62 จอมมารสิ้นชื่อ หนังสัตว์แปลกๆ

เข้าสู่ระบบ ฝ่ามือยูไล

Sign in Buddha’s palm 62 จอมมารสิ้นชื่อ หนังสัตว์แปลกๆ

 

 

เมื่อร่างของจอมมารชุดดำกลายเป็นเถ้าถ่านสีดำ

 

ใบหน้าของเหล่าสาวกพรรคมารซีดราวกับกระดาษขาว ไม่มีร่องรอยของเลือดฝาดอยู่เลย

 

ในช่วงที่จอมมารออกมาจากทะเลทรายตะวันตกกลับเข้าสู่ยุทธภพอีกครั้ง พรรคมารก็รุ่งโรจน์อย่างไม่มีที่สิ้นสุด พวกสาวกพรรคมารได้เข้าทำลายสำนักพรรคไปมากมายต่อเนื่อง อาทิ นิกายเทียนไถ่ และสำนักต่างๆ ที่อยู่ในดินแดนราชวงศ์ถังแห่งนี้

 

ทว่าตอนนี้

 

สาวกพรรคมารพลันตระหนักได้ว่าทุกอย่างที่มีได้หายไปหมดสิ้นแล้ว

 

อย่าเพิ่งไปพูดถึงผลกระทบต่อพรรคมารจากการสูญเสียจอมมารไปเลย แค่ตอนนี้พวกมันจะเดินออกจากวัดเส้าหลินได้หรือไม่นี่สิควรเป็นคำถาม

 

“เอ๋?”

 

หลังจากที่ซูฉินสังหารจอมมารชุดดำ เขาเหมือนจะค้นพบบางสิ่งเข้าและหันไปมองตรงจุดที่จอมมารกลายเป็นซาก

 

เห็นเป็นหนังสัตว์แผ่นหนึ่งอยู่ตรงนั้น สภาพขาดรุ่งริ่ง

 

ต้องทราบว่าซูฉินควบคุมพลังฟ้าดินในรัศมีหลายลี้เพื่อบดขยี้จอมมารในทีเดียว

 

ใต้พลังอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าดินนี้ แม้ร่างกายของจอมมารจะแปรสภาพมาแล้ว แต่มันถูกบีบอัดได้ในทันที และสลายกลายเป็นกลุ่มควัน

 

ไม่ใช่แค่ร่างของจอมมารเท่านั้น แต่รวมถึงสิ่งของต่างๆ ที่อยู่กับร่างกายของเขาด้วย

 

อย่างไรก็ตามสิ่งที่ซูฉินไม่คาดคิดคือหนังสัตว์ที่ขาดรุ่งริ่งชิ้นดังกล่าวไม่ได้หายไปพร้อมกับจอมมาร แต่มันยังคงอยู่

 

“หนังสัตว์ที่สามารถทานทนพลังฟ้าดินได้?”

 

เกิดความสนใจขึ้นในใจของซูฉิน เขาจึงเบิกเนตรดวงตาแห่งสัจจะทันทีเพื่อยืนยันซ้ำ ให้แน่ใจว่าไม่มีอันตรายใด จากนั้นจึงยื่นมือขวาออกไป ดูดหนังสัตว์มาไว้ในมือ

 

หลังจากที่เข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินก็พัฒนาขึ้นอย่างมาก และถึงขนาดแทรกแซงโลกแห่งความเป็นจริงได้

 

หวือ

 

ทันทีที่หนังสัตว์ที่ขาดรุ่งริ่งนั้นตกลงมาบนมือของซูฉิน ความเย็นก็แพร่ออกมาราวกับถือก้อนน้ำแข็ง

 

“หนังสัตว์นี่ไม่ปกติแล้ว”

 

ซูฉินดูเคร่งขรึมขึ้นมาเล็กน้อย

 

