ตอนที่ 553 โครงกระดูกหลังกำแพง

พันธกานต์ปราณอัคคี

ทุกคนรู้สึกเพียงตรงหน้าบมีประกายแสงกะพริบวาบหนึ่ง ในห้องหินปรากฏอาชาสีขาวหิมะท่าทางสดใสร่าเริงเพิ่มขึ้นมาตัวหนึ่ง กลางหน้าผากของมันมีเขาสีทองเขาหนึ่งเปล่งแสงแวววับ ดึงดูดสายตาจากผู้คน 

 

 

พวกเขาถึงได้เข้าใจว่านี่มิใช่อาชาธรรมดา แต่เป็นอสูรเขาเดียวที่พบเห็นได้ยากยิ่ง 

 

 

พูดถึงอสูรเขาเดียวที่พบเห็นได้ยาก แน่นอนว่ามิใช่อสูรวิญญาณที่หาได้ยากเป็นพิเศษพรรค์นั้น แต่อสูรเขาเดียวนั้นเป็นอสูรปีศาจที่อาศัยรวมกันเป็นกลุ่ม ดำรงชีพอยู่ในป่าลึก อีกทั้งยังมีจิตใจบริสุทธิ์ยากจะโดนความชั่วร้ายครอบงำ ไม่ใช่เรื่องง่ายที่คนธรรมดาคิดอยากจะจับอสูรวิญญาณชนิดนี้ 

 

 

เขาน้อยค่อยๆ เดินเข้ามาหาโจวจงอวี่ทีละก้าว 

 

 

ผู้คนต่างมองไปทางมั่วชิงเฉิน แล้วครุ่นคิดถึงเรื่องบางอย่าง 

 

 

ช่างเป็นคนที่มองไม่ออกเลยจริงๆ ไม่คิดว่าสหายมั่วผู้นี้จะเลี้ยงอสูรวิญญาณถึงสองตัว ทั้งยังมีระดับไม่ต่ำอีกด้วย 

 

 

มั่วชิงเฉินเพียงจดจ่ออยู่กับเขาน้อย ไม่ได้สนใจสายตารอบข้างแต่อย่างใด 

 

 

ในเมื่อปล่อยให้หมาป่าน้อยและเขาน้อยออกมาแสดงตัว นางก็หาได้สนใจไม่ว่าผู้อื่นจะคิดเช่นไร 

 

 

หากเป็นเขาน้อยก็ช่างปะไร แต่หมาป่าน้อยมีพลังโจมตีอันโหดเหี้ยมของอสูรปีศาจขั้นหก เทียบเท่ากับผู้บำเพ็ญเพียรระดับก่อแก่นปราณขั้นกลาง หากรวมนางเข้าไปด้วย เกรงว่าใครคิดอยากหาเรื่องคงต้องพิจารณาอย่างถี่ถ้วนเสียแล้ว 

 

 

เขาน้อยยืนอยู่ข้างตัวของโจวจงอวี่ อดทนต่อความรู้สึกไม่สบายตัว แล้วก้มหัวลงต่ำอย่างอ่อนโยน ใช้ดวงตาที่ฉ่ำน้ำทั้งสองข้างพิจารณาดูอยู่ชั่วขณะ และพ่นลมหายใจสีทองออกมา 

 

 

ลมหายใจสีทองราวกับเป็นมังกรน้อยงดงามตัวหนึ่ง ค่อยๆ ลอยเข้าไปในรูจมูกของโจวจงอวี่ 

 

 

ผู้คนต่างมองด้วยความอัศจรรย์ใจ 

 

 

หลังจากนั้นไม่นาน ผิวกายด้านนอกของโจวจงอวี่ก็เปลี่ยนสีช้าๆ 

 

 

จุดปราณสีดำเขียวแต่ละจุดพลันขยับถอย ใช้เวลาสักพักใหญ่จนท้ายที่สุดมาบรรจบกันกลางหน้าผาก  

 

 

เขาน้อยยกเท้าหน้าถูไถบนลำตัว ไม่รู้ว่ามีถ้วยแก้วหลากสีใบเล็กปรากฏออกมาจากตรงไหน 

 

 

มุมปากมั่วชิงเฉินกระดก เจ้าเด็กนี่มีความคิดเก็บของมีค่าไว้กับตัวเมื่อใดกัน 

 

 

