ตอนที่ 1494 แผนการหลุดพ้น

A Record of a Mortal s Journey to Immortality คัมภีร์วิถีเซียน

ผู้สวมชุดสีโลหิตเห็นมีดยักษ์มาประชิดพลันหน้าเปลี่ยนสี ลำแสงสีโลหิตเปล่งแสงสว่างวาบ เตรียมจะสำแดงอิทธิฤทธิ์อะไรสักอย่างออกมา

 

 

แต่ในตอนนั้นเองมีดยักษ์ห้าเล่มก็บิดออกไปด้านนอก หายวับไปจากที่เดิมอย่างไร้ร่องรอย

 

 

ครู่ต่อมามีดยักษ์ห้าเล่มที่ดูเหมือนประตูไม้ห้าบานลพันปรากฎขึ้นตรงขอบของเมฆโลหิต

 

 

จากนั้นผิวของมันพลันเปล่งลำแสงสว่างวาบ ม่านลำแสงห้าผืนแผ่ออกมาราวกับจักรวาล

 

 

ท่ามกลางลำแสงที่เย็นเยียบ ชั่วครู่เมฆสีโลหิตก็ทยอยกันสลายหายไป ท่าทางไม่อาจต้านทานได้เลยสักนิด

 

 

ผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิตมีหน้าหวาดกลัวฉายแวบผ่าน ชั่วขณะนั้นก็ไม่สนใจจะสำแดงเคล็ดวิชาอะไรอีก สะบัดแขนเสื้ออย่างรีบร้อน อ้าปากออกอีกครั้งในเวลาเดียวกัน

 

 

โล่เล็กๆ สีเขียวโล่หนึ่ง ผ้าโปร่งบางสีโลหิตผืนนั้น และบาตรกลมๆ ใบหนึ่งถูกพ่นออกมาจากร่างพร้อมกัน

 

 

สมบัติสามชิ้นเปล่งแสงนับหมื่นสาย ท่าทางน่าตกตะลึง แค่มองก็รู้แล้วว่าไม่ใช่สมบัติธรรมดาๆ

 

 

เมื่อพวกมันถูกปล่อยออกมา ก็กลายเป็นม่านลำแสงหลากสีสันสามสี ห่อหุ้มผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตเอาไว้ข้างใน

 

 

และผู้สวมชุดคลุมโลหิตไม่ได้ทำแค่นั้น เขาสูดลมหายใจลึกๆ เข้าไปเฮือกหนึ่ง อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาสองสามครั้ง จากนั้นพลันยกมือขึ้น ยันต์สีม่วงแผ่นหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบจนหายเข้าไปท่ามกลางกลุ่มโลหิต

 

 

เสียง “ปัง” ดังขึ้น กลุ่มโลหิตระเบิดออก กลายเป็นหมอกโลหิตปกคลุมร่างของเขาเอาไว้

 

 

เกราะสงครามชิ้นหนึ่งปรากฎขึ้นบนเรือนร่าง

 

 

เกราะสงครามชิ้นนี้ดูวิจิตรงดงามมาก ผิวของมันมีประจุไฟฟ้าไหลเวียนผ่าน ราวกับไม่ใช่ของในยุทธภพอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ครานี้ลำแสงเย็นเยียบได้สับหมอกโลหิตทั้งหมดออก จนมาอยู่เบื้องหน้าของผู้ที่สวมชุดคลุมสีโลหิต

 

 

หลังจากที่เสียงไพเราะดังขึ้นสองสามครั้ง ม่านลำแสงม้วนผ่านไป พลันถูกฉีกออกราวกับกระดาษสามชั้น สับลงบนร่างของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตอย่างแรง

 

 

เสียง “ปังๆๆ” ดังสนั่นขึ้น เกราะสงครามสีม่วงเปล่งแสงสว่างวาบ ในที่สุดก็ทำให้ลำแสงเย็นเยียบโดยรอบหยุดลงชั่วคราว

 

 

แต่ก็ทำได้เพียงหยุดชะงักเท่านั้น!

