นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 458 สิ่งหวงแหนของบ้านตระกูลหลิน
แม่หลินเดินไปข้างหน้ายวี๋น่ากับหลินหนานและวางซุปที่ตุ๋นไว้บนโต๊ะ
ยวี๋น่าเม้มริมฝีปากแน่นพลางส่งยิ้มและพยักหน้า
ขณะที่เธอกำลังดื่มซุปอยู่นั้น กริ่งประตูก็ดังขึ้นจากข้างนอกคนใช้จึงเดินไปเปิดประตู และปรากฎร่างของซูฉิงที่เดินเข้ามาพร้อมกับอาหารเสริมมากมายพลางส่งยิ้มสดใสไปยังยวี๋น่าแเละเอ่ยขึ้นมาว่า “ฉันมาเยี่ยมเธอแล้ว ช่วงนี้เธอเป็นอย่างไรบ้างล่ะ?” ”
เมื่อเห็นว่าซูฉิงกำลังเดินเข้ามา หลินหนานก็รีบเข้าไปทักทายด้วยรอยยิ้ม มือหนาเอื้อมไปช่วยถืออาหารเสริมในมือของซูฉิงและนำมันไปเก็บไว้ในห้องครัว ซูฉิงนั่งลงข้างยวี๋น่าอย่างดีอกดีใจ เธอลอบมองดูท้องที่ปูดขึ้นเรื่อยๆของยวี๋น่า เธอแตะมือลงบนท้องของยวี๋น่าอย่างแผ่วเบาและส่งยิ้มเล็กๆให้เธอ “เด็กในครรภ์มีอายุสี่ถึงห้าเดือนแล้วใช่ไหม? หมอได้บอกเธอหรือยังว่าเป็นเด็กผู้ชายหรือเด็กผู้หญิง?”
เมื่อยวี๋น่าเห็นว่าซูฉิงนำอาหารเสริมมากมายมาให้ เธอก็อดไม่ได้ที่จะแสดงท่าทางตำหนิออกมา “ทำไมเธอถึงนำของมามากมายขนาดนี้? ฉันไม่ใช่สมบัติที่เธอจะต้องหวงแหนนะ และตอนนี้ฉันก็สบายดีแล้วด้วย”
“ใช่ที่ไหนละ ตอนนี้เธอกำลังตั้งท้องสิ่งที่ครอบครัวหลินต้องหวงแหนมากที่สุด หลังจากที่ลูกของเธอเกิดมาเธอจะต้องให้ฉันเป็นแม่ทูนหัว”
ซูฉิงยิ้มกว้าง ในตอนนี้ยวี๋น่าได้รับการยอมรับอย่างเป็นทางกราจากตระกูลหลิน ในฐานะที่ซูฉิงเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของยวี๋น่าเธอก็รู้สึกดีใจกับเพื่อนรักเป็นอย่างมาก
ยวี๋น่ายิ้มอย่างเขินอาย หลังจากที่เธอได้รับการช่วยเหลือให้ฟื้นขึ้นมาในตอนที่อยู่โรงพยาบาล เป็นเหตุให้ตอนนี้หลินหนานและแม่หลินปฏิบัติต่อเธอราวกับเธอเป็นไข่ในหิน แม้แต่เรื่องที่มีความเสี่ยงเพียงเล็กน้อยพวกเขาก็ไม่ยอมให้เธอลงมือทำจึงส่งผลให้ตอนนี้เธอมีน้ำหนักเพิ่มขึ้นเล็กน้อยจากเดิม และมีชีวิตชีวามากขึ้น
“แน่นอนอยู่แล้วแล้วเมื่อไหร่เธอกับคุณฮ่อจะมีลูกกันสักทีละ ถ้าถึงตอนนั้นเราจะได้ไปซื้อเสื้อผ้าให้ลูกด้วยกันไง”
ซูฉิงสะอึกกับคำพูดของเพื่อนสาวอยู่ครู่หนึ่ง เธอมองไปที่ใบหน้าที่ยิ้มแย้มของยวี๋น่าและนิ่งคิดอยู่เพียงไม่นานจึงตัดสินใจพูดออกมาตามตรง เธอกับฮ่อหยุนเฉิงยังไม่ได้คิดถึงอนาคตของพวกเขาถึงขั้นนั้นเลย
แต่ถ้าเธอเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดกับเขา เขาคงเริ่มเตรียมการทุกอย่างตั้งแต่เนิ่นๆแน่นอน
“ฉันคิดว่ามันยังเร็วไปสำหรับเรา แล้วเธอกับหลินหนานจะจัดงานแต่งงานกันเมื่อไหร่ล่ะ เป็นไปไม่ได้หรอกใช่ไหมที่จะไม่จัด?”