ราวกับใจตรงกัน เขาน้อยหันมามองมั่วชิงเฉินปราดหนึ่ง ก่อนอธิบายด้วยน้ำเสียงน่ารักน่าชังว่า “นายท่าน ถ้วยเล็กใบนี้ข้าแลกกับพี่หญิงอู๋เย่ว์มา” 

 

 

“อู๋เย่ว์หรือ” มั่วชิงเฉินดึงปากลงอีกครั้ง เจ้าอสูรวิญญาณทั้งสามของนาง ไปเรียนรู้วิธีทำข้อตกลงภายในกันเมื่อใด ใช่ตอนอยู่ในถุงอสูรวิญญาณหรือไม่ 

 

 

“ใช่แล้ว พี่หญิงอู๋เย่ว์เอาถ้วยใบเล็กมาแลกกับสุราที่เขาน้อยเก็บไว้” เขาน้อยอธิบาย 

 

 

มั่วชิงเฉินเกือบหลุดขำ อู๋เย่ว์เพื่อตามจีบอาเสวียน ยอมทุ่มเทอย่างสุดกำลังจริงๆ 

 

 

อู๋เย่ว์ที่ขดตัวนอนหลับสนิทอยู่ในถุงอสูรวิญญาณ เห็นได้ชัดว่าไม่รู้เรื่องที่ตัวเองตามจีบสามีอยู่นั้นถูกเปิดโปงแล้ว 

 

 

เขาน้อยนำถ้วยแก้วหลากสีใบเล็กวางลงพื้น เติมน้ำเข้าไป แล้วก้มหัวลง เขาสีทองกลางหน้าผากพลันเปล่งแสงสว่างออกมา จากนั้นก็จุ่มเขาลงในถ้วยแก้ว 

 

 

ผู้คนต่างชูคอมองการกระทำของเขาน้อย พบว่าน้ำสีใสกลางถ้วยแก้วค่อยๆ หมุนตามแสงสีทองส่องสว่างดั่งสีอำพัน 

 

 

เขาน้อยเงยหน้าขึ้น หันไปยิ้มให้กับมั่วชิงเฉิน “นายท่าน ท่านลองป้อนน้ำนี่ให้เขาดื่มเถิด” 

 

 

มั่วชิงเฉินเดินเข้าไป ลูบหัวเขาน้อย ก่อนยกร่างของโจวจงอวี่ขึ้นมาป้อนให้เขาดื่มช้าๆ 

 

 

เวลาผ่านไปไม่นาน ปราณสีเขียวบนหน้าผากโจวจงอวี่ค่อยๆ รวมตัวเข้าหากันทีละน้อยจนในที่สุดกลายเป็นขนาดเท่าเมล็ดพุทรา กระโดดดิ้นไปมาอย่างรวดเร็ว 

 

 

จุดสีเขียวขนาดเท่าเมล็ดพุทรานั้นเคลื่อนไหวราวกับสิ่งมีชีวิต เคลื่อนที่อยู่ภายใต้ผิวหนังอย่างดุดัน เหมือนสัตว์ที่อยากกระโจนออกจากกรง 

 

 

มั่วชิงเฉินคิดแผนบางอย่างได้ ใช้ปลายนิ้วรวบรวมพลังวิญญาณแตะลงบนหน้าผากของโจวจงอวี่ 

 

 

ของเหลวสีดำลอยออกจากกลางหน้าผากตกลงพื้น กลายเป็นควันสีดำแล้วสลายไป 

 

 

โจวจงอวี่ลืมตาขึ้นอย่างรวดเร็ว มองมั่วชิงเฉินที่อยู่ใกล้กันมากด้วยท่าทีตกตะลึง “มารดามันเถิด อเวจีก็มีสาวงามถึงเพียงนี้อยู่ด้วยหรือ”  

 

 

มั่วชิงเฉินยกมุมปาก “สหายโจว เจ้าไม่รู้สึกหรือว่าสาวงามผู้นี้ มองแล้วคุ้นหน้าอยู่บ้าง” 

 

 

โจวจงอวี่ขมวดคิ้วด้วยความสงสัย “ใช่แล้ว ดูคุ้นหน้าคุ้นหน้าเสียจริง เอ๋…สหายมั่วหรือ!” 

