เฟิงเป่ยเฉินหัวเราะเพราะเดือดดาลสุดขีด เขาเลอะเลือนพูดผิดไปชั่วขณะ แค่มุขของเด็กน้อยที่ใช้การพูดจาทั้งแถไถไหลลื่นนิดหน่อย ไม่น่าเชื่อว่าจะทำให้ตัวเองเข้าไปพัวพันได้ เขาทั้งโมโหทั้งอยากขำ

ถึงแม้เขาจะหวาดกลัวอวิ๋นอ้าวเทียน แต่ก็ต้องอธิบายเรื่องนี้ให้ชัดเจน “ก็จริงอยู่ที่ก่อนหน้านี้ข้าเคยโจมตีเขา แต่เป็นตอนก่อนที่เขาจะโดนจู่โจมที่นี่ ที่บอกว่าปล้นตัวท่านจื่อหยางอะไรนั่น เป็นคำพูดที่ไม่มีมูลเลย ถ้าให้ข้าลงมือเอง ยังจะต้องปิดบังใบหน้าด้วยเหรอ? ถ้าข้าลงมือเอง มันจะยังมีชีวิตอยู่เหรอ?”

“เจ้าจมูกวัวผู้สง่าผ่าเผย จะสู้กับตัวละครเล็กๆ อย่างนี้ยังต้องใช้การลอบโจมตี ขายขี้หน้ามั้ยล่ะ?” อวิ๋นอ้าวเทียนพูดเหยียด

“ตัวละครเล็กๆ ? แล้วตัวละครเล็กๆ คู่ควรให้เจ้าช่วยพูดแก้ตัวให้ด้วยเหรอ อวิ๋นอ้าวเทียน?” เฟิงเป่ยเฉินพูดเหน็บแนมกลับ

ฉางเหลยพลันกล่าวว่า “เฟิงเป่ยเฉิน เจ้าก็มีจุดที่น่าสงสัยจริงๆ ข้ามาถึงคนแรก แต่กลับบังเอิญพบเจ้าอยู่นอกแดนโพ้นสวรรค์ เลยร่วมทางมาพร้อมกัน นั่นแปลว่าเจ้าอยู่ใกล้ๆ แดนโพ้นสวรรค์มาตลอด มีความเป็นไปได้จริงๆ ว่าจะลงมือลอบจู่โจม”

เฟิงเป่ยเฉินหันกลับมาเถียง “พระอาจารย์ ข้าจะบอกอีกครั้งนะ ถ้าข้าต้องการจะแย่งตัวจื่อหยาง ข้าสังหารไอ้จัญไรเพื่อปิดปากไปนานแล้ว จะปล่อยให้มันมาชี้ตัวข้าอย่างนี้เหรอ?”

อวิ๋นอ้าวเทียน “เจ้าก็ต้องอยากฆ่าปิดปากเขาอยู่แล้วล่ะ เพียงแต่นึกไม่ถึงว่าบนตัวเขาจะมีของวิเศษคอยปกป้อง เจอเหตุไม่คาดคิดจนทำพลาด แต่กลัวโดนจับได้ เลยต้องรียหนีเอาตัวรอดไป”

“อยากเล่นงานใคร ก็ย่อมหาเหตุผลมาอ้างได้เสมอ!” เฟิงเป่ยเฉินตะคอก

อวิ๋นอ้าวเทียนเอียงหน้ามองเหมียวอี้ “เหมียวอี้ ได้ยินว่าในมือเจ้ามีดาบวิเศษอยู่ด้ามหนึ่ง ช่วยชีวิตเจ้าไว้ได้ตอนหน้าสิ่วหน้าขวาน ทำไมไม่นำออกมาให้ทุกคนดูสักหน่อยล่ะ?”

เหมียวอี้พูดไม่ออก หันไปมองมู่ฝานจวินแวบหนึ่ง

พอมู่ฝานจวินโบกแขนเสื้อ ดาบยาวสีม่วงเล่มหนึ่งก็อยู่ในมือ นางไม่ปิดบังอะไรทั้งนั้น ใช้มือข้างเดียวถือดาบชี้ออกมา ทำให้เกิดแสงสีฟ้าสายหนึ่งหดเข้าและปล่อยออก

“เรือมังกรอเวจี!” เฟิงเป่ยเฉินและคนอื่นๆ ทำสีหน้าจริงจัง มีเพียงอวิ๋นอ้าวเทียนคนเดียวที่นั่งชำเลืองมองเหมียวอี้อย่างไม่สะทกสะท้าน เห็นได้ชัดเจนมาก ดาบวิเศษของเหมียวอี้โดนมู่ฝานจวินแย่งไปแล้ว

มู่ฝานจวินเหลือบมองอวิ๋นอ้าวเทียนแวบหนึ่ง แล้วมองเฟิงเป่ยเฉินอย่างหยิ่งยโส “เฟิงเป่ยเฉิน ดาบเล่มนี้ทำให้กลัวไปแล้วสามส่วนยามลอบจู่โจมใช่มั้ยล่ะ?”

