ภาค 3 บทที่ 140 งานมีเรื่องติดขัด

Jun Jiu Ling หวนชะตารัก

บทที่ 140 งานมีเรื่องติดขัด Ink Stone_Romance

ลู่อวิ๋นฉีรับราชโองการย่อมไม่มีทางไปแดนเหนือด้วยตนเอง มององครักษ์เสื้อแพรขบวนหนึ่งติดตามขันทีผู้อัญเชิญราชโองการรวมถึงผู้ตรวจการที่กุมกระบี่อาญาสิทธิ์ออกจากเมืองหลวงเร็วรี่

คนเดินทางในนอกประตูเมืองรีบร้อนหลบทาง

คนม้าขบวนนี้ผ่านไป ยังมีคนม้าเร่งรีบมาจากด้านนอกอีก

พักนี้ม้าเร็วส่งข่าวมากนัก อย่างไรแดนเหนือก็เกิดเรื่องแล้ว คนเดินทางที่หลบไปด้านข้างวิพากษ์วิจารณ์กันเสียงเบา

“คงไม่เหมือนปีนั้นบุกมาถึงเมืองหลวงแบบนั้นหรอกนะ” คนสูงอายูกังวลใจกลัดกลุ้ม

แต่คนมากยิ่งกว่าแค่นเสียงออกจมูก

“จะเป็นไปได้ยังไง เมืองหลวงตอนนี้ไม่ได้อยู่ที่เหอหนานนะ”

“อีกอย่างตอนนั้นไม่มีเฉิงกั๋วกง”

“มีเฉิงกั๋วกงอยู่ไม่มีปัญหาแน่นอน”

“ที่จริงถูกโจมตีแตกแค่วันเดียวเท่านั้น วันที่สองเฉิงกั๋วกงก็เอาคืนได้แล้ว”

“อีกอย่างก็ไม่อาจโทษเฉิงกั๋วกงได้สักหน่อย เขาก็ไม่ได้ประจำการอยู่ที่เมืองเหอเจียน จะโทษก็ควรโทษพวกขุนนางเมืองเหอเจียนสิ”

ได้ยินคำวิพากษ์วิจารณ์ของคนเดินถนนข้างทาง หัวหน้ากองร้อยเจียงก็แค่นเสียงทีหนึ่ง

“วันเดียวก็คือตีแตกได้แล้วเหมือนกัน” เขาเอ่ย “เขาไม่ได้เฝ้าอยู่เมืองเหอเจียน แต่ทั้งแดนเหนือไม่ใช่ชะเง้อมองหัวม้าของเขากันหมดหรือ เกิดเรื่องก็จะไม่โทษเขาแล้ว?”

“คำพูดของคนเหล่านี้ก็ไม่ใช่ล้วนเพื่อเขา” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย “เพื่อหวังปลอมประโลมตนเอง”

ใช่สิ หรือจะพูดว่าเฉิงกั๋วกงไม่ไหวแล้ว โจรจินจะบุกมาแล้ว ทุกคนกลัวเสียขวัญหวาดหวั่นวิตกหรือ?

หัวหน้ากองร้อยเจียงหัวเราะแล้ว

“บุตรชายเฉิงกั๋วกงว่าง่ายไปกรมปศุสัตว์แล้วจริงๆ” เขาเอ่ย

“ว่าง่าย?” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ย

จูจั้นโตจนป่านนี้ยังไม่เคยข้องเกี่ยวกับคำว่าว่าง่ายสองคำมาก่อน หวังให้เขาว่าง่ายจะเป็นไปได้อย่างไร

ไม่แน่ว่าในใจคงวางแผนเจ้าเล่ห์อะไรแล้ว

หัวหน้ากองร้อยเจียงกระแอมทีหนึ่ง

“ข้าน้อยจะจับตาเขาให้ดี ไม่ให้เขาหนีเด็ดขาด” เขาทำหน้าจริงจังเอ่ย

“ตอนนี้เรื่องที่สำคัญที่สุดของพวกเราก็คือจับตาดูเขา” ลู่อวิ๋นฉีเอ่ยขึ้น “เฉิงกั๋วกงแดนเหนือด้านนั้น ตรงกันข้ามไม่ต้องให้พวกเรากังวลใจแล้ว”