 

 

ท่าทางตกใจราวกับเห็นผีของเขา ทำให้ผู้คนไม่น้อยส่งเสียงหัวเราะออกมา 

 

 

“ข้า ข้าไม่ใช่โดนน้ำตาเทียนมรณะครอบงำจนปราณแค้นเข้าแทรกหรือ นี่ นี่เกิดเรื่องอันใดขึ้น” โจวจงอวี่กระโดดถามขึ้นด้วยความรู้สึกกระปรี้กระเปร่าราวกับพยัคฆ์เหาะมังกรเหินโดยไม่รู้ตัว 

 

 

หลี่ซ่าที่เห็นเช่นนั้นในใจเกิดมีน้ำโห มีสิทธิ์อะไร! ไอ้หมอนี่ทำร้ายตน ผลคือแม้ว่าใช้ปทุมหยกอริยะหอมบังคับขจัดปราณแค้นออก แต่กลับทรมานราวกับลูกนกจมน้ำ ส่วนเขากลับมีท่าทีเหมือนลูกวัวที่เพิ่งคลอดเสียอย่างนั้น! 

 

 

เมื่อในใจคิดเช่นนี้ จึงทนไม่ไหวใช้พละกำลังทั้งหมดฟาดโจวจงอวี่คราหนึ่ง ฝืนใช้แรงต้านความรู้สึกเวียนศีรษะ ก่อนกัดฟันพูดขึ้น “หยุดชักดิ้นชักงอได้แล้ว เพราะสหายมั่วช่วยเจ้าไว้ต่างหากเล่า!” 

 

 

จากนั้นก็อธิบายเหตุการณ์ทั้งหมดโดยเร็วรอบหนึ่ง 

 

 

โจวจงอวี่ที่รู้สึกกลัวขึ้นมาในภายหลัง มองมั่วชิงเฉินด้วยความทราบซึ้ง ยกมือขึ้นคารวะ “ขอบคุณสหายมั่วที่ช่วยชีวิต เช่นนั้น หากในอนาคตสหายมั่วมีเรื่องอันใด ข้ายินดีช่วยเหลือสุดความสามารถ” 

 

 

ภายในใจมีความรู้สึกกลัดกลุ้ม เรื่องฟันหน้าสองซี่ที่หายไปของเสียวโฉว ดูท่าจะไม่มีโอกาสได้รายงานเสียแล้ว 

 

 

ไม่ถูกๆ คนเขาเป็นถึงผู้มีพระคุณของตน เหตุใดยังคิดถึงเรื่องฟันหน้าอีกเล่า 

 

 

ขณะโจวจงอวี่แอบด่าตัวเองอยู่ในใจ ก็เห็นมั่วชิงเฉินยิ้มด้วยความจริงใจมากกว่าเดิม 

 

 

“เช่นนั้นข้าน้อยจะจดจำไว้” มั่วชิงเฉินยิ้มตอบ 

 

 

โจวจงอวี่ตะลึงงัน ในใจคิดว่าเรื่องนี้ไม่มีเหตุผลเสียเลย นางตอบโดยไม่ทันคิด นี่เป็นเรื่องไร้ค่าไม่ควรเก็บมาคิดเลยหรือ 

 

 

เฮ้อ แล้วของชีวิตของตนอาศัยอะไรถึงควรค่าให้กล่าวถึงกันเล่า ใครกล่าวหาเช่นนี้ จะด่ามันให้ยับ 

 

 

เมื่อคิดเช่นนี้ พลันรู้สึกว่ามั่วชิงเฉินคือมิตรแท้โดยแท้จริง มองดูแล้วก็รู้สึกสบายตาขึ้นมา 

 

 

มั่วชิงเฉินกลับไม่รู้เลยว่าสายตาที่มองมาด้านหน้าเป็นสิ่งที่หาได้ยากยิ่งสำหรับคนผู้นั้น นางเก็บเขาน้อยใส่ถุงอสูรวิญญาณ พูดขึ้นว่า “สหายทุกท่าน พวกเราสำรวจกันต่อเถิด” 

 

 

กลุ่มคนจำนวนนี้ล้วนเป็นยอดฝีมือแนวหน้า ผ่านประสบการณ์จากโลกดวงดาวในไม่กี่ปีมานี้ หากพูดถึงพละกำลังกลับไม่มีผู้ใดเป็นที่ยอมรับ แต่ต่างรู้ตัวดีว่ามั่วชิงเฉินคือผู้เดียวที่สามารถรอดพ้นจากอันตรายได้ ในใจชื่นชมนางไปแล้วหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว 

 

 

ทั้งอสูรวิญญาณของนางที่มีทักษะยอดเยี่ยม ยิ่งทำให้ความรู้สึกที่มีต่อนางไม่เหมือนเดิม  