“ตลกแล้ว!” เฟิงเป่ยเฉินกล่าวอย่างรู้สึกขำ “อาศัยแค่สิ่งนี้คิดว่าจะขู่ให้ข้ากลัวได้เหรอ? ก็แค่มีเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาเพิ่มมา ใช่ว่าพวกเราจะเห็นเป็นครั้งแรกเสียหน่อย ที่นั่งกันอยู่ตรงนี้ ในปีนั้นมีใครไม่เคยโดนบ้าง?”

“แบบนี้นับเป็นเหตุผลได้ด้วยเหรอ? ในปีนั้นมีไต้ซือศีลเจ็ดช่วยคลายพิษให้ ตอนนี้เจ้าอยากจะลิ้มลองรสชาติอีกสักครั้งมั้ยล่ะ?” มู่ฝานจวินถาม

เหมียวอี้ที่ฟังอยู่ข้างๆ เกิดความคิดบางอย่างขึ้นในใจ ไต้ซือศีลเจ็ด อาจารย์ของเจ้ารองสามารถแก้พิษเจ็ดอารมณ์หกปรารถนาได้ด้วยเหรอ?

“ฮ่าๆ…” เฟิงเป่ยเฉินเงยหน้าหัวเราะลั่น แล้วชี้เข้ามา “มู่ฝานจวิน เจ้าช่างวางแผนเก่งจริงๆ นะ เรื่องเกิดที่แดนโพ้นสวรรค์เจ้า จื่อหยางอะไรนั่นไม่ได้มีใครแย่งไปหรอก ไม่มีคนนอกที่ไหนเห็นทั้งนั้น ก่อนที่เจ้าจะมายัดเยียดความผิดให้ข้า ทำตัวเองให้บริสุทธิ์ก่อนดีกว่ามั้ย”

เสียงที่เย็นเยียบพิศวงชวนขนลุกดังอยู่ใต้หน้ากากของเทพผีซือถูเซี่ยว “ในเมื่อพวกเจ้าสองคนมีส่วนเกี่ยวข้อง นั่นก็แสดงว่าน่าสงสัยทั้งคู่ พวกเจ้าที่เหลือคิดว่าอย่างไร?” ดวงตาที่อยู่หลังหน้ากากผีกวาดมองคนอื่นๆ

จีฮวน ฉางเหลย อวิ๋นอ้าวเทียนพยักหน้า ต่างก็จัดมู่ฝานจวินกับเฟิงเป่ยเฉินไว้ในรายชื่อผู้ต้องสงสัยแล้ว ไม่มีใครสงสัยเหมียวอี้ ถึงอย่างไรที่นี่ก็ไม่ใช่ที่ที่เหมียวอี้จะตัดสินใจอะไรได้

โดยเฉพาะอวิ๋นอ้าวเทียน ก็ยิ่งกล่าวอย่างเย็นเยียบว่า “จากที่ข้าดู เก็บสองคนนี้ไว้ไม่ได้แล้ว พวกเราสี่คนร่วมมือกันกำจัดทิ้งเสียเลยดีกว่า!”

เมื่อกล่าวคำนี้ออกมา เฟิงเป่ยเฉินกับมู่ฝานจวินก็ทั้งโมโหทั้งตกใจ เฟิงเป่ยเฉินรีบสังเกตปฏิกิริยาของคนอื่นๆ ทันที ส่วนมู่ฝานจวินลุกพรวดขึ้น กวาดดาบชี้ออกมา พลางกล่าวอย่างเดือดดาล “อวิ๋นอ้าวเทียน อยากจะสังหารข้าเหรอ ต้องถามดาบวิเศษของข้าก่อนว่าจะยอมมั้ย!”

