ้นท์หยุดฝีเท้าลง เธอและลาเต้หันกลับไปมอง

ผู้ที่เดินทางมาคือหญิงวัยกลางคนคนหนึ่งสวมเสื้อผ้าแบรนด์เนม แต่งหน้าอย่างประณีต แต่ไม่อาจจะปกปิดความทุกข์กังวลใจบนใบหน้าได้

มายมิ้นท์เอ่ยถามขึ้นอย่างมีมารยาทว่า “สวัสดีค่ะ ไม่ทราบว่าท่านเป็นใคร?”

“ฉันคือแม่ของขนมผิง” หญิงวัยกลางคนผู้นั้นพยายามบีบยิ้มออกมา

มายมิ้นท์จึงเข้าใจ การแสดงออกของสีหน้าเธอดูเย็นชาลงไม่น้อย “อ้อ ที่แท้คือคุณนายตระกูลมหาเอกรัตนานี่เอง มีเรื่องอะไรหรือเปล่าคะ?”