 

 

หากจะพูดว่าก่อนหน้าที่จะเข้าสู่โลกดวงดาวมั่วชิงเฉินไม่ได้มีใครพูดถึงเลย แม้รู้ว่านางมีพรสวรรค์โดดเด่นกว่าคนทั่วไป แต่กลับไม่คิดว่านางจะเป็นศิษย์รักของเหอกวงเจินจวิน และคู่บำเพ็ญของลั่วหยางเจินจวิน แต่ในตอนนี้สิ่งที่คิดถึงเป็นอันดับแรก กลับเป็นชื่อของนักพรตชิงเฉิง 

 

 

“สหายทุกท่านดูตรงนี้ กำแพงนี่ดูผิดปกติ” นักพรตปี้เหลยตะโกนขึ้น 

 

 

ทุกคนเดินเข้าไปดู ใช้เวลาเพียงชั่วครู่พิจารณากำแพงอีกฝั่งที่มีน้ำตาเทียนมรณะหยดลงมา 

 

 

บริเวณนั้นได้คืนสภาพเป็นเหมือนเดิมเเล้ว ดูแล้วไม่มีอะไรผิดปกติ 

 

 

เวยเซิงลิ่วอดใจไม่ไหวถามขึ้น “ก็ไม่เห็นมีตรงไหนมีปัญหาเลย” 

 

 

นักพรตปี้เหลยเหล่มองเขาคราหนึ่ง คิดในใจว่าปีศาจบำเพ็ญเพียรเหล่านี้แท้จริงแล้วฝีมือไม่เท่าไหร่ ก่อนจะยื่นนิ้วมือชี้ออกไป “พวกท่านดู รอยแตกเหล่านี้ไม่ใช่รอยที่เกิดขึ้นเอง ราวกับว่าเหมือนถูกคนใช้กำลังทุบให้เปลี่ยนรูป แม้ว่าข้าน้อยจะไม่เชี่ยวชาญเรื่องค่ายกล แต่บังเอิญดูคล้ายกับที่เคยเจอเมื่อครั้งที่อยู่กับท่านอาจารย์ ในค่ายกลมีร้อยแปดพันอย่าง ที่รูปร่างเช่นนี้กลับมีไม่มากนัก” 

 

 

“เจ้าจะบอกว่าค่ายกลนี่ถูกสร้างขึ้นมาหรือ” เวยเซิงลิ่วดูอย่างไรก็มองร่องรอยของค่ายกลไม่ออก แอบคิดว่าผู้บำเพ็ญเพียรเหล่านี้แท้จริงแล้วเก่งกาจนัก 

 

 

“ไม่ผิด” นักพรตจื้อจั้นตอบ หลังจากนั้นก็เดินเข้าไปด้านหน้า หยิบสิ่งของคล้ายพิณเจ็ดสายขนาดเล็กออกมา ดีดใส่กำแพงที่อยู่อีกฝั่ง 

 

 

เสียงดีดพิณดังขึ้น แม้ฟังดูวุ่นวายไร้ทำนองที่ชัดเจน แต่กลับไพเราะเสนาะหูอย่างมาก 

 

 

นักพรตจื่อซีและนักพรตจื้อจั้นล้วนมีอายุร้อยกว่าปีแล้ว อาจพูดได้ว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรรุ่นเดียวกัน แน่นอนว่าย่อมคุ้นเคยกับเขาดี ก่อนหันไปหามั่วชิงเฉินพูดขึ้นอย่างใจเย็นว่า “คู่บำเพ็ญของนักพรตจื้อจั้นมาจากนิกายเทียนเจิ้น เชี่ยวชาญค่ายกลเสมอมา ทั้งนักพรตจื้อจั้นศึกษาเรื่องนี้อย่างลึกซึ้ง พิณเจ็ดสายทลายค่ายกลเป็นของขวัญจากคู่บำเพ็ญมอบให้เขา สามารถแก้ปัญหาค่ายกลได้ดี” 

 

 

แม้มั่วชิงเฉินจะได้ฟังที่มาเหล่านี้ ก็ยังคงถอนหายใจอย่างรู้สึกว่าไม่ธรรมดา มิน่าเล่าทั้งนิสัยและความสามารถจึงโดดเด่นเหนือผู้อื่น 

 

 

ไม่นาน ทำนองที่ฟังดูวุ่นวายไร้การควบคุมก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป ฟังแล้วนุ่มนวลและไพเราะผิดกับคราแรก นับเป็นครั้งแรกที่ได้ฟังบทเพลงอันลื่นไหลเช่นนี้ 

 

 

นักพรตจื้อจั้นยื่นนิ้วมือทั้งห้าออกมา ดึงสายพิณเส้นหนึ่ง ก่อนจับสายทั้งเจ็ดบรรเลงบทเพลงโจมตีใส่กำแพงหินคราหนึ่ง กล่าวน้ำเสียงก้องกังวาล “ทลาย!” 