 

 

ครู่ต่อมาลำแสงเย็นเยียบห้ากลุ่มก็หมุนวนอยู่รอบเกราะเกราะนั้น ด้านในมีเสียงมังกรคำรามดังออกมา

 

 

เสียง “ฉับ” ดังขึ้น เกราะสงครามสีม่วงถูกสับออกตั้งแต่เอว

 

 

แม้ว่าผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตจะมีอิทธิฤทธิ์มากมาย เมื่อเผชิญหน้ากับลำแสงเย็นเยียบที่ดูเหมือนจะอยู่ยงคงกะรพัน ก็ไม่อาจทำอะไรได้

 

 

เกราะสงครามสีม่วงคืออิทธิฤทธิ์การป้องกันที่แข็งแกร่งที่สุดที่เขาสำแดงออกมาแล้ว

 

 

แววตาสิ้นหวังฉายแวบผ่าน บนร่างของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตมียันต์นับร้อนสายพุ่งออกมารวมทั้งยุทธภัณฑ์สมบัติหลากหลายชนิดอีกสิบชิ้น แต่เมื่อเสียงระเบิดดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง ของเหล่านี้ก็ทยอยกันถูกฉีกออกเป็นชิ้นๆ ท่ามกลางลำแสงเย็นเยียบ

 

 

หลังจากเสียงร้องคร่ำครวญดังขึ้น ร่างของผู้สวมชุดคลุมสีโลหิตก็ถูกลำแสงเย็นเยียบห้าสีกลืนกิน จนแม้แต่จิตวิญญาณดั้งเดิมก็ไม่อาจหนีออกมาได้เลยสักนิด

 

 

หุ่นเชิดเกราะโลหิตที่อยู่ไกลออกไปเห็นฉากนี้ สายตาเย็นเยียบพลันฉายแววสว่างวาบ เอ่ยพึมพำกับตนเอง

 

 

“อานุภาพที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของมีดเบญจมังกรคือความแหลมคมที่ไร้ที่เปรียบ คาดไม่ถึงว่าจะอยากใช้สมบัติต้านทานอานุภาพของมีดเล่มนี้ ช่างเป็นการรนหาที่ตายจริงๆ”

 

 

เอ่ยจบ มันก็ใช้มือหนึ่งตะปบออกไปกลางอากาศ

 

 

หลังจากที่ใบมีดยักษ์ห้ามเล่มที่อยู่ไกลออกไปเปล่งเสียงร้องครวญขึ้น ก็กลายเป็นมังกรวารีลำแสงห้าตัวพุ่งกลับไป

 

 

สุดท้ายเงามังกรห้าตัวพลันรวมตัวกันที่เหนือศีรษะของหุ่นเชิด เปล่งแสงเจิดจรัสออกมาแล้วรวมตัวกันกลายเป็นมีดสีเงินแวววาว สับลงมา

 

 

แววตาของหุ่นเชิดสีโลหิตฉายแววดีใจ ยกมือขึ้นรับมีดเล่มนั้นเอาไว้ แต่ฉับลพันนั้นแววตาพลันหม่นแสงลง ร่างกายสั่นเทาสองสามครั้ง จนเกือบจะร่วงลงจากท้องฟ้า

 

 

แต่เมื่อลำแสงวิญญาณเปล่งแสงสว่างวาบ ร่างกายก็กลับมายืนอย่างมั่นคงได้ในทันที แต่สายตาของเขากลับเผยแววสิ้นหวังออกมา หลังจากถอนหายใจออกมาเฮือกหนึ่ง ก็ยื่นมือไปคว้ามีดสีเงินที่ลอยอยู่เบื้องหน้าเอาไว้

 

 

มือข้างหนึ่งปัดไปบนผิวที่เกลี้ยงเกลาของมีด ชั่วขณะนั้นเสียงร้องครวญพลันดังขึ้น

 

 

“สมบัติชิ้นนี้มีอานุภาพที่น่าอัศจรรย์นัก แต่จิตสัมผัสที่สูญเสียไปก็ไม่ธรรมดาจริงๆ! ดูแล้วการลงมือครั้งหน้าคงต้องรีบสู้รีบจบแล้ว” หุ่นเชิดเอ่ยกับตนเองอย่างมีแผนการ

 

 

ครานี้ท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไปพลันมีพายุทมิฬก่อตัวขึ้น เมฆสีดำที่อยู่ท่ามกลางพายุกดทับลงมา

 

 

ชั่วพริบตา เมฆสีดำที่ปกคลุมกว่าครึ่งของท้องฟ้าก็มาอยู่ตรงหน้าหานลี่

 