ตรงทิศทางที่ดาบชี้ไป มีแสงสีฟ้าสายหนึ่งพุ่งออกมา คุกคามไปยังอวิ๋นอ้าวเทียนที่กำลังนั่งอยู่ แต่กลับเห็นอวิ๋นอ้าวเทียนดีดนิ้วชี้ครั้งเดียว เกิดระลอกคลื่นลอยขึ้นกลางอากาศ เป็นระลอกคลื่นสีดำ แผ่กระจายออกมาจากตัวอวิ๋นอ้าวเทียนอย่างรวดเร็ว ชั่วพริบตาเดียวปราณมารก็กลายเป็นม่านสีดำ ขยายออกอย่างรวดเร็วราวกับผ้าสีดำผืนหนึ่ง หนาแน่นมาก กั้นแสงสีฟ้าไม่ให้ทะลุมาถึงตัว

พลังอิทธิฤทธิ์โดยทั่วไปไม่มีทางกั้นแสงสีฟ้าได้ เพราะคุณสมบัติของมันคือแสง แต่ปราณมารกลับสกัดการแทรกซึมของแสงสีฟ้าได้

อวิ๋นอ้าวเทียนที่ปล่อยปราณมารออกมาพูดเหยียดว่า “นางป้าขี้บ่น อย่าคิดว่ามีดาบเส็งเคร็งเล่มเดียวจะทำอะไรก็ได้  ของเล่นแบบนี้สู้กับเฟิงเป่ยเฉินกับฉางเหลยยังพอไหว แต่ไม่ได้ผลกับข้า จีฮวนและซือถูเซี่ยวเลย ข้าแนะนำว่าเจ้าอย่าทำให้ตัวเองขายหน้าเลยดีกว่า”

เมื่อเห็นว่าทำอะไรเขาไม่ได้ มู่ฝานจวินก็แอบตกใจ ขณะเดียวกันก็ชำเลืองมองจีฮวนกับซือถูเซี่ยวอย่างนิ่งเฉย เมื่อได้รับคำเตือนจากอวิ๋นอ้าวเทียนแล้ว ในภายหลังจะได้ไม่ไปบุ่มบ่ามสู้กับอีกสองคนให้ตัวเองเสียเปรียบ

เหมียวอี้ที่ฟังอยู่ข้างๆ ก็ฉลาดขึ้นบ้างแล้ว ได้เพิ่มพูนความรู้แล้ว

มู่ฝานจวินทำเสียงฮึดฮัด เรียกได้เก็บดาบอย่างแค้นใจ จากนั้นก็มองไปยังคนที่เหลือ “ทุกคนอย่าไปตกกลุมพรางเจ้าจอมมารนี่นะ!”

พออวิ๋นอ้าวเทียนกวักมือ ปราณมารก็ถูกเก็บเข้าในแขนเสื้อ จากนั้นก็กล่าวตรงๆ อย่างไม่เกรงกลัวว่า “ฆ่าพวกเขาสองคน แล้วแบ่งอาณาเขตของพวกเขามาให้พวกเราคนละสี่ส่วน!”

จีฮวน ซือถูเซี่ยวและฉางเหลยสบตาประเมินกันแวบหนึ่ง หกปราชญ์วรยุทธ์ต่างกันไม่เท่าไร ถ้าใครอยากจะฆ่าใครทิ้งก็เป็นเรื่องยาก เคล็ดวิชาของทั้งหกต่างก็มีจุดเด่นคนละอย่าง ต่อให้สู้กันไม่ชนะ แต่ก็สามารถถ่วงเวลารอให้คนที่เหลือมาช่วยได้ ในบรรดาพวกเขาทั้งหกคน แน่นอนว่าผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดคืออวิ๋นอ้าวเทียน ถ้าสู้กันตัวต่อตัวก็ไม่มีใครเอาชนะอวิ๋นอ้าวเทียนได้ อวิ๋นอ้าวเทียนสู้กับอีกสองคนก็ไม่ได้ด้อยกว่า แต่ถ้าสู้กับสามคน อวิ๋นอ้าวเทียนก็ทำได้เพียงดันทุรังประคับประคอง แต่ถ้าสู้กับสี่คน อวิ๋นอ้าวเทียนต้องพ่ายแพ้อย่างไม่ต้องสงสัย แต่เคล็ดวิชาจอมมารไร้เทียมทานสามารถหลบหนีได้เก่งมาก ถ้าอีกห้าคนอยากจะร่วมมือกันกำจัดเขาทิ้งก็เป็นเรื่องยาก กลับยั่วให้จอมมารท่านนี้โต้กลับด้วยซ้ำ