 

 

เกิดเสียงแตกร้าวออกจากกัน หลังจากนั้นก็พบว่าประตูหินด้านหนึ่งเปิดออกอย่างช้าๆ 

 

 

อาจเป็นเพราะมีฝุ่นจับเป็นเวลานานมาก ทำให้มีกลิ่นเหม็นลอยคละคลุ้งอย่างรุนแรง ตามด้วยเสียงเสียดสีกันของกำแพงหินและพื้นดิน ที่ทำให้ผู้คนถึงกับเสียวฟัน 

 

 

เมื่อเห็นภาพด้านในประตูหินอย่างชัดเจน ทุกคนจึงถอนหายใจออกมาพร้อมกัน 

 

 

บนแท่งหินสีน้ำตาลเข้ม มีโครงกระดูกนั่งตัวตรงอยู่ โครงกระดูกทั้งหมดมีสภาพดี ข้อมือมีห่วงเหล็กสีดำสวมอยู่ เพราะร่างเหลือเพียงโครงกระดูก จึงห้อยอยู่กับกระดูก 

 

 

สิ่งที่ทำให้ทุกคนรู้สึกสยองขวัญที่สุดคือ กลางหัวกะโหลกของมันมีรูเล็กๆ รูหนึ่ง วัตถุลักษณะคล้ายไส้เทียนยื่นออกมาจากตรงนั้น ไม่รู้ว่าสิ่งใดถึงทำให้มันไหม้เกรียมเช่นนั้นได้ 

 

 

“นี่ นี่คือผู้บำเพ็ญเพียรที่ใช้สร้างน้ำตาเทียนมรณะขึ้นมาอย่างนั้นหรือ” นักพรตปี้เหลยกัดฟันถาม สายตามองลงด้านล่าง ก่อนกล่าวด้วยน้ำเสียงแหบแห้งโดยไม่รู้ตัว “เป็นสตรีนี่!” 

 

 

ในใจยิ่งโกรธแค้นสำนักไป่ฮวามากกว่าเดิม ยิ้มอย่างเยียบเย็น “ดูท่า ไม่แน่ว่าพวกสำนักไป่ฮวาเป็นพวกคนชั่ว!” 

 

 

ในโลกแห่งการบำเพ็ญเพียร ความชั่วร้ายของแต่ละสำนัก ไม่ได้แบ่งว่าเป็นผู้บำเพ็ญเพียรจากพรรคพรต หรือผู้บำเพ็ญเพียรจากพรรคมาร แต่ดูจากสิ่งที่พวกเขากระทำต่างหาก 

 

 

สำนักที่ถูกตราหน้าว่าเป็นกลุ่มคนชั่ว เป็นอะไรที่ทำให้ผู้คนรังเกียจเดียดฉันท์ 

 

 

การดำรงอยู่ของสำนักไป่ฮวาแท้จริงแล้วช่างห่างไกลจากสิ่งที่ทุกคนคิด หลังจากมีความประหลาดใจที่ปรากฏขึ้นในคราแรก พวกเขาก็เริ่มกวาดตามองห้องลับ 

 

 

“พวกท่านดู นั่นคือสิ่งใด” เวยเซิงลิ่วที่อยู่ใกล้ที่สุดเดินเข้าไปหากระดูกขาวที่ห่างออกไปไม่ไกล ก่อนเก็บขึ้นมาจากบนพื้น 

 

 

เป็นรางลูกคิดสีดำอันหนึ่ง ตัวลูกคิดมีสีเข้มกว่า เกรงว่าน่าจะผ่านการใช้งานมาแล้วเป็นพันปี ดูแล้วยังคงวาวใสเหมือนใหม่ ราวกับฝุ่นเหล่านี้มิอาจทำให้มันสกปรกได้เลย 

 

 