 

ปีศาจระดับสูงสองสามตนกำลังขับเคลื่อนพายทมิฬเป็นกลุ่มๆ ร่อนลงมาจากท้องฟ้า ยืนอยู่ด้านหน้าหุ่นเชิด แล้วทยอยกันเผยท่าทีนอบน้อมออกมา

 

 

“เรื่องที่ข้าให้พวกเจ้าไปทำ สำเร็จหรือยัง?” มีดในมือของหุ่นเชิดพลิ้วไหว กลายเป็นสายรุ้งสายหนึ่งจมหายเข้าไปในแขนเสื้อ แล้วอ้าปากเอ่ยถาม

 

 

“ใต้เท้าโปรดวางใจ พวกเราจัดการอย่างเหมาะสมแล้ว รอแค่ใต้เท้าเข้าไปข้างใน ก็สามารถใช้เขตอาคมใหญ่ปิดตายบริเวณนี้ได้แล้ว แม้แต่คนภายนอกที่โชคดีหนีรอดพ้นจากเงื้อมมือของใต้เท้าไป ก็ยังไม่อาจหนีไปไหนได้ในทันที ต้องติดอยู่ในนี้อยู่สักพัก” ภูตระดับสูงที่ดูเหมือนผีดิบเอ่ยอย่างระมัดระวังออกมา

 

 

“ครึ่งหนึ่งตามข้ามา อีกครึ่งหนึ่งวางเขตอาคมทันที แม้ว่าคนเหล่านั้นจะล่ออสูรอเวจีอัสนีไป แต่คงคิดไม่ถึงว่า อสูรที่คุ้มครองเกษียรเทวะอยู่ไม่ได้มีเพียงตนเดียว แต่อยู่กันเป็นคู่ผัวเมีย” หุ่นเชิดเกราะโลหิตเงยหน้าขึ้นมองไปยังเมฆทะมึนบนท้องฟ้าแวบหนึ่ง แล้วเอ่ยอย่างเย็นชาออกมา

 

 

“แม้ว่าอสูรอเวจีอัสนีจะเป็นสิ่งที่อาวุโสของเผ่าเราทิ้งไว้ให้ดูแล แต่หากไม่มีป้ายเทียบเชิญให้เข้าไป เกรงว่าพวกเราก็ถูกอสูรตัวนี้โจมตีเช่นกัน” ภูตตนนี้ดูเหมือนว่าจะมีสติปัญญาไม่ต่ำต้อย พลางเอ่ยอย่างลังเลออกมา

 

 

“วางใจ ในเมื่อคนเหล่านั้นเดินมาอยู่ตรงหน้า ต่อให้อสูรอเวจีอัสนีด้านในทำการโจมตี ก็น่าจะโจมตีพวกเขาก่อน พวกเราแค่แอบตามไป ลงมืออย่างลับๆ ก็พอแล้ว เดิมทีมีแค่มีดเบญจมังกร ข้าก็มั่นใจว่าจะต่อกรคนเหล่านั้นได้แค่ครึ่งหนึ่งเท่านั้น ตอนนี้มีอสูรอเวจีอัสนีคอยช่วย หากพวกเขาหนีรอดไปได้ คงจะเป็นเรื่องแปลกมากกว่า ส่วนอสูรอเวจีอัสนีอีกตัวนั้นถูกล่อไปก็ล่อไปเถิด หากไม่เป็นเช่นนั้น คนเหล่านี้จะเข้าไปยังแดนแห่งความตายของตนเองได้อย่างไร หากลงมือภายนอก การโจมตีให้พวกเขาพ่ายแพ้ก็นับว่าไม่ใช่เรื่องยากอะไร แต่หากจะสังหารทั้งหมดจริงๆ ก็เป็นเรื่องที่ยากแสนยาก” หุ่นเชิดหัวเราะอย่างเย็นชาออกมา

 

 

ภูตคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนั้น ชั่วขณะนั้นก็ไม่ได้เอ่ยอะไรออกมาอีก

 

 