ยวี๋น่าถอนหายใจ “ตอนนี้ท้องเกือบจะห้าเดือนแล้ว ให้มาใส่ชุดแต่งงานก็เกรงจะดูไม่ดี และอีกอย่างคุณหมอยังบอกอีกว่าลูกและฉันรอดมาได้อย่างปฎิหารย์ ถ้าฉันและลูกได้ออกจากโรงพยาบาลแล้วต้องพักผ่อนให้มากๆและไม่สามารถเคลื่อนไหวหรือทำงานหนักๆได้ ฉันจึงคุยกับหลินหนานว่าหลังจากคลอดลูกแล้ว พวกเราถึงจะจัดงานแต่งงานขึ้น”
“ใช่แล้ว” หลินหนานนำองุ่นที่ใส่จานพร้อมเสิร์ฟและนำมันมาวางไว้ตรงหน้าซูฉิงและยวี๋น่า “นาน่าเพิ่งผ่านช่วงแห่งความยากลำบากมา และสุขภาพของเธอก็ไม่ค่อยดีอยู่แล้วด้วย เราเลยคิดว่าตอนนี้ไม่ควรทำอะไรที่มันเอิกเกริก ซึ่งพ่อแม่ของพวกเราทั้งสองฝ่ายต่างก็เห็นด้วย”
“ฉันดีใจด้วยที่พวกเธอมีความสุขกันซะที” ซูฉิงเผยรอยยิ้มกว้างเมื่อนึกถึงความสัมพันธ์ในตอนนี้ของยวี๋น่าและหลินหนาน เธอพยักหน้าด้วยความพึงพอใจราวกับว่าเธอกำลังยินดีกับลูกสาวที่กำลังจะแต่งงานและมีครอบครัว
ในเวลานี้เธอจะไม่พูดถึงอู๋เทียนเหออีก อะไรมันจะสำคัญไปกว่าการได้เห็นเพื่อนสนิทของเธอมีความสุขกันล่ะ?
“สิ่งสำคัญที่สุดสำหรับเธอตอนนี้คือดูแลร่างกายและลูกของเธอให้ดี อย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงอันตรายกับเรื่องบ้าๆอะไรอีก เธอไม่รู้หรอกว่าฉันกลัวแทบแย่เมื่อรู้ว่าเธอต้องเข้าห้องผ่าตัดในวันนั้น ”
แม้ว่าซูฉิงจะนึกโกรธเรื่องในวันนั้น แต่ดวงตาของเธอก็จ้องมองไปยังอีกฝ่ายด้วยความกังวล เธอจับข้อมือของยวี๋น่าแน่น
ยวี๋น่าพยักหน้า “ฉันเข้าใจแล้ว ว่าแต่พิธีหมั้นระหว่างเธอกับคุณฮ่อจะจัดขึ้นในเดือนหน้า ตอนนี้การจัดเตรียมงานเป็นอย่างไรบ้าง?”
“ใกล้จะเสร็จแล้วล่ะ เขาบอกว่ายังมีรายละเอียดเล็กๆน้อยในงานพิธีที่ยังไม่ได้ตระเตรียม และจะใช้เวลาประมาณสองสามวัน คุณปู่ก็ได้จัดการลิสต์รายชื่อแขกรับเชิญในงานแต่งงานเรียบร้อยแล้ว และฉันหวังว่าเธอกับหลินหนานจะต้องไปร่วมแสดงความยินดีกับฉัน ”
“แน่นอนอยู่แล้ว!” หลินหนานตอบรับทันทีด้วยรอยยิ้ม “นาน่ากับฉันจะต้องไปยินดีกับเธอแน่นอน พี่ฉิงไม่ต้องกังวล ฉันจะพยายามเรียนรู้และเก็บเกี่ยวประสบการณ์จากงานแต่งงานของเธออย่างเต็มที่”
“คุณกำลังพูดถึงเรื่องอะไร” ยวี๋น่าเหลือบมองเขาด้วยรอยยิ้มเขินอาย บรรยากาศของการพูดคุยของพวกเขาทั้งสามเป็นไปอย่างสนุกสนานและกลมกลืนกันเป็นอย่างมาก
ซูฉิงอยู่คุยกับยวี๋น่าที่บ้านตระกูลหลินจนถึงเที่ยงวัน แม่หลินจึงพยายามหว่านล้อมให้เธออยู่ทานข้าวด้วยกันที่บ้านของพวกเขาก่อน แต่ซูฉิงก็เอ่ยปฎิเสธอย่างสุภาพ: “คุณป้าคะ ไม่เป็นอะไรจริงๆค่ะ ฉันยังต้องกลับไปจัดการธุระที่บริษัทอีก ทุกคนทานกันเถอะค่ะ ไว้ครั้งหน้าฉันจะกลับมาทานฝีมือคุณป้าแน่นอน”
ทันทีที่เธอออกจากบ้านของหลิน เธอเดินออกไปนอกประตูและพบกับรถปอร์เช่สีขาวจอดอยู่ที่ประตู เป็นรถของสวีมู่หยางและชายคนนั้นกำลังยืนรออยู่ที่พุ่มไม้นอกประตู
ซูฉิงขมวดคิ้วเมื่อเห็นรถและมองไปรอบๆ เมื่อเธอพยายามไม่สนใจและก้าวเดินออกไปสวีมู่หยางก็หันหลังกลับมามองเธอพร้อมกับเอ่ยทักเสียงดังว่า “ช่างเป็นเรื่องบังเอิญจริงๆที่เจอคุณซูที่นี่”
“มันไม่ใช่เรื่องบังเอิญ” ซูฉิงหยุดนิ่งชั่วครู่และเธอก็เผยรอยยิ้มที่สุภาพออกมา “คุณน่าจะรออยู่ตรงนี้นานแล้วสินะ ฉันเป็นคนที่ค่อนข้างตรงไปตรงมา คุณสวีคะคุณมีเรื่องอะไรคุณก็พูดมาตรงๆเลยดีกว่า”
สวีมู่หยางยิ้มกว้างและดูเหมือนจะไม่ได้รู้สึกอึดอัดคับใจกับคำพูดของหญิงสาวตรงหน้า “ใช่ ฉันรอคุณอยู่ที่นี่จริงๆ คือฉันแค่อยากถามคุณซูว่าพิจารณาเรื่องความร่วมมือระหว่างเราไปถึงไหนแล้ว”
“และอีกอย่างตอนนี้ก็เที่ยงแล้ว ไม่รู้ว่าคุณซูทานอาหารกลางวันหรือยัง?ไม่อย่างนั้นเราหาร้านอาหารสักร้านแล้วทานไปด้วยพูดเรื่องของเราไปด้วยดีไหม?”