เฉิงกั๋วกงด้านนั้นตอนนี้ทั้งราชสำนักล้วนจับตาอยู่ ดำก็ดีขาวก็ดี พวกเขาย่อมมีความคิดอ่าน

กลับเป็นจูจั้น เวลานี้ฮ่องเต้ไม่มีทางอนุญาตให้เขากลับไปแดนเหนือด้วย ไม่เช่นนั้นย่อมไม่อาจควบคุมเฉิงกั๋วกงได้สักนิดจริงๆ แล้ว

หัวหน้ากองร้อยเจียงกลอกตาไปมา ขานรับอีกครั้ง

บนถนนหลวงนอกเมืองหลวงมีม้าเร็วมาอีกคน มองเห็นคนผู้นี้ หัวหน้ากองร้อยเจียงดวงตาเป็นประกาย

“เป็นคนของเหล่าจินจากซานซี” เขาเอ่ย คนก็เดินออกมาจากหอประตูเมือง

คนใกล้ๆ ประตูเมืองตอนนี้ถึงมองเห็นว่าองครักษ์เสื้อแพรอยู่ที่นี่ มองเห็นลู่อวิ๋นฉีที่ซ่อนอยู่ในเงามืดด้านในประตูอีก ฉับพลันเงียบเสียงแตกกระเจิงทันที

ม้าเร็วลงจากม้าก้าวไวๆ มาข้างหน้าแล้ว คุกเข่าข้างหนึ่งให้ลู่อวิ่นฉีเทินจดหมายฉบับหนึ่งขึ้น

เพราะศัตรูมากมายเหลือเกิน การกระทำของลู่อวิ๋นฉีจึงระวังยิ่งนัก ของที่ผู้อื่นส่งมาล้วนไม่รับง่ายๆ หลีกเลี่ยงถูกวางยาพิษลอบทำร้าย

เหมือนเช่นปกติหัวหน้ากองร้อยเจียงต้องรับจดหมายเปิดออกก่อน ลู่อวิ๋นฉีกลับรับไปก่อนแล้ว

จินสือปาเป็นคนที่เชื่อใจได้ที่สุดคนหนึ่ง นี่ไม่มีปัญหา

หัวหน้ากองร้อยเจียงละมือกลับไป

“พวกเขายังอยู่ที่หยางเฉิงหรือ?” เขาเอ่ยถาม

ลู่อวิ๋นฉีกวาดปราดเดียวผ่านกระดาษจดหมาย

“ตอนนี้ใกล้ถึงเขตแดนมณฑลเหอเป่ยซีแล้วขอรับ” เขาเอ่ย

ความเร็วเร็วพอตัวจริงๆ หัวหน้ากองร้อยเจียงยิ้ม

“หวังว่าคุณหนูจวินไปถึงก็ทำสำเร็จ” เขาเอ่ย

เช่นนี้จินสือปาก็จับคนส่งงานได้แล้ว ที่จริงก็ไม่ค่อยเข้าใจความคิดของลู่อวิ๋นฉีนัก ใยต้องรอคุณหนูจวินจัดการเรื่องหน่อฝีแล้วถึงค่อยลงมือเล่า?

หรือกังวลว่าเพราะหน่อฝีเกิดผิดพลาดคุณหนูจวินจะเสื่อมเสียชื่อเสียง?

คนก็ต้องการจับอยู่แล้ว จากนี้เงียบหายไร้ร่องรอย ยังสนใจชื่อเสียงอะไรอีก อีกอย่าง ลู่อวิ๋นฉีสนใจชื่อเสียงของคุณหนูจวินคนนี้ตั้งแต่เมื่อไร?