ด้วยเหตุนี้เอง หลายปีมานี้หกปราชญ์ถึงได้รักษาความสมดุลอันน้อยนิดระหว่างกันมาตลอด ถ้าเชื่อคำพูดของอวิ๋นอ้าวเทียนจริงๆ ถ้ากำจัดทิ้งไปรวดเดียวสองคน เช่นนั้นอีกสามคนที่เหลือก็อยู่ในอันตรายแล้ว อย่าว่าแต่กำจัดสองคนเลย ต่อให้กำจัดทิ้งคนเดียวก็ไม่ใช่เรื่องดีอะไรแล้ว มีแต่จะทำให้อวิ๋นอ้าวเทียนได้เปรียบ ถ้ามีเพิ่มมาอีกสักคน ยามหน้าสิ่วหน้าขวานก็จะมีคนมาช่วยเสริมทัพได้ทันเวลาเพิ่มอีกคน เหมือนครั้งก่อนที่เฟิงเป่ยเฉินประสบอันตราย มู่ฝานจวินกับฉางเหลยก็รีบมาช่วยไว้ หลักการมันก็เป็นอย่างนี้แหละ

ดังนั้นแล้ว อย่าว่าแต่แบ่งอาณาเขตของสองแดนนั้นเป็นสี่ส่วนเลย ต่อให้อวิ๋นอ้าวเทียนจะไม่ต้องการอะไรทั้งนั้น แต่อีกสามคนก็ต้องชั่งน้ำหนักดูสักหน่อย

“อามิตตาพุทธ!” ฉางเหลยตั้งฝ่ามือตรงหน้าอกทันที แล้วพูดกลั้วหัวเราะว่า “ทุกคนอยู่ร่วมกันที่แดนฝึกตนมาหลายปีขนาดนี้ เป็นทั้งศัตรูเป็นทั้งมิตร เหตุใดต้องเข่นฆ่ากันด้วยเล่า มีอะไรก็นั่งคุยกันดีๆ ได้”

อวิ๋นอ้าวเทียนเหล่ตามองมา “พระอาจารย์ อย่ามาเล่นบทคนมีจิตเมตตากรุณาหน่อยเลย คนที่ตายด้วยน้ำมือเจ้ามีน้อยกว่าคนอื่นรึไง?”

ฉางเหลยหัวเราะโดยไม่พูดอะไร จีฮวนก็บอกเช่นกันว่า “มีอะไรก็คุยกันดีๆ!” ซือถูเซี่ยวก็พยักหน้าด้วยท่าทางพิศวงเช่นกัน แสดงออกมาเช่นด้วย

เฟิงเป่ยเฉินโล่งใจแล้ว มู่ฝานจวินก็พยักหน้าเช่นกัน “มักจะมีคนที่แฝงเจตนาชั่วร้าย อยากเสี้ยมเขาควายให้ชนกันเสมอ!”

เมื่อเห็นพวกเขามีท่าทีแบบนี้ เหมียวอี้ก็ผิดหวังนิดหน่อย ดูท่าทางแล้ว การจะทำลายความสมดุลของหกปราชญ์นั้นยากเย็นพอสมควร เห็นได้ชัดว่าอีกห้าคนมีแนวโน้มอยากจะร่วมมือกันสู้กับอวิ๋นอ้าวเทียนมากกว่า อยากจะให้พวกเขาเข่นฆ่ากันเองนั้นไม่ง่ายเลย ถ้าอยากจะเล่นงานเฟิงเป่ยเฉินให้ถึงตาย ระดับความยากก็ค่อนข้างสูง!

อวิ๋นอ้าวเทียนยืนขึ้นแล้วบอกว่า “ในเมื่อพวกเจ้าสามคนไม่แยแสอะไร ก็ไม่มีอะไรต้องคุยกันแล้ว เจดีย์งามวิจิตรอะไรนั่นไม่ได้อยู่ในสายตาข้าหรอก พวกเจ้าค่อยๆ คุยกันไปก็แล้วกัน! ข้าไม่อยู่ต่อแล้ว!” พอพูดจบก็กวักมือเรียกเหมียวอี้ “เจ้ามานี่หน่อย!” จากนั้นก็หันตัวนำอวิ๋นเป้าเดินก้าวยาวออกไป

