ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 200 นักท่องเที่ยว

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

ชุดเกราะเก่าทั่วทั้งตัว ฝุ่นธุลีทั่วทั้งตัว นั่งเฝ้าสุสานคัมภีร์นับร้อยปี

เฉินฉางเซิงมองศาลาหลังนั้นจากที่ไกลๆ มองขุนพลเทพมหัศจรรย์ที่อยู่ใต้ศาลาท่านนั้น เงียบขรึมไร้คำพูด

นานๆ ทีจะมีลมพัดนำละอองน้ำจากน้ำตกลอยเข้าไปในศาลา ตกอยู่บนเกราะเก่า แต่ก็ไม่สามารถชำระล้างฝุ่นธุลีบนเกราะได้ กลับอาจจะทำให้สนิมบนเกราะกร่อนเร็วขึ้น คนในเกราะไม่ขยับ นั่งอยู่บนก้อนหิน ก้มศีรษะ จับกระบี่ เหมือนกับนอนหลับไปแล้ว

หลายร้อยปีผ่านมา ฮั่นชิงผู้เป็นที่หนึ่งแห่งขุนพลเทพได้รับตำแหน่งผู้เฝ้าสุสานของสุสานเทียนซูมาตลอด นี่ถือเป็นเกียรติอย่างยิ่งชนิดหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย ไม่ว่าลมฝนหรือหิมะโปรย นั่งเอ้อระเหยเฝ้าอยู่หน้าสุสานทั้งเช้าทั้งเย็น จนกระทั่งฝังตัวเองเป็นส่วนหนึ่งของสุสานเทียนซูด้วย นี่เป็นชีวิตที่เงียบเหงาโดดเดี่ยวระดับไหน?

มองดูภาพฉากนี้ เฉินฉางเซิงพลันนึกถึงจินอวี้ลวี่ หลังจากพังประตูสำนักของสำนักฝึกหลวงเข้าไปได้ ที่จินอวี้ลวี่นั่งอยู่บนเก้าอี้ไม้ไผ่ก็เป็นประตูสำนัก เพียงแต่เมื่อเทียบกับขุนพลเทพมหัศจรรย์ใต้ศาลาท่านนี้ ท่านั่งต่างกันอย่างมาก จากนั้นเขานึกถึงสงครามใหญ่สนามนั้นเมื่อร้อยปีที่แล้ว ใจคิดว่าจินอวี้ลวี่อาจรู้จักคนคนนี้ก็เป็นได้

เขามิได้จากไป แต่ก็มิได้ไปข้างหน้า คั่นด้วยคลองตื้นๆ สิบกว่าสาย มองดูใต้ศาลาอย่างเงียบๆ เงียบขรึมไปพักใหญ่ อย่างไรเขาก็เป็นเพียงชายหนุ่มอายุสิบห้าคนหนึ่ง นานๆ ทีทอดถอนใจ บังเกิดอารมณ์ซับซ้อนลอยผ่าน แต่ก็ไม่ต่อเนื่องกันนานเกินไป สิ่งที่มากกว่ายังคงเป็นความเคารพยำเกรงและความสะเทือนใจ

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด เขาทำความเคารพไปหนึ่งทีกับศาลา แล้วหันหลังจากไป เดินเล่นต่อไปในทิวทัศน์บริเวณรอบๆ ของสุสานเทียนซู

……

……

ทิวทัศน์ของวังศึกษา จริงๆ แล้วงดงามกว่าทิวทัศน์ของสุสานเทียนซู เพียงแต่ความสวยงามนั้นเหมือนมีความรู้สึกแปลกปลอมที่ตัดขาดจากโลกภายนอกอยู่เสมอ หรืออาจเพราะเหล่าท้องฟ้าสีฟ้าเข้มและชั้นเมฆที่ขาวบริสุทธิ์สวยสมบูรณ์เกินไปเป็นสาเหตุ หากใช้เวลาดูนานหน่อย ก็ง่ายที่จะเบื่อหน่าย ทำให้ความรู้สึกมีแรงกระตุ้นอยากออกห่าง

