ตอนที่ 353 ผู้อาวุโสและนกเหยี่ยว

นายน้อยเจ้าสำราญ

ตอนที่ 353 ผู้อาวุโสและนกเหยี่ยว

ม้าสีแดงตัวหนึ่งตะบึงเข้ามาในเขตวังหลวงอย่างบ้าคลั่ง

อู๋หลิงเอ๋อร์ตบม้าให้ปรี่ไปทางห้องทรงพระอักษรของวังหลวงโดยเร็ว

ในขณะนั้นจักรพรรดิเหวินกำลังอยู่ในห้องทรงพระอักษรของวังหลวงและกำลังถกปัญหาการเพาะปลูกในฤดูใบไม้ผลิอยู่กับสองอัครมหาเสนาบดีทั้งฝ่ายซ้ายและฝ่ายขวา แต่แล้วก็ได้ยินเสียงหวีดร้องดังขึ้นมา หลังจากนั้นก็ได้เห็นม้าตัวนั้นพุ่งเข้ามาในห้องทรงพระอักษรของวังหลวงอย่างมิคาดฝัน

คนทั้งสามที่อยู่ในห้องนั้นตกตะลึงขึ้นมาทันพลัน ในชั่วพริบตานั้นอัครมหาเสนาบดีฝ่ายขวาจัวอี้สิงก็ได้ชักกระบี่ออกมา ในทันทีที่แทงกระบี่ออกไป กลับต้องชักกลับมาโดยทันที

อู๋หลิงเอ๋อร์พลิกพระวรกายลงจากม้า มิได้น้อมคำนับให้แต่อย่างใด แต่กลับมองไปที่จักรพรรดิเหวินด้วยความตื่นตระหนก และกล่าวว่า “เสด็จพ่อ ที่วัดหานหลิงมีการเปลี่ยนแปลง ! ”

จักรพรรดิเหวินตกตะลึงยิ่ง หลังจากที่อู๋หลิงเอ๋อร์ได้กล่าวแผนการของเกาเสี่ยนออกมาให้เขาได้ฟัง เขาจึงสูดลมหายใจเข้าไปจนเต็มปอด สตรีผู้นั้น ช่างร้ายกาจยิ่งนัก !

แล้วตอนนี้จะทำเยี่ยงไรดี ?

เขาเงียบเพื่อครุ่นคิดไปสามอึดใจ และประกาศราชโองการว่า “ให้หนานกงจิ่งเหยียนและองครักษ์ชุดแดง 3,000 นายควบม้าไปยังวัดหานหลิงโดยเร็วที่สุด ให้ศาลต้าหลี่ทำการสอบสวนเซียวเฉียงในทันที…สามารถใช้โทษลงทัณฑ์ได้ ! ”

ขันทีผู้แถลงราชโองการขององค์จักรพรรดิรีบวิ่งออกไปในทันที ห้องทรงพระอักษรของวังหลวงก็ได้เงียบงันลงไปในทันพลัน

“แต่ทว่า ต่อให้องครักษ์ชุดแดงเร่งรีบไป ก็คาดว่าจะมิทันกาล” จัวอี้สิงกล่าวขึ้นมาว่า เขาเองก็คาดมิถึงว่าจักรพรรดินีเซียวจะยังมีแผนร้ายที่บ้าคลั่งเยี่ยงนั้นอยู่ !

ทันใดนั้นอู๋หลิงเอ๋อร์ก็หันไปมองหนานกงอี้หยู่ “นกเหยี่ยวตัวนั้นของท่าน สามารถส่งจดหมายได้หรือไม่ ? ”

สองมือของหนานกงอี้หยู่แบออก “ไห่ตงชิงสามารถส่งจดหมายได้ แต่มันมิรู้จักคนที่อยู่ที่นั่นเลยสักคนเดียว”

อู๋หลิงเอ๋อร์นึกไปถึงบนกวนหยุนถายในวันนั้น ไห่ตงชิงเกาะอยู่บนไหล่ของซูซู… “ซูซู…ใช่ ! ซูซูต้องอยู่ข้างกายของฟู่เสี่ยวกวนเป็นแน่ ! ”