“ขอบคุณคุณสวีสำหรับความเมตตาของคุณ แต่ฉันคิดว่ามันไม่จำเป็นอีกต่อไปแล้ว” ซูฉิงรู้สึกไม่สบายใจจริงๆ เธอไม่ค่อยคุ้นเคยกับสวีมู่หยางเลยและความเอาใจใส่ของชายผู้นี้ทำให้เธอรู้สึกแปลกประหลาดใจ
แต่สวีมู่หยางก็ยังไม่ล้มเลิกความพยายาม “คุณซู อย่าเพิ่งรีบปฎิเสธฉันไปหน่อยเลย คุณวางใจได้ ฉันก็แค่อยากจะเลี้ยงข้าวคุณสักมื้อก็แค่นั้น ไม่ว่าอย่างไรสตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์กับฉันก็ต้องร่วมลงทุนด้วยกันอยู่แล้ว คุณคิดว่ายังไง?”
ซูฉิงมองตรงไปที่ชายตรงหน้า เธอครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วจึงพยักหน้าตอบตกลง “โอเค งั้นเราทานอาหารไปด้วยคุยไปด้วยแล้วกัน”
สวีมู่หยางหัวเราะออกมาทันทีเมื่อได้ยินคำพูดตอบรับจากหญิงสาว เขาจึงเอื้อมมือไปเปิดประตูเบาะหลังเพื่อเชิญซูฉิงให้ขึ้นรถ ทั้งสองใช้เวลาประมาณยี่สิบนาทีก็เดินทางมาถึงภัตตาคารชื่อดังที่ตั้งอยู่ในเมือง A
หลังจากที่ซูฉิงเดินตามสวีมู่หยางเข้าไป พนักงานเสิร์ฟก็พยักหน้าให้สวีมู่หยางและพาพวกเขาเข้าไปนั่งบริเวณริมหน้าต่างที่ค่อนข้างเงียบสงบและปลอดผู้คน เมื่อทั้งสองนั่งลงสวีมู่หยางก็เหยียดมือออกและโบกมือให้พนักงานเสิร์ฟยื่นเมนูให้ซูฉิง
“คุณหนูซู อยากทานอะไร”
เมื่อซูฉิงเอื้อมมือออกไปหยิบเมนู เธอก็เอ่ยปากพูดกับสวีมู่หยางอย่างไม่สนใจอีกฝ่าย “ดูเหมือนคุณสวีจะวางแผนทุกอย่างมาเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อฉันกับคุณเข้ามานั่งร้าน โต๊ะก็ถูกสั่งจองไว้อย่างดี”
สวีมู่หยางยิ้มและไม่ได้อึดอัดกับคำพูดของหญิงสาวตรงหน้าแต่อย่างใด ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ค่อยคุ้นชินกับสถานการณ์ตรงหน้า แต่เขาตั้งใจที่จะพยายามทำทุกอย่างเพื่อน้องสาวของเขา
“ในเมื่อพวกเรามาที่นี่เพื่อพูดคุยเรื่องธุรกิจคุณซูก็ควรจะเปิดอกพูดกับฉัน และคุณซูก็ตอบรับคำเชิญที่ฉันเชิญคุณมาทานอาหารอีกด้วย งั้นฉันขอถามคุณตรงๆ เงื่อนไขที่ฉันเสนอไปคุณซูไม่พอใจในส่วนไหนหรือไม่?”
คำพูดที่ตรงไปตรงมาและไร้การซ่อนเร้นปิดบังของสวีมู่หยางทำให้ซูฉิงค่อนข้างประหลาดใจ ที่จริงแล้วข้อเสนอที่อีกฝ่ายเสนอมาให้เธอนั้นถือว่าเธอค่อนข้างเป็นฝ่ายที่ได้เปรียบ แต่เธอก็มีความกังวลว่าชายตรงหน้าจะมีแผนการอะไรมาหลอกล่อเธอให้ติดกับหรือเปล่า