“อสูรอเวจีอัสนีที่ไล่ตามไปตัวนั้นก็ไม่อาจมองข้ามได้ ส่งคนตามไปลับๆ ซะ หากคนผู้นั้นถูกกลืนเร็วไปหน่อย หรือว่ามีความเปลี่ยนแปลงอะไรที่ทำให้อสูรอเวจีอัสนีกลับมา ก็ใช้ยันต์หมื่นลี้เตือนพวกเราในทันที” หุ่นเชิดเกราะโลหิตดูเหมือนว่าจะนึกอะไรขึ้นมาได้ จึงเอ่ยถามขึ้น

 

 

“ใต้เท้าโปรดวางใจ ข้าได้ส่งภูตขาวที่เชี่ยวชาญการอำพรางกายและเคล็ดวิชาหลีกหนีที่สุดในบรรดาพวกเราตามเขาไปอยู่ไกลๆ แล้ว ไม่มีทางมีอะไรผิดพลาดแน่” ภูตระดับสูงตนนั้นเอ่ยอย่างร้อนรน

 

 

“ภูตขาว! คือผู้ที่เผชิญหน้ากับผู้ที่แข็งแกร่งที่สุดที่มาจากภายนอก แล้วสูญเสียแขนไปแค่ข้างหนึ่งน่ะหรือ” หุ่นเชิดเกราะโลหิตดูเหมือนว่าจะตกตะลึง

 

 

“ใช่ นางนั่นแหล่ะ”

 

 

“อืม หากเป็นนาง ก็คงไม่มีปัญหาอะไร พวกเราลงมือกันเถิด ผู้ที่มาจากภายนอกน่าจะเข้าไปในวังใต้ดินของบ่อเทวะแล้ว” หุ่นเชิดเกราะโลหิตพยักหน้า แล้วออกคำสั่ง

 

 

ภูตทั้งหมดเปล่งเสียงร้องประสานตอบรับ!

 

 

ชั่วขณะนั้นท่ามกลางภูตสองสามตน ทั้งสามก็ตามหุ่นเชิดเกราะโลหิตเข้าไปในทางเดินสีฟ้า และภูตระดับสูงที่เหลือก็แหงนหน้ากู่ร้องคำราม แล้วทยอยกันมีเงาโครงกระดูกสีดำจำนวนนับไม่ถ้วนทะลักออกมาจากเมฆสีดำรอบๆ เสียงร้องคร่ำครวญดังขึ้น

 

 

……

 

 

หานลี่ใช้มือหนึ่งโบกไปมา ชั่วขณะนั้นประจุไฟฟ้าสีทองเจ็ดแปดสายพลันพุ่งออกมาจากหลังจากที่มีเสียงฟ้าร้องดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง เป้าหมายก็คือผู้ที่ไล่ตามเข้ามาอยู่ด้านหลังห่างออกไปร้อยจั้งเศษ

 

 

ตรงนั้นคือประจุไฟฟ้าสีเงินกลุ่มหนึ่งที่กำลังเปล่งแสงระยิบระยับ นั่นก็คืออสูรอเวจีอัสนีที่ไล่ตามมาตั้งไม่รู้กี่หมื่นลี้แล้ว

 

 

อสูรตัวนี้เห็นประจุไฟฟ้าสีทองโจมตีเข้ามา ไม่เพียงจะไม่โกรธเกรี้ยวกลับเผยสีหน้าตื่นเต้นดีใจออกมา อ้าปากออก ชั่วขณะนั้นพลันม้วนม่านลำแสงสีเงินกลุ่มหนึ่งออกมา

 

 

อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายสองสามสายสัมผัสกับหมอกสีเงิน ถูกม้วนเข้าไปข้างในอย่างเงียบเชียบทันที จากนั้นอสูรอเวจีอัสนีก็อ้าปากออกสูดกลับเข้าไป

 

 

แลบลิ้นเลียริมฝีปาก เสียง “ครืนๆ” ต่ำๆ ดังออกมาจากท้องของอสูรตัวนี้ อสูรอเวจีอัสนีกลับเผยสีหน้ายินดีออกมา ราวกับว่าได้กลิ่นอะไรที่เอ็ดอร่อยอย่างไรอย่างนั้น

 

 

และด้วยเหตุนี้ หานลี่พลันถือโอกาสนี้ออกแรงสะบัดปีกที่แผ่นหลัง กลายเป็นผลึกเส้นไหมสายหนึ่งเปล่งแสงสว่างวาบ หลังจากกระพริบวาบสองสามครั้งก็ปรากฎห่างออกไปสองสามร้อยจั้ง ดึงระยะห่างออกจากอสูรตนนี้ได้ชั่วคราว