“ผังคำนวณเวหาทมิฬ” เวยเซิงลิ่วชูลูกคิดขึ้น อ่านข้อความอย่างชัดถ้อยชัดคำตามตัวอักษรสีทองที่แกะสลักอยู่มุมกรอบลูกคิด 

 

 

ทุกคนต่างจ้องมองอย่างไม่ละสายตา “สิ่งนี้คือผังคำนวณเวหาทมิฬรึ” 

 

 

เพราะกลัวว่ากลิ่นอายของส้มโอมือสีทองจะกระจายออกไปจนบุปผาพิสดารสัมผัสได้ จึงไม่มีใครกล้าสื่อสารกับส้มโอมือสีทองอีก เมื่อมองดูลูกคิดสีดำจึงแน่ใจได้ทันทีว่ามันคือผังคำนวณเวหาทมิฬที่มันกล่าวถึง 

 

 

“น่าแปลก ผังคำนวณเวหาทมิฬมิใช่ของวิเศษณ์ของนายน้อยสำนักไป่ฮวาหรือ เห็นใดถึงอยู่ข้างกายผู้บำเพ็ญเพียรหญิงคนนี้ได้” นักพรตหย่าอี้พึมพำเบาๆ 

 

 

สภาพอันน่าอนาจใจของสตรีผู้นี้ ทำให้นางรู้สึกเห็นอกเห็นใจอยู่หลายส่วน 

 

 

สื่ออิ่นกล่าวขึ้นด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ “เรื่องเหล่านี้ไม่รู้ผ่านไปกี่ปีแล้ว พวกเรากังวลไปก็ไม่มีประโยชน์ ตอนนี้มาคิดกันเถิดว่า ผังคำนวณเวหาทมิฬควรจะให้เป็นสมบัติของผู้ใด” 

 

 

ในห้องหินแห่งนี้ นอกจากโครงกระดูกหนึ่งร่าง ก็มีเพียงผังคำนวณเวหาทมิฬที่เป็นสมบัติล้ำค่าเท่านั้น เมื่อตั้งคำถามว่าของชิ้นนี้เป็นของผู้ใด บรรยากาศจึงตกอยู่ในความเงียบครู่หนึ่ง 

 

 

นักพรตจื้อจั้นพูดทำลายบรรยากาศอันเงียบงันนี้ขึ้นว่า “ข้าน้อยคิดว่า ผังคำนวณเวหาทมิฬควรเป็นของสหายเฟยหยาง พวกเราสามารถคาดเดาได้ว่าหายนะครั้งมีจุดอ่อนอยู่ สหายเฟยหยางเป็นผู้มีคุณงามความดีชื่อเสียงเลื่องลือ ยิ่งไปกว่านั้นสหายเฟยหยางยังเชี่ยวชาญโหราศาสตร์และการทำนาย หากผังคำนวณเวหาทมิฬตกอยู่ในมือเขา นับว่าไม่เป็นไข่มุกคลุกฝุ่น[1]แล้ว 

 

 

ผังคำนวณเวหาทมิฬเป็นสมบัติวิเศษซึ่งไม่เป็นที่รู้จัก ทั้งยังต้องเป็นผู้บำเพ็ญเพียรที่เชี่ยวชาญอย่างแท้จริงถึงสามารถใช้มันได้อย่างคุ้มค่า ในช่วงเวลาที่ยากลำบากนี้ ไม่มีใครเสนอความคิดอื่น ทั้งยังเห็นด้วยกับความคิดเห็นนี้ 

 

 

หลังจากนั้นทุกคนต่างสำรวจดูอย่างรอบคอบอีกคราหนึ่ง พบว่าไม่มีข้อมูลที่มีประโยชน์อันใดแล้ว จึงออกจากถ้ำแห่งนี้ 

 

 

ทว่าหากไม่มีใครหันหลังกลับไปคงไม่มีผู้ใดพบว่า ปากถ้ำที่แต่เดิมสลักคำว่า ‘ผาซือกั้ว (ผาครุ่นคิด)’ สามคำนี้ ครู่หนึ่งได้กลายเป็น ‘ถ้ำหวนซู (ถ้ำสุญตา)’ แล้ว 

 

 

 

 

 

—— 

 

 

[1] เป็นสำนวน หมายถึง ไข่มุกที่ปกคลุมไปด้วยฝุ่น เปรียบเสมือของมีค่าที่ตกอยู่ในมือคนไม่รู้จักคุณค่าของสิ่งนั้น