ในตอนนี้เขาก็ได้พบว่าแผ่นหนังสัตว์นั้นขาดรุ่งริ่งมาตั้งแต่แรกแล้ว ไม่ได้ขาดเพราะแรงกดดันจากพลังฟ้าดินเมื่อครู่

 

“หนังสัตว์แผ่นนี้ ไว้ข้าจะเก็บกลับไปดูในภายหลัง”

 

“ตอนนี้ต้องจัดการปัญหาสาวกพรรคมารพวกนี้ก่อน”

 

ซูฉินเงยหน้าขึ้นมามองกลุ่มสาวกพรรคมารที่ยืนอยู่อย่างหวาดกลัว

 

ในขณะที่มองอยู่นี้ สาวกพรรคมารก็ลดศีรษะลงทีละคน ไม่มีใครกล้ามองตรงๆ ไปที่ซูฉินเลย

 

“ในเมื่อพวกเจ้ากล้าที่จะบุกมา ก็จงอยู่เสียที่นี่เถอะ”

 

โดยปกติแล้วซูฉินไม่ได้รู้สึกสงสารใครเท่าไหร่แม้จะเป็นผู้หญิงก็ไม่ใช่ข้อยกเว้น ก่อนหน้าที่จะเป็น ‘อรหันต์‘ นั้น ตัวเขาอาจจะต้องเสียเวลาเล็กน้อยในการสังหารสาวกพรรคมารกลุ่มนี้ สาวกเหล่านี้ไม่ใช่ท่อนไม้ที่จะอยู่นิ่งเฉย พวกมันล้วนต้องกระจายกันหลบหนี

 

แม้ซูฉินจะมีดวงตาแห่งสัจจะในการจับพลังฉี แต่ก็ต้องใช้เวลาในการสังหารพวกมันทีละคน

 

แต่ตอนนี้

 

ซูฉินได้เข้าสู่ระดับ ‘อรหันต์‘ แล้ว และสามารถควบคุมพลังฟ้าดินในรัศมีไม่กี่ลี้รอบกายได้อย่างง่ายดาย พวกสาวกพรรคมารล้วนอยู่ในขอบเขตรัศมีนี้ทั้งหมด ความเป็นความตายของพวกมันนั้นได้อยู่ในกำมือของซูฉิน

 

“อย่าทำอะไรพวกเราเลย”

 

“สงฆ์ศักดิ์สิทธิ์…ไม่สิ ท่านอรหันต์ให้อภัยพวกข้าเถิด พวกข้ารู้ตัวในความผิดครั้งนี้แล้ว”

 

“ข้าขอร้องล่ะ ท่านอรหันต์โปรดปล่อยพวกเราไปสักครั้งเถิด ตัวข้าเต็มใจจะถูกขังไว้ในหอคอยสะกดมาร…”

 

สาวกพรรคมารจำนวนนับไม่ถ้วนต่างวิงวอนอย่างขื่นขม

 

แต่ก็เท่านั้น

 

ช่วงเวลาต่อมา

 

พลังอันยิ่งใหญ่ของฟ้าดินก็กวาดผ่านพื้นที่ทั้งหมด

 

แววตาของสาวกพรรคมารต่างมืดหม่นอย่างรวดเร็ว และล้มพับลงกับพื้น

 

หลังจากจัดการกับสาวกพรรคมาร ซูฉินก็เหลือบมองไปที่ศิษย์ทั้งหลายของวัดเส้าหลินที่ยังคงตกตะลึงอยู่จากที่ไกลๆ จากนั้นจึงก้าวเท้าออกไปข้างหน้าแล้วจึงหายไปจากสถานที่นั้น

 

 

อันตรายของวัดเส้าหลินที่มาพร้อมกับการบุกรุกของพรรคมารในที่สุดก็จบลงด้วยเหตุการณ์ที่เหมือนกับฝันไป

 