 

 

ส่วนอสูรอเวจีอัสนีเห็นเช่นนี้ก็ไม่ได้รีบร้อน หลังจากเปล่งเสียงคำรามต่ำๆ ออกมา แขนขาทั้งสี่ก็มีประจุไฟฟ้าสีเงินวนล้อมรอบอยู่ แล้วถึงได้ไล่ตามไปอย่างเต็มกำลัง

 

 

หานลี่ไม่ต้องหันหัวกลับมา ก็รู้การเคลื่อนไหวทั้งหมดของอสูรตัวนี้

 

 

ระหว่างทางอสูรตัวนี้กระทำเช่นเดิมมาไม่รู้ต่อกี่ครั้งแล้ว

 

 

ความเร็วของอสูรตัวนี้เหลือว่าการที่เขาออกบินเต็มกำลังเสียอีก

 

 

แม้ว่าจะดึงระยะห่างออกมาขนาดนี้ ในเวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยน้ำชา ก็ถูกมันไล่ตามมาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ อย่างช้าๆ จากนั้นอสูรตัวนี้ก็เริ่มการโจมตีอย่างไม่เกรงใจ

 

 

ตอนแรกอสูรตัวนี้อ้าปากออกพ่นประจุไฟฟ้าอัสนีสีเงินเป็นสายๆ ออกมา อานุภาพน่าตกตะลึง แต่หานลี่ที่มีอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายและชุดคลุมอัสนีปกป้องร่าง ก็รับเอาไว้ได้อย่างสบายๆ

 

 

อสูรอเวจีอัสนีเห็นฉากนี้ ทันใดนั้นก็หยุดอัสนีในปาก ปล่อยกรงเล็บลำแสงสีเขียวเป็นสายๆ ออกมา

 

 

ตอนแรกกรงเล็บลำแสงเหล่านี้มีขนาดแค่หนึ่งฝ่ามือ แต่เมื่อออกจากกรงเล็บของอสูรได้ไม่นานนัก ก็กลายเป็นมีขนาดสองสามจั้งกลางอากาศ

 

 

กรงเล็บลำแสงสองสามสายตะปบลงมา แม้กระทั่งอากาศรอบๆ ก็ยังถูกดูดเข้าไปจนหมด ทำให้ผู้คนรู้สึกประหลาดใจจะหลบยังไงก็หลบไม่พ้น!

 

 

หากไม่ใช่เพราะปีกวายุอัสนีที่แผ่นหลังของหานลี่ไม่ธรรมดา สามารถรวมเคล็ดวิชาหลีกหนีวายุและอัสนีสองชนิดเข้าด้วยกันได้ในระยะเวลาอันสั้น

 

 

เกรงว่าภายใต้การโจมตีนี้ กว่าครึ่งก็คงต้องเสียชีวิตน้อยๆ ไปแล้ว

 

 

แต่เช่นนั้น เขาก็ยังรู้สึกหวาดเสียว ภายใต้การโจมตีด้วยกรงเล็บลำแสงที่เปลี่ยนแปลงไปมากนั้น ก็เกือบจะบีบเข้ามาประชิดอยู่หลายครั้ง แม้กระทั่งการโจมตีครั้งหนึ่งไม่นานมานี้ แค่ถูกกรงเล็บลำแสงนั้นกวาดไปนิดหน่อย ก็รู้สึกถึงความเจ็บปวดไม่น้อยในทันที

 

 

ต้องขอบคุณหญิงงามผมขาวที่มอบธงเฉียนคุนซึ่งมีอานุภาพมหัศจรรย์ให้เขา มันสร้างภาพขนาดยักษ์ขึ้นดูดรับการโจมตีกว่าครึ่งเอาไว้

 

 

แต่เช่นนั้นก็ทำให้เขาถูกโจมตีจนเกราะปริแตก ชุดคลุมอัสนีสลายหายไป ปราณแท้ในร่างเสียหายไปเล็กน้อย

 

 

เช่นนั้นหานลี่ไหนเลยจะกล้าปล่อยให้อสูรตัวนี้เข้าใกล้อีก ทำได้เพียงปล่อยอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายออกมาเป็นบางครั้งระวห่างที่อีกฝ่ายใกล้จะตามทัน ชะลอการไล่ล่าของอีกฝ่ายเอาไว้