ตอนแรกเขาก็ถาม ลู่อวิ๋นฉีไม่ได้บอกว่าเป็นห่วงชื่อเสียงของคุณหนูจวินจริงๆ แต่พูดเพียงสามคำ

ไม่สะดวก

ไม่สะดวกอะไร? เขาคิดไม่เข้าใจ

หลังองค์หญิงจิ่วหลีรู้เข้าถึงเข้าใจขึ้นบ้าง

นางเอ่ยถามลู่อวิ๋นฉีตรงๆ ว่าต้องการทำอะไรกับคุณหนูจวิน และลู่อวิ๋นฉีก็ตอบฉับไวยิ่งนัก จับนาง

“ท่านก็รู้ผลงานการปลูกฝีสำคัญมากเท่าใด จับนางไม่สะดวก ไม่มีทางง่ายดายปานนี้ก็ถูกท่านจับ ท่านคิดอย่างไรก็เป็นอย่างนั้น” องค์หญิงจิ่วหลีเอ่ย

“ไม่ใช่” ลู่อวิ๋นฉีว่า “ไม่เกี่ยวกับผลงาน เพียงแค่นางยังมีประโยชน์ หน่อฝีไม่คลี่คลาย เรื่องเกี่ยวกับผลประโยชน์ของตน คนมากมายไม่มีทางเลิกรา รอจัดการปัญหาหน่อฝีแล้ว ไม่มีคนต้องการนางแล้วก็ไม่มีปัญหามากมายปานนั้นแล้ว”

เขาเอ่ยพลางยิ้มนิดๆ

“แน่นอน ข้าไม่กลัวปัญหา เพียงแต่เรื่องเช่นนี้ยังไงปัญหาน้อยหน่อย เงียบมากหน่อยสุขใจกว่า”

องค์หญิงจิ่วหลีมองเขาถอนหายใจเบาๆ

“ใต้เท้าลู่ คนบนโลกนี้ไม่ใช่คนทุกคนล้วนไร้หัวใจไร้คุณธรรมเช่นนี้อย่างท่าน” นางว่า “เรื่องเหล่านี้ที่นางเคยทำ ไม่มีทางถูกคนลืมเลือนไปเช่นนี้ได้ แล้วก็ไม่ใช่คนทั้งหมดจะกลัวท่าน”

ลู่อวิ๋นฉีหืมทีหนึ่ง

“งั้นหรือ?” เขาเอ่ยราบเรียบ “ถ้าอย่างนั้นโลกนี้ก็ดีงามเอาการอยู่นะ”

……………………………………….

“ข้ารู้อยู่แล้วเชียวว่าคุณหนูจวินออกโรงต้องไม่มีปัญหาแน่นอน”

ยามที่ฝนใหญ่ห่าหนึ่งคลายความร้อนอบอ้าวของฤดูร้อนอันร้อนระอุไป เฉินชีก็พามารดามาถึงเมืองหลวงแล้ว ที่ติดตามมายังมีข่าวคุณหนูจวินที่มณฑลเหอเป่ยซี

ท่านหมอเฒ่าเฝิงอยู่ที่โรงหมอจิ่วหลิงเอ่ยขึ้นอย่างตื่นเต้น

ฟางจิ่นซิ่วมองท่านหมอเฒ่าเฝิงที่เห็นชัดว่าผอมลงไปรอบหนึ่ง ดวงตาอดนอนจนแดงอยู่บ้างก็ยิ้ม

“มองไม่ออกนะ” นางเอ่ย

ท่านหมอเฒ่าเฝิงยิ้มขัดเขินแล้ว ส่วนเฉินชีอดไม่ได้คิดถึงฟางเฉิงอวี่ขึ้นมาอีก

“จิ่นซิ่ว น้องชายของเจ้าช่างพูดเก่ง หยอกเสียจนคนจิตใจเบิกบาน” เขาเอ่ย

“อย่าหลงตัวเอง เขาไม่ได้จะหยอกเจ้า” ฟางจิ่นซิ่วเหล่ตามองเขาเอ่ยขึ้น

เฉินชีก็ขัดเขินบ้าง

“ที่แท้เกิดเรื่องอะไรขึ้น? ปัญหาเรื่องหน่อฝีหรือ?” เขาคิดถึงเรื่องสำคัญขึ้นมาได้รีบร้อนเอ่ยถาม