จากระยะเวลาที่หายตัวไปนานกว่าห้าสิบปี จอมมารกลับมาสู่ยุทธภพอีกครั้งและต้องการจะใช้เลือดเนื้อของสงฆ์ศักดิ์สิทธิ์นิรนามเป็นหินรองเท้าก้าวเดินไปเบื้องบน แต่สุดท้ายมันกลับนำพาพรรคมารที่ยิ่งใหญ่ให้พินาศลงจนหมดสิ้น

 

เหล่าหัวหน้าตำหนักรู้สึกเหมือนกำลังตกอยู่ในความฝัน ทั้งหมดเตรียมที่จะกอดคอกันตายไปพร้อมกับการล่มสลายของวัดเส้าหลิน แต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นจนพลิกผันสถานการณ์ไปเช่นนี้

 

“ท่านเจ้าอาวาส นี่มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่…”

 

หัวหน้าฝ่ายวินัยสงฆ์หันหน้าไปมองเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินอย่างไม่ได้ตั้งใจและถามออกอย่างไม่แน่ใจนัก

 

เมื่อมีคนเริ่มพูดออกมา

 

หัวหน้าตำหนักคนอื่นๆ และศิษย์ทั้งหลายที่ยังคงติดอยู่ในอาการตกใจ ทั้งหมดมองไปที่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินเพื่อรอคำอธิบาย

 

แม้วิกฤตของวัดเส้าหลินจะคลี่คลายไปแล้ว แต่ก็เกิดข้อสงสัยที่ใหญ่เสียยิ่งกว่าปรากฏขึ้นมาในใจของศิษย์ทุกๆ คน

 

‘อรหันต์‘ ที่สังหารจอมมารได้เพียงแค่ขยับตัว นี่มันเรื่องบ้าอะไรกัน

 

“ข้าก็ไม่รู้เรื่องนี้เช่นกัน…”

 

ฮุ่ยเหวินเงียบไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยตอบตามความเป็นจริง

 

ถ้าเขารู้ว่ามี ‘อรหันต์‘ อยู่ในวัดเส้าหลิน เขาจะหมดสิ้นความหวังยามเผชิญหน้ากับจอมมาร ราวกับคนที่ตายไปแล้วได้เยี่ยงไร?

 

เสียงของเจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินค่อยๆ แผ่วลง

 

หัวหน้าตำหนักและเหล่าศิษย์ต่างก็พูดไม่ออกกันเลยทีเดียว

 

หากแม้แต่เจ้าอาวาสฮุ่ยเหวินยังไม่ทราบว่าเกิดอะไรขึ้น พวกเขายิ่งมืดแปดด้านเลยมิใช่หรือ

 

ในขณะนั้นเองหัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์พลันนึกบางสิ่งขึ้นมาได้ เขาดูมีความสุขมากและมองไปที่หัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่

 

“ศิษย์น้อง เจ้าก็อยู่ลานจิปาถะมานาน เจ้าต้องรู้จักตัวตนของคนผู้นั้นใช่หรือไม่?”

 

หัวหน้าตำหนักยุทธสงฆ์จ้องไปที่หัวหน้าคนใหม่ของลานจิปาถะ

 

คนอื่นๆ ต่างก็แอบพยักหน้าตาม

 

ใช่สิ

 

ตัวตนของบุรุษผู้นั้นสังกัดอยู่ลานจิปาถะเป็นเวลานานกว่ายี่สิบปี หัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่ต้องพอรู้เรื่องราวอยู่บ้างไม่มากก็น้อย

 

หัวหน้าลานจิปาถะคนใหม่ : “……”

 

หากแม้พวกเจ้าก็ยังไม่ทราบ แล้วข้าจะไปทราบได้อย่างไรเล่า?