 

 

ส่วนอสูรอเวจีอัสนีที่กลืนกินอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายไปไม่หยุดนั้น ก็ดูเหมือนว่าจะไม่รีบร้อนสังหารหานลี่ แค่เพียรพยามไล่ตามไปอย่างไม่ลดละเท่านั้น

 

 

ครานี้ผ่านไปครึ่งชั่วยาม หานลี่ก็พาอสูรตัวนี้บินออกจากเทือกเขาสีเทาแล้ว และยิ่งไปกว่านั้นยังหนีออกไปไกลเรื่อยๆ

 

 

นี่ก็เพราะเขามีลมปราณเหนือกว่าผู้ที่อยู่ในระดับเดียวกัน ประกอบกับที่เคล็ดวิชาหลีกหนี และมีอัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายจำนวนมาก

 

 

เปลี่ยนเป็นระดับเทพแปลงคนหนึ่งหรือแม้กระทั่งระดับหลอมสูญ ก็คงถูกอสูรตัวนี้ไล่ตามทันแล้วกลืนกินลงไปแล้ว

 

 

มิน่าล่ะลิ่วจู๋และพวกต่างก็คิดว่าการที่เขาเป็นเหยื่อล่อคงโชคร้ายมากกว่าโชคดี

 

 

เพื่อทลายเขตอาคมของแม่น้ำอเวจีเบื้องหน้า หานลี่จึงใช้อัสนีเทวาปัดเป่าภยันตรายไปไม่น้อย

 

 

และหากไม่มีอัสนีเทวานี้ตรึงเอาไว้ ลิ่วจู๋และพวกย่อมคิดว่าเขาไม่อาจต้านทานได้นานนัก

 

 

หานลี่ระวังอสูรอเวจีอัสนีที่อยู่ด้านหลังไม่หยุดไปพลาง ขบคิดว่าพวกลิ่วจู๋น่าจะทลายเขตอาคมออกและไม่มีเวลามาสนใจตนเองไปพลาง เริ่มขบคิดหาวิธีการหลบหนี

 

 

วิธีธรรมดาๆ ไม่มีทางสลัดปีศาจอสูรที่น่ากลัวมากด้านหลังได้ สิ่งเดียวที่เขาพึ่งได้มีเพียงไข่มุกอัสนียี่สิบกว่าเม็ดบนร่าง ยันต์วิเศษที่เขียนขึ้นใหม่สองชนิด รวมทั้งวิธีการสังหารของแมลงกลืนทองโตเต็มวัย

 

 

สองชนิดแรกล้วนเป็นของที่ใช้แล้วหมดไป ซึ่งเดิมทีเตรียมเอาไว้ใช้กับลิ่วจู๋และพวก อย่างหลังหากใช้จะสูญเสียจิตสัมผัสไปเป็นจำนวนมาก หากไม่ตกอยู่ในอันตรายถึงชีวิต ก็จะไม่นำออกมาใช้เช่นกัน

 

 

แววตาของหานลี่เปล่งแสงระยิบระยับ ความคิดวิ่งวนไปมาอย่างรวดเร็ว

 

 

แมลงกลืนทองนับร้อยนับพันตัว เขาไม่อาจควบคุมให้โจมตีศัตรูได้ แต่หากปล่อยออกมาสองสามตัวเพื่อรบกวนอสูรอเวจีอัสนีที่อยู่ด้านหลัง ก็พอจะลองทดสอบดูได้

 

 

เขาเองไม่จำเป็นต้องทำอะไรกับอสูรตัวนี้ ขอแค่ให้มันลดความเร็วลง ก็สามารถหนีรอดพ้นได้แล้ว เพื่อความปลอดภัย ใช้ยันต์ผสานไปด้วย โอกาสที่จะทำสำเร็จก็น่าจะมากขึ้นแล้ว

 

 

ภายใต้การขบคิดอย่างหนักของหานลี่ ในที่่สุดก็คิดวิธีการที่พอจะไปไหวออก ทันใดนั้นก็สูดลมหายใจเข้าเฮือกหนึ่ง ชั่วพริบตาจิตสัมผัสก็เชื่อมประสานกับกำไลเก็บอสูรวิญญาณที่ซ่อนอยู่ในร่าง