หนานกงอี้หยู่ผงะ เขารีบเดินออกไปจากสำนักหนังสือวังหลวงทันที แล้วหยิบนกหวีดออกมาเป่า ไห่ตงชิงก็ได้บินลงมา และเกาะลงที่ไหล่ของเขา

เขาตรงไปยังโต๊ะมังกร หยิบพู่กันและหมึกขึ้นมาเขียนลงบนกระดาษในตอนที่กำลังมัดกับขาของไห่ตงชิง จักรพรรดิเหวินกลับกล่าวว่า “ประเดี๋ยวก่อน ! ”

เขาเดินไปทางโต๊ะมังกร เขียนอักษรลงบนกระดาษแผ่นนั้น ทันทีที่หนานกงอี้หยู่ได้เห็น ก็ตกตะลึงยิ่งนัก เขามิได้กล่าวอันใด และได้นำกระดาษแผ่นนั้นมัดไว้กับขาของไห่ตงชิง

เขาลูบขนของไห่ตงชิง และกล่าวด้วยความจริงจังเป็นอย่างมาก “จงไปหาเด็กสาวนามซูซู นางอยู่ด้านหลังเขาของวัดหานหลิง”

ไห่ตงชิงได้ร้องออกมาด้วยความตื่นเต้น มันกระพือปีกและบินจากไป

“สำเร็จแล้ว ! ”

จักรพรรดิเหวินจึงวางใจลงมาได้ครึ่งหนึ่ง หากไห่ตงชิงสามารถส่งจดหมายไปให้ถึงได้จริง ๆ… ด้านหลังของเรือนหยุนชิง ได้มีทหารองครักษ์ชุดแดงจำนวน 1,000 นายคอยคุ้มกันอยู่

พวกเขามิได้รักษาความปลอดภัยให้กับฟู่เสี่ยวกวน แต่ขณะนี้ไทเฮาองค์ปัจจุบันกำลังประทับอยู่ ณ ที่นั่นต่างหาก

…..

…..

“เรือนหยุนชิงใหญ่โตเป็นอย่างมาก นอกจากด้านหลังเรือนแล้ว พวกท่านจะไปที่ใดก็ได้ จงจำไว้…มิว่าผู้ใดก็มิสามารถไปที่ด้านหลังเรือนได้” หวินกุยกำชับกับฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ด้วยความจริงจังอย่างยิ่ง และยังเอ่ยอีกว่า “บัดนี้ก็ใกล้จะถึงยามอู่แล้ว บ่าวได้สั่งให้โรงครัวเตรียมมื้อกลางวันแล้ว คาดว่าน่าจะใกล้เสร็จแล้ว คุณชายและคุณหนูทุกท่าน ก่อนอื่นตามข้าไปรู้จักกับห้องหับเสียก่อน ด้านในสามารถอาบน้ำและพักผ่อนได้”

ภายใต้การนำของหวินกุย ก็ได้จัดการห้องพักให้เหมาะสมได้อย่างรวดเร็ว หลังจากนั้นทุกคนจึงเดินไปที่ลานเพื่อรับประทานอาหารกลางวัน…อาหารมื้อนี้เลิศรสยิ่ง คาดมิถึงว่าจะเต็มไปด้วยรสชาติของเจียงหนานแห่งราชวงศ์หยู แต่สำหรับศิษย์พี่รองเกาหยวนหยวนแล้ว กลับไร้หนทางที่จะเติมเต็มท้องของเขาได้ ดังนั้นสายตาของเขาที่มองไปทางฟู่เสี่ยวกวนจึงเต็มไปด้วยความขุ่นเคือง

ในเรื่องนี้ฟู่เสี่ยวกวนได้แจ้งกับหวินกุยหนึ่งประโยคว่า มื้ออาหารต่อไปต้องจัดเตรียมให้มากขึ้นอีกหนึ่งเท่า

หวินกุยอ้าปากค้างด้วยความตกใจ นางย่อมมิได้ไถ่ถามว่าเพราะเหตุใด เพียงแค่รู้สึกประหลาดใจอย่างมากอยู่ภายในใจก็เท่านั้น

และในเวลานั้นเอง ไห่ตงชิงก็ได้บินมาถึงลานแห่งนี้ มันบินวนอยู่บนท้องฟ้าสองรอบ แล้วจึงร่อนลงมาเกาะบนไหล่ของซูซู

ฟู่เสี่ยวกวนจ้องมองด้วยความงุนงง ลอบคิดในใจว่าเป็นไปได้หรือไม่ที่นกเหยี่ยวตัวนี้จะทรยศต่อหนานกงอี้หยู่เข้าเสียแล้ว ?