ท่านหมอเฒ่าเฝิงพยักหน้า

“เป็นปัญหาเรื่องหน่อฝีจริงๆ” เขาเอ่ย

สีหน้าเฉินชีวิตกเล็กน้อย หากต้นเหตุมาจากหน่อฝีจริงๆ ถ้าอย่างนั้น…

“แต่หน่อฝีนี่เป็นของปลอม” ท่านหมอเฒ่าเฝิงเอ่ยต่อ

เฉินชีสูดลมหายใจเฮือกถลึงตามองเขา

“เซียงโจวมีหมอหลายคนเห็นกำไรมากมายจากการปลูกฝี และเพราะรู้หลักการของหน่อฝี จึงลักลอบเก็บหน่อฝีจากตัวคนที่ปลูกฝี ปลอมเป็นหมอปลูกฝีของทางการ ปิดบังชาวบ้านจำนวนหนึ่ง ผลสุดท้ายหน่อฝีเหล่านั้นเก็บมาไม่เคร่งครัดพอ ความเป็นพิษมากเกินไป ทำให้เกิดปัญหา” ฟางจิ่วซิ่วเอ่ย

เช่นเดียวกับท่านหมอเฒ่าเฝิง ฟางจิ่นซิ่วก็รู้เรื่องโดยละเอียด ถึงขั้นเร็วกว่าท่านหมอเฒ่าเฝิงสองวันด้วยซ้ำ

ได้ยินถึงตรงนี้เฉินชีถึงตบหน้าอกผ่อนลมหายใจ

“ท่านหมอเฒ่าเฝิง ท่านทำข้าตกใจตายแล้ว” เขาเอ่ย

               ท่านหมอเฒ่าเฝิงหัวเราะฮ่าฮ่าแล้ว ทั้งท่าทางปลงอยู่บ้างอีกครั้ง

“ที่จริงคนของพวกเราก็สงสัยว่าสาเหตุคือหน่อฝีปลอม แต่จนปัญญาที่ชาวบ้านไม่เชื่อ” เขาเอ่ย “ยังไงคุณหนูจวินไปถึง พูดแล้วพวกเขาคงเชื่อแล้ว”

เฉินชีถูมือ

“ไม่ว่าอย่างไร เรื่องราวคลี่คลายเป็นใช้ได้” เขาเอ่ย แล้วมองไปทางฟางจิ่นซิ่วอีกครั้ง “ถ้าอย่างนั้นคุณหนูจวินจะตรงมาเมืองหลวงเลยไหม? หรือว่ากลับหยางเฉิง?”

ฟางจิ่นซิ่วขมวดคิ้วเล็กน้อย

“ใครจะรู้นาง”นางเอ่ย “ก็ไม่มีข่าวแน่ชัดสักข่าว”

ไม่มีข่าวแน่ชัด? หมายความว่ายังไง? ไม่รู้ว่าจะไปไหนหรือ?

หลังฝนใหญ่ ท้องถนนเต็มไปด้วยโคลนเลน ขบวนรถที่เดินทางกลายเป็นเชื่องช้า คนร้องตะโกนม้าส่งเสียงแลดูเอะอะวุ่นวายอยู่บ้าง

เหลยจงเหลียนควบม้ามาถึงข้างรถคุณหนูจวิน

เวลานี้พวกเขาออกจากเซียงโจวแล้ว มุ่งลึกเข้าไปในมณฑลเหอเป่ยซี กลิ่นอายของหน้าร้อนอันร้อนระอุคลายลงไปแล้ว หลังสายฝนเย็นสบายยิ่งนัก

ม่านรถเลิกขึ้น หลิ่วเอ๋อร์กำลังพิงหน้าต่างสะบัดดอกไม้ป่าช่อหนึ่งฮัมเพลง ส่วนคุณหนูจวินสีหน้าราบเรียบมองสีเขียวขจีด้านนอก เห็นชัดว่าผ่อนคลายและสบายใจ

น่าเสียดายก็แต่สถานการณ์ตอนนี้ไม่ผ่อนคลายและไม่น่าสบายใจ

“คนขององครักษ์เสื้อแพรตามาอีกแล้วขอรับ” เหลยจงเหลียนเอ่ยเสียงเบา

……………………………………….