เหมียวอี้ลำบากใจมาก ที่นี่คือแดนโพ้นสวรรค์ไม่ใช่นภาจอมมาร จึงอดไม่ได้ที่จะมองมู่ฝานจวิน แต่ใครจะไปคาดคิดว่าจะเกิดเรื่องแปลก ไม่น่าเชื่อว่ามู่ฝานจวินจะโบกมือบอกใบ้ให้เขาออกไปเหมือนกัน

เหมียวอี้เดินออกจากตำหนักเก้าชั้นฟ้าด้วยความฉงนใจ เหมือนเห็นอวิ๋นอ้าวเทียนยืนเอามือไขว้หลังอยู่ไม่ไกล ก็รีบก้าวเข้ามาคำนับอย่างเป็นทางการ “ท่านปู่!”

“เจ้าไม่แปลกใจเหรอว่าทำไมนางป้ามู่ฝานจวินถึงยอมให้เจ้าออกมาพบข้าได้?” อวิ๋นอ้าวเทียนถามเสียงเรียบ

เหมียวอี้ยิ้มแห้งแล้วตอบว่า “ที่จริงก็สงสัยขอรับ”

“สาเหตุไม่ซับซ้อนเลย ตอนนี้พวกเขาต้องการจะวางแผนทำร้ายข้าไง ถึงอย่างไรเจ้าก็เป็นหลานเขยข้า แค่ไม่อยากให้เจ้าได้ยินเท่านั้นเอง” อวิ๋นอ้าวเทียนกล่าว

เหมียวอี้งงเล็กน้อย ค่อนข้างคิดไม่ตก จึงถามอย่างสงสัยว่า “วางแผนทำร้ายท่านเหรอ? ท่านจื่อหยางตกอยู่ในมือพวกเขาแล้ว พวกเขาควรจะระแวงกันเองสิถึงจะถูก ทำไมต้องวางแผนทำร้ายท่านด้วยล่ะ?”

อวิ๋นอ้าวเทียนทำสีหน้าค่อนขอด “เฟิงเป่ยเฉินกับมู่ฝานจวินไม่ยอมรับหรอกว่าจื่อหยางอยู่ในมือตัวเอง แต่ถ้าจะกำจัดสองคนนั้นทิ้ง คนอื่นๆ ก็จะระแวงข้าอีก ผลลัพธ์สุดท้ายที่พวกเขาเจรจากันได้ จะต้องเป็นอย่างที่ข้าคิดแน่นอน นั่นก็คือไม่ว่าจื่อหยางจะตกอยู่ในมือใคร ขอเพียงหลอมสร้างเจดีย์งามวิจิตรออกมาได้ ก็จะต้องทำมาใช้กับข้าเป็นคนแรก เหตุผลที่ใช้เกลี้ยกล่อมก็คือ ถ้าทำให้คนอื่นตายก่อน หากเล่นงานให้ข้าถึงตายไม่ได้ขึ้นมา แบบนั้นข้าก็จะได้เปรียบแล้ว แดนที่เหลือจะต้องร่วมสร้างความสัมพันธ์ที่ร้ายกาจ หารู้ไม่ว่าถ้าข้าตายขึ้นมา ในใต้หล้านี้ก็จะวุ่นวาย ถึงตอนนั้นถ้าพวกเขาห้าคนไม่มีอุปสรรคขัดขวางแล้ว ต่อให้คิดจะต่อสู้ให้รู้แพ้รู้ชนะ คิดจะสู้ให้ตายกันไปข้าง ก็ยังเป็นเรื่องยากอยู่ดี”

เหมียวอี้เข้าใจกระจ่างในทันที หันไปมองตำหนักเก้าชั้นฟ้าแวบหนึ่ง แต่ก็ยังถามอย่างแปลกใจนิดหน่อย “ท่านปู่ ในเมื่อท่านรู้ชัดอยู่แก่ใจแล้ว อย่าบอกนะว่าท่านไม่กลัวว่าพวกเขาจะใช้เจดีย์งามวิจิตรมาสู้กับท่าน?”

อวิ๋นอ้าวเทียนแสยะยิ้ม “คนอื่นน่ะข้าไม่รู้หรอก เจ้ายังไม่รู้อีกเหรอ? ดาบของเยียนเป่ยหงอยู่ในมือข้า ถ้ากล้ามาปะทะกับข้าตรงๆ เจดีย์งามวิจิตรก็เป็นเรื่องน่าขำเท่านั้น ก่อนที่เจดีย์จะดูดข้าเข้าไป ข้าจะใช้ดาบฟันให้พังก่อนเลย แต่น่าเสียดายที่ข้าสำแดงอานุภาพของดาบวิเศษได้ไม่เต็มที่ ไม่อย่างนั้นคงไม่มาเปลืองคำพูดกับพวกเขาหรอก เจ้าต้องรักษาเรื่องนี้เป็นความลับ ข้าว่าเจ้าคงไม่อยากเห็นท่านปู่ของน้องชิวโดนคนอื่นทำร้ายตายหรอกใช่มั้ย?”