ซูซูลูบขนของไห่ตงชิง ไห่ตงชิงใช้หัวเล็ก ๆ ของมันกระทุ้งที่ฝ่ามือของซูซู ซูซูถึงได้พบว่าที่ขาของมันนั้นมีอะไรบางอย่างมัดไว้อยู่

นางดึงลงมา ทันทีที่เปิดอ่าน คิ้วก็ขมวดขึ้นทันพลัน และส่งจดหมายฉบับนั้นให้แก่ฟู่เสี่ยวกวน

ทันทีที่ฟู่เสี่ยวกวนได้อ่าน คิ้วของเขาก็ขมวดขึ้นมาเช่นกัน เขาหันไปมองหวินกุย และส่งไปให้กับนาง

คิ้วของหวินกุยเลิกขึ้นเล็กน้อย นางมิได้กล่าวอันใดออกมา แต่กลับสาวเท้าอย่างว่องไวเดินไปด้านหลังเรือน

เพียงมินาน ก็ได้มีเสียงควบม้าดังขึ้นมาจากด้านนอกทางด้านหลังเรือน และหายเข้าไปในป่ากว้างหลังผ่านไปได้หลายสิบอึดใจ ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้เห็นหวินกุยเดินกลับมา

“คาดมิถึงว่าจะยังมีคนที่สติฟั่นเฟือนเยี่ยงนี้อยู่”

“มั่นใจได้หรือไม่ ? ” ฟู่เสี่ยวกวนเอ่ยถามขึ้นมาหนึ่งประโยค

ในท้องของพระพุทธรูปองค์ใหญ่มีศัตรูอยู่ถึง 4,000 คน ทั้งยังมีปืนใหญ่อีก 50 กระบอก เสียงฝีเท้าเมื่อครู่คาดว่ามิน่าจะเกิน 1,000 คน การปะทะครานี้ย่อมเกิดขึ้นในท้องของพระพุทธรูปองค์ใหญ่ ทหารม้าย่อมมิมีบทบาทในตรงนี้

หวินกุยยกยิ้มขึ้นมา “เกรงว่าคุณชายจะยังมิรู้จักองครักษ์ชุดแดง ฝ่าบาทมีองครักษ์ชุดแดงจำนวน 50,000 นาย ระดับต่ำที่สุดในองครักษ์ชุดแดงก็คือผู้มีฝีมือระดับสูงขั้นสอง หากพวกเขาลงมือ ย่อมมั่นใจได้อย่างแน่นอน”

ฟู่เสี่ยวกวนจึงได้วางใจลง แต่ก็รู้สึกอิจฉาองครักษ์ชุดแดงเป็นอย่างมาก นึกถึงตอนที่ตนเองให้ไป๋ยู่เหลียนฝึกฝนผู้คนนับสองพันคนที่ภูเขาเฟิ่งหลินอย่างยากลำบากแล้ว หากทั้งหมดมีวรยุทธ์คาดว่ากำลังรบจะเพิ่มขึ้นอีกเป็นเท่าตัว

หากดาบเทวะต้องปะทะกับองครักษ์ชุดแดง… นอกเสียจากจะสามารถหาข้อได้เปรียบในด้านอาวุธมาได้ มิเช่นนั้นเกรงว่าจะไร้โอกาสชนะเป็นแน่

และก็มิทราบว่าฉินเฉิงเย่ได้ทำปืนคาบศิลาออกมาแล้วหรือไม่

นี่คือความคาดหวังที่ใหญ่ที่สุดของฟู่เสี่ยวกวนในปัจจุบันนี้ ขอเพียงมีปืนคาบศิลาที่ถูกพัฒนาอย่างสมบูรณ์แล้วไว้ในครอบครอง และเมื่อรวมเข้ากับชุดเกราะและอุปกรณ์อื่น ๆ ที่ดียิ่งขึ้น ดาบเทวะจึงจะมีความเป็นไปได้ที่จะออกจากภูเขาไปยังผิงหลิงอี้เพื่อต่อสู้กับเหล่าศัตรู