 

“ข้าก็มิทราบเหมือนกัน”

 

หัวหน้าคนใหม่แห่งลานจิปาถะกัดฟันแล้วพูดออกมา

 

 

ในเวลาเดียวกัน

 

ที่ลานจิปาถะ

 

ซูฉินออกจากโถงศาลาการประชุมใหญ่แล้วมาที่ลานจิปาถะแห่งนี้

 

“ตัวตนของข้าถูกเปิดเผยเสียแล้ว”

 

ซูฉินนั่งขัดสมาธิ สีหน้าของเขาเต็มไปด้วยอารมณ์ความรู้สึก

 

ในความเป็นจริงแล้ว เมื่อซูฉินทะลวงฝ่าขอบเขตจนไปถึงระดับ ‘อรหันต์‘ เขาไม่สนใจว่าตัวตนของเขาจะถูกเปิดเผยหรือไม่

 

ก่อนที่จะแข็งแกร่งไร้พ่าย ต้องใจเย็น อดทนรอให้เป็น

 

แต่ยามที่แข็งแกร่งไร้พ่ายแล้ว จะทำอะไรต่อไปล่ะ?

 

อย่างน้อยๆ ตามที่ซูฉินรู้มาก็ไม่มีจอมยุทธระดับ ‘อรหันต์‘ ปรากฏตัวมาเป็นร้อยปีแล้ว

 

กล่าวอีกอย่างก็คือ ด้วยความแข็งแกร่งของซูฉินในขณะนี้ เขาไม่จำเป็นต้องสนใจสิ่งใดบนโลกนี้อีกแล้ว

 

ในการจัดการกับ ‘อรหันต์‘ มีเพียงการดำรงอยู่ในระดับเดียวกันเท่านั้นจึงจะสามารถกระทำได้

 

“แต่หนังสัตว์ที่อยู่กับจอมมารคือสิ่งใดกันแน่?”

 

เพียงแค่คิด แผ่นหนังสัตว์ที่ขาดรุ่งริ่งก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าของเขา

 

หนังสัตว์นั้นอยู่ในสภาพทรุดโทรม และดูเหมือนมันจะมีอายุเพียงไม่กี่ปีเท่านั้น แต่สิ่งที่น่าพิศวงคือมันแผ่ความเย็นออกมาเล็กน้อย

 

“หนังสัตว์นี่เป็นของจอมมาร บางทีมันอาจจะซ่อนความลับอะไรบางอย่างเอาไว้ก็ได้?”

 

ซูฉินมองไปที่หนังสัตว์ใกล้ๆ และก็พบร่องรอยขีดเขียนบนหนังสัตว์เหมือนกับมีการบันทึกข้อมูลบางอย่างเอาไว้

 

“แผ่นจารึก?”

 

หัวใจของซูฉินวูบไหวเล็กน้อย

 

ตามสามัญสำนึกแล้ว สิ่งของต่างๆ เช่นพวกหนังสัตว์ ส่วนใหญ่จะใช้เพื่อการจดบันทึก

 

“อาจจะมีข้อมูลบางอย่าง‘ซุกซ่อน‘เอาไว้บนหนังสัตว์ผืนนี้ใช่หรือไม่?”

 

ความคิดของซูฉินโลดแล่นไปอย่างรวดเร็ว

 

“สามารถต้านทานพลังแห่งฟ้าดินได้ หนังสัตว์แผ่นนี้จะเป็นสิ่งของระดับ ‘อรหันต์‘ ด้วยหรือไม่?”

 

“และข้อมูลที่ ‘ซุกซ่อน‘ อยู่ภายในอาจจะมองเห็นไม่ได้ด้วยตาเปล่า…”

 

เมื่อคิดมาถึงจุดนี้ ซูฉินก็พิสูจน์โดยการใส่จิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ลงไปคลุมหนังสัตว์ที่ขาดรุ่งริ่งนั่น

 

ตูม!!

 

เมื่อจิตสัมผัสศักดิ์สิทธิ์ของซูฉินสัมผัสไปบนแผ่นหนังสัตว์ พลันมีเสียงดังสนั่นเกิดขึ้น