ลั่วลั่วยืนอยู่ที่ข้างๆ ราวจุดบนสุดของตำหนักใหญ่ มองดูเมฆขาวราวกับใยราวกับไหมที่อยู่ไกลๆ ดวงหน้างดงามเล็กๆ แสดงออกความไม่สบอารมณ์นิดหนึ่ง กล่าวขึ้น “เพราะเหตุใดข้าถึงไปสุสานเทียนซูไม่ได้?”

เฉินฉางเซิงกับถังซานสือลิ่วไปสุสานเทียนซู จินอวี้ลวี่ออกจากพระราชวังก็มาดูนางที่วังศึกษา ได้ยินถ้อยคำดังกล่าว เขาก็พูดอย่างทุกข์ระทมขมขื่น “องค์หญิง แน่นอนว่าท่านสามารถเข้าสุสานเทียนซูได้ เพียงแค่ท่านอยากเข้า จะเข้าสุสานเทียนซูเมื่อไรก็ได้ แต่ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่ว่าท่าน…ไม่มีคะแนนในการสอบใหญ่หรือ?”

“แล้วทำไมเจ๋อซิ่วสามารถเข้าได้?” ลั่วลั่วเอี้ยวกายหันกลับมาถาม

“วั่วฟูเจ๋อซิ่วเพียงผีวิญญาณเร่ร่อนตัวหนึ่ง” จิวอวี้ลวี่มองดูนาง สีหน้าเข้มงวดพูดว่า “ที่หนึ่งของคุณงามความดีทางทหารราชสำนักโจว ฉะนั้นตั้งแต่เหนียงเหนียงไปจนถึงสำนักเด็ดดารา ทุกคนวางตัวต่อเขาใช้ได้ แต่ถึงอย่างไรเขาก็…เป็นแค่ผีวิญญาณเร่ร่อนตัวหนึ่ง เผ่ามนุษย์ไม่ต้องระวังมากเกินไป และก็ไม่จำเป็นต้องให้ความสำคัญมากเกินควร”

“หวังว่าอาจารย์จะช่วยเด็กน่าสงสารคนนี้ได้” ลั่วลั่วพูดด้วยความสงสารเล็กน้อย นางมีอายุน้อยกว่าเจ๋อซิ่วเล็กน้อย แต่นางเป็นองค์หญิงของเผ่าปีศาจ ในสายตานาง ชายหญิงหนุ่มสาวของเผ่าปีศาจทั้งหมดล้วนเป็นเด็กๆ และฐานะสายเลือดบนตัวเจ๋อซิ่วทำให้นางเห็นใจมาก นางคาดหวังเฉินฉางเซิงจะสามารถช่วยเหลือเจ๋อซิ่วได้จริงๆ

จิวอวี้ลวี่ถอนหายใจพลางกล่าว “ปัญหาของวั่วฟูเจ๋อซิ่วเมื่อเทียบกับองค์หญิงแล้วยากจะแก้ไขยิ่งกว่า หากไม่ใช่เป็นเพราะยากที่จะแก้ มารดาของท่านอาจสั่งคนให้พาเขากลับเมืองไป๋ตี้ไปนานแล้ว จะปล่อยให้เขาเร่ร่อนในที่ราบหิมะหลายปีอาศัยการฆ่าเผ่ามารที่พลัดฝูงหลงมาตัวเดียวเพื่อให้ตนเองอยู่รอดได้อย่างไร”

ลั่วลั่วรู้ว่าสิ่งที่จินอวี้ลวี่พูดนั้นเป็นความจริง ถอนหายใจเบาๆ แล้วถามกลับว่า “สุสานเทียนซูไม่สะดวกที่จะเข้า แล้วสวนโจวล่ะ?”