ในช่วงเวลากระชั้นชิด ฟู่เสี่ยวกวนและคนอื่น ๆ ก็ได้เดินทางออกไปจากเรือนหยุนชิง และตรงไปยังลานกว้างหน้าพระพุทธรูปองค์ใหญ่

ช่วงเวลายามอู่ บัณฑิตทั้งหมดต้องมารวมตัวกันที่ลานกว้างหน้าพุทธรูปองค์ใหญ่ งานชุมนุมวรรณกรรมจึงจะได้เริ่มต้นขึ้นอย่างเป็นทางการ

…..

ลานด้านหน้าของเรือนหยุนชิงก็ได้กลับมาสงบดังเดิมแล้ว หญิงชราผู้หนึ่งได้กุมไม้เท้าหัวมังกรเดินมาจนถึงลานด้านหน้า โดยมีนางในทั้งสี่คอยประคับประคองเอาไว้

นางนั่งอยู่ในศาลา หวินกุยคุกเข่าลงด้วยความเคารพ

“เขาเป็นคนเยี่ยงไรกัน ? ”

“ทูลไทเฮา รูปลักษณ์ของเขาหล่อเหลายิ่ง มีกิริยามารยาทที่ดี วาจาอ่อนน้อมถ่อมตน และไร้ท่าทีหยิ่งยโสเฉกเช่นนักวรรณกรรมในปัจจุบันเพคะ ยามที่อยู่ด้านนอกเรือน เขาจ้องแผ่นป้ายนี้อยู่ถึง 13 อึดใจ สีหน้าของเขาดูประหลาดใจเสียเล็กน้อย คาดว่าน่าจะเป็นเพราะนามของเรือนนี้เพคะ”

ไทเฮาเงียบไปชั่วครู่ ใบหน้าของพระนางมิได้ขยับแต่อย่างใด “ถ้าจากสายตาของเจ้า เขาคล้ายคลึงกับองค์จักรพรรดิกี่ส่วน ? ”

หวินกุยใจสั่นสะท้าน ไทเฮาจึงตรัสขึ้นมาอีกว่า “ข้าจะมิถือสาเจ้า โปรดตอบมาตามตรงเถอะ”

“…ทูลไทเฮา หม่อมฉันคิดว่า คิ้วของเขาค่อนข้างคล้ายคลึงกับฝ่าบาท แต่หากให้กล่าวถึงความรู้สึกแรกที่หม่อมฉันได้พานพบ…หม่อมฉันกลับรู้สึกว่าอากัปกิริยาของเขาคล้ายคลึงฝ่าบาทยิ่งกว่าอีกเพคะ”

“อากัปกิริยาเยี่ยงนั้นหรือ ? ”

“เพคะ อากัปกิริยาของเขาสุขุมเยือกเย็น ให้ความรู้สึกถึงผู้มีปัญญาที่ล้ำลึก แม้แต่เมื่อครู่ยามที่ได้เห็นลายพระหัตถ์ที่ฝ่าบาทส่งมา เขาเพียงแค่ขมวดคิ้วเล็กน้อยเท่านั้น เป็นอากัปกิริยาที่เหมือนกับฝ่าบาทอย่างยิ่งเพคะ เสมือนว่าร่างกายได้แผ่บรรยากาศที่ทำให้ผู้คนอยากใกล้ชิดออกมา”

มุมปากของไทเฮากระตุกเล็กน้อย “เจ้าลุกขึ้นเถิด ภายในสามวันนี้ คอยจับตาดูเขาเอาไว้ให้ดี”

“หม่อมฉันรับพระบัญชาเพคะ”

ไทเฮากุมไม้เท้าและเดินออกมาจากเรือนหยุนชิง นางหันศีรษะกลับไปดูแผ่นป้ายและส่ายหน้า “เตรียมรถ ข้าจะไปดูความครึกครื้นเสียหน่อย ! ”