เหมียวอี้ปาดเหงื่อนิดหน่อย ลืมเรื่องนี้ไปได้อย่างไร สงสัยท่านจอมมารจะอยากเห็นทุกคนสิ้นเปลืองกำลังทรัพย์มหาศาลก่อน แล้วตัวเองค่อยทำพังทีหลัง ดีไม่ดีถ้าใครสร้างเจดีย์ออกมาได้ ภายใต้ความลำพองใจจนลืมตัว ห้าคนนั้นจะขัดแย้งกันเองก็ได้ ถ้าอยากจะเล่นงานให้ตายสักคนสองคนจริงๆ ท่านที่อยู่ตรงหน้านี้ก็ได้เปรียบเยอะมาก

อวิ๋นอ้าวเทียนถามอีกว่า “ที่เรียกเจ้าออกมาเพราะอยากจะถามสักหน่อย ท่านจื่อหยางที่หลอมของวิเศษนั่นโดนเฟิงเป่ยเฉินชิงตัวไปแล้วจริงๆ เหรอ?”

“ไม่แน่ใจขอรับ เพียงแต่ผู้ที่ชิงไปมีวรยุทธ์สุงกว่าข้า ทั้งยังใช้มหาเคล็ดวิชาอู๋เลี่ยง!” เหมียวอี้ยังไม่พูดความจริง

“แล้วเจ้าเอาดาบนั่นมาจากไหน?” อวิ๋นอ้าวเทียนถามอีก

“เอามาจากเทพพยากรณ์…” เหมียวอี้เล่าเรื่องที่ตัวเองเล่าให้มู่ฝานจวินฟังซ้ำอีกรอบ

อวิ๋นเป้าที่อยู่ข้างๆ ได้ยินแล้วตกใจมาก

อวิ๋นอ้าวเทียนเงียบไปพักใหญ่ แล้วพูดเบาๆ ว่า “วรยุทธ์ของน้องชิวบรรลุถึงระดับบงกชทองแล้ว นางเด็กนี่ปิดบังเก่งจริงๆ…” จากนั้นสายตาก็มองสำรวจเหมียวอี้ศีรษะจดปลายเท้า แล้วพยักหน้าเบาๆ “เจ้าไม่ถือสาที่วรยุทธ์นางสูงกว่าเจ้า มองออกเลยว่าเจ้ารักน้องชิวจากใจจริง ข้าเฝ้าดูนางหนูนั่นเติบโตมา ถึงแม้จะมีข้อเสียอยู่บ้าง แต่กลับเป็นคนที่จริงใจต่อความรัก การที่เจ้าได้หัวใจนางไปก็ถือเป็นวาสนาของเจ้า ดีกับนางให้มากๆ ทั้งชีวิตนี้นางคือคนของเจ้าแล้ว ไม่รังแกเจ้าแน่นอน”

“ข้าจะจำไว้ขอรับ!” เหมียวอี้ตอบด้วยความเคารพ

“เจ้าฆ่าลูกสาวของจีฮวน ทั้งยังทำให้ลูกศิษย์ของเฟิงเป่ยเฉินตาย พวกเขาสองคนปล่อยเจ้าไปไม่ได้หรอก ตอนที่พวกเขากำลังวางแผนกันอยู่ที่นี่ เจ้ารีบฉวยโอกาสหนีไปจากที่นี่เสีย ไม่อย่างนั้นระหว่างทางอาจจะมีคนลอบลงมือกับเจ้าก็ได้ กลับไปที่อาณาเขตของตัวเองเถอะ พวกเขาไม่กล้าลงมืออย่างโจ่งแจ้งจนทำลายกฏระเบียบระหว่างกันหรอก ไม่อย่างนั้นถ้าล้างแค้นกันไปล้างแค้นกันมา ไม่ว่าใครก็อย่าคิดจะอยู่อย่างสงบสุขเลย” อวิ๋นอ้าวเทียนเตือนด้วยความหวังดี