มีเพียงขั้นทะลวงอเวจีเท่านั้นถึงจะเข้าสวนโจวได้ แต่นางเชื่อว่าตัวเองสามารถผ่านขั้นนั้นไปได้ภายในระยะเวลาหนึ่งเดือน แม้จะไม่ได้ไปชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่สุสานเทียนซู

“แม้ว่าองค์หญิงท่านจะสามารถผ่านขั้นได้สำเร็จจริง ฝ่าบาทก็ไม่ยอมให้ท่านเข้าสวนโจว”

จินอวี้ลวี่พูดว่า “ถึงแม้ฝ่าบาทจะตกลงแบบอ้อมๆ นักปราชญ์ทั้งสองท่านในจิงตูก็ไม่ให้ท่านไปเสี่ยงผจญภัยอยู่ดี”

……

……

บนขั้นบันไดหน้าสำนักการศึกษากลาง เหล่านักบวชและข้าราชการต่างยุ่งกันอย่างต่อเนื่อง บ้างขึ้นบ้างลง มองไปเหมือนกับมดตามหาของกิน ตอนนี้สีท้องฟ้ามืดครึ้มขึ้นเล็กน้อย แสงสว่างของพระอาทิตย์ส่องลงบนขั้นบันไดหิน ส่องทอดเงาที่ลากยาวของพวกเขา บนขั้นบันไดหินประหนึ่งมีไฟลุกขึ้นมา ผู้คนเดินทะลุผ่านระหว่างกลาง

ส่วนลึกสุดของสถาปัตยกรรมเป็นห้องที่เต็มไปด้วยดอกเหมย ใต้เท้ามุขนายกเหมยหลี่ซาเปิดตาขึ้น ถามอย่างอิดโรยว่า “เด็กคนนั้นทำอะไรอยู่?”

อาจารย์ซินอยู่ข้างๆ พะอืดพะอม กลั้นไว้ตั้งนานถึงกล่าวว่า “เขา…เดินเล่นไปทั่ว เหมือนกับกำลังชมทิวทัศน์”

“ชมทิวทัศน์?”

ใต้เท้าเหมยหลี่ซาทอดมองพลบค่ำที่กำลังลุกไหม้นอกหน้าต่าง สายตาขุ่นมัวถูกล้างด้วยแสงสว่าง พลันสดใสขึ้นมาอย่างยิ่ง สีหน้าแปลกใจ ถาม “อย่าบอกนะว่าตั้งแต่เช้าจนถึงตอนนี้ เขาทำอยู่เรื่องเดียว?”

เหมยหลี่ซาขมวดคิ้วเล็กน้อย ในห้องเงียบมาก บรรยากาศจู่ๆ กดดันขึ้น

ตอนที่อาจารย์ซินคิดว่าจะนำพามาซึ่งโทสะ กลับได้ยินเสียงหัวเราะ

เสียงหัวเราะคนชราแหบเล็กน้อย แต่ฟังดูก็รู้ เป็นการหัวเราะที่มีความสุขจริงๆ ไม่มีอารมณ์อย่างอื่น

“อยู่ในสุสานเทียนซู ไม่อ่านคัมภีร์สวรรค์แต่ชมทิวทัศน์?”

เหมยหลี่ซาจับราวเก้าอี้ ค่อยๆ ลุกหยัดกายขึ้น จากนั้น ภายใต้การพยุงของอาจารย์ซิน เขาเดินมาถึงข้างหน้าต่าง มองไปยังที่ราบสีเขียวทางใต้แห่งนั้นที่กำลังลุกไหม้อยู่ในฟ้าพลบค่ำ หัวเราะแล้วส่ายหัวไปมา จากนั้นเงียบขรึมไปพักใหญ่ พูดช้าๆ ว่า “ข้าสงสัยมาก จริงๆ แล้วเขาคิดอยากทำอะไรบ้าง?”

……

……

ตำหนักรองของวังต้าหมิง ม่ออวี่วางฎีกาที่เพิ่งจัดการเสร็จ เหนื่อยล้าเล็กน้อยนวดหว่างคิ้ว มองดูตะวันที่ใกล้จะตกลงหน้าตำหนัก นึกขึ้นได้ว่าวันนี้เป็นวันแรกที่เหล่าผู้สอบหนุ่มสาวของการสอบใหญ่เข้าชมแผ่นป้ายอนุสรณ์ที่สุสานเทียนซู มองไปยังนางในที่อยู่ข้างกายถามว่า “สถานการณ์เป็นอย่างไร?”

นางในรายงานสถานการณ์ความเป็นไปของเหล่าผู้สอบหนุ่มสาวตั้งแต่ออกจากพระราชวังจนถึงเข้าสุสานเทียนซูไปรอบหนึ่ง ละเอียดยิบ ไม่มีเรื่องสำคัญใดตกหล่น

ม่ออวี่รู้สึกว่าเหมือนมีเรื่องอะไรที่ขาดหาย ขมวดคิ้วแน่นถามว่า “เฉินฉางเซิงทำอะไรไปบ้าง? ดูแผ่นป้ายอนุสรณ์ถึงแผ่นที่เท่าไหร่แล้ว?”

นางในคนนั้นไม่คิดว่าม่ออวี่จะสนใจผู้สอบคนเดียวเป็นพิเศษ หลังชะงักไปนิดหนึ่ง รีบไปนำบันทึกมาถวาย ม่ออวี่เปิดบันทึกแล้วกวาดสายตา สีหน้าแปรเปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เลิกคิ้ว สีหน้าเยือกเย็น พูดว่า “บุรุษผู้นี้ เขาคิดจะทำอะไรกันแน่?”

……

……

รายงานสถานการณ์อย่างเดียวกัน เวลาเที่ยงตรง ก็ถูกส่งเข้าไปยังบ้านตระกูลเทียนไห่

ผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหกของนิกายหลวง มุขนายกใหญ่ของโถงศักดิ์สิทธิ์ทั้งสามท่านที่เหลืออยู่ในจิงตู นั่งอยู่ในตำหนักหลักของพระราชวังหลี ดูข่าวสารที่ส่งกลับมาจากสุสานเทียนซู หมดคำจะกล่าวโดยสิ้นเชิง

วันนี้ ทั้งนครจิงตูต่างสอดส่องการกระทำของเฉินฉางเซิงในสุสานเทียนซู เพราะว่าเขาเป็นอันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ เขายังเด็กขนาดนี้ก็สามารถทะลวงอเวจี ยิ่งเป็นเพราะใต้เท้าสังฆราชแสดงออกถึงความเป็นมิตรและเอ็นดูบุรุษผู้นี้ผ่านวิธีบางอย่างถึงสองครั้ง ผู้คนล้วนอยากรู้ว่าเมื่อเขาชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เพื่อการบรรลุในสุสานเทียนซู แล้วจะนำพาความสะท้านใจอะไรมาให้อีกครั้งหรือไม่

เฉินฉางเซิงทำได้แล้ว เขาสร้างความตกตะลึงแก่จิงตูอีกครั้ง

เวลาทั้งวัน เขาไม่ได้ทำอะไรเลย ชมแผ่นป้ายอนุสรณ์เพื่อการบรรลุ? เขาไม่ได้อ่านป้ายหินสักแผ่น เขาไม่แม้กระทั่งเดินเข้าไปในสุสานเทียนซูอย่างแท้จริง เขาเพียงเดินเอื่อยเฉื่อยรอบๆ สุสานเทียนซูรอบหนึ่ง ชมทิวทัศน์จำนวนมาก เหม่อลอยไปก็มาก เหมือนกับนักท่องเที่ยวคนหนึ่งอย่างแท้จริง และยังเป็นนักท่องเที่ยวแบบที่ว่างมากที่สุดด้วย