ตอนที่ 303 เข้าสู่เมืองหลวง
ตอนที่ 303 เข้าสู่เมืองหลวง

จ้าวเหวินเทาถอนหายใจ “ดูเหมือนว่าเรื่องที่พวกเราไม่เข้าใจจะมีเยอะมากเลยนะ!”

เย่ฉูฉู่ได้ฟังอารมณ์ความรู้สึกของสามี เธอกลับพูดว่า “ไม่ใช่ว่าพวกเรามีเรื่องที่ไม่เข้าใจเยอะมากหรอกค่ะ ทุกคนต่างก็มีเรื่องที่ไม่เข้าใจเยอะมากเหมือนกัน ต่อให้เป็นพี่สะใภ้สามก็มีเรื่องที่หล่อนไม่รู้”

จ้าวเหวินเทาเอ่ย “แต่อย่างน้อย ๆ สิ่งที่พี่สะใภ้สามเข้าใจผมก็น่าจะเข้าใจสิ”

นี่เป็นความล้มเหลวที่ใหญ่ที่สุดของเขา ภายในใจของเขาไม่ยอมรับว่าตัวเองสู้นักศึกษามหาวิทยาลัยไม่ได้

เย่ฉูฉู่มองเห็นสามีหมดความภาคภูมิใจ จึงหัวเราะออกมา “มันจะอะไรกันคะ ไม่เข้าใจก็เรียนรู้สิ แค่นี้ก็เข้าใจแล้ว”

จ้าวเหวินเทาไม่ใช่คนที่มีนิสัยเสียใจในความผิดพลาดของตนเอง เพียงแค่ครู่หนึ่งก็กลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เขาอุ้มเสี่ยวไป๋หยางขึ้นมาแล้วชูขึ้นสูง ๆ เสียวไป๋หยางโบกแขนเล็ก ๆ ไปมาอย่างมีความสุขไม่ยอมหยุด

เรื่องที่เสี่ยวหม่าจะไปปักกิ่งเกิดการพลิกผันบางอย่าง เป็นอย่างที่จ้าวเหวินเทาคิดไว้ คนแก่ ๆ ต่อต้านเมืองใหญ่ แต่ก็รั้งเสี่ยวหม่าที่อยากไปไม่ไหว ท้ายที่สุดก็ยอมตอบตกลง

เขานำถุงที่ดีที่สุดในบ้านออกมา และใส่เสื้อผ้าที่ดีที่สุดไปสามสี่ตัวและทำรองเท้าใหม่ด้วย เดิมทียังอยากต้มไข่ไก่อีกสามสี่ฟอง แต่อากาศตอนนี้ร้อนมาก กลัวว่าจะเสียจึงไม่ได้ต้มไว้ เสี่ยวหม่าหิ้วถุงมาหนึ่งใบและนั่งรถของจ้าวเหวินเทาเพื่อเดินทางไปในเมือง จากนั้นก็นั่งรถไฟจากในเมืองต่อไปยังปักกิ่ง

นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่เสี่ยวหม่าเข้ามาในเมือง แต่เป็นครั้งแรกที่เขาได้นั่งรถไฟ และเป็นครั้งแรกที่ได้ไปปักกิ่ง เขาตื่นเต้นเสียจนนอนไม่หลับตลอดคืน ระหว่างที่นั่งบนที่นั่งแข็ง ๆ ก็มองซ้ายมองขวาไปเรื่อย

รถไฟที่มุ่งหน้าไปปักกิ่งในตอนนี้มีแค่วันละเที่ยวเท่านั้นและไม่ได้แออัด แม้จะเป็นที่นั่งแข็ง ๆ แต่เป็นเพราะที่นั่งไม่เต็ม จึงสามารถเอนตัวนอนได้ แต่เสี่ยวหม่าไม่ได้เอนตัวนอน เขานั่งพิงเข้ากับที่พิงหลัง ขายาว ๆ ของเขาแทบจะไม่มีที่ให้วาง จึงต้องงอตัวด้วยท่าทางน่าสงสาร มือทั้งสองข้างกอดอกไว้ และเขาก็ได้ดูทัศนียภาพของผู้โดยสารที่อยู่ตรงข้ามพอดี

มีบางคนกำลังกินไข่ไก่ต้มน้ำชา เขานึกถึงเรื่องที่ตัวเองไปซื้อไข่ไก่ต้มน้ำชาในเมือง ไม่เพียงแค่ถูกแย่ง แต่ยังถูกทุบตีด้วย จนถึงตอนนี้ก็ยังงงงันอยู่เลย

มีบางคนกำลังกินอาหารกระป๋อง เขานึกถึงซานจากระป๋องที่ครอบครัวซื้อมาตอนข้ามปีได้ หนึ่งคนแบ่งกันคนละลูก น้ำที่อยู่ในนั้นก็แบ่งกันดื่มคนละอึก รสชาติหวาน มีความเหนียวหน่อย ๆ หลังจากดื่มหมดก็อดไม่ได้ที่จะเลียริมฝีปากครั้งแล้วครั้งเล่า

ว้าว มีคนกินข้าวด้วย!

เสี่ยวหม่าอดไม่ได้ที่จะกลืนน้ำลาย เขาเคยเห็นคนอื่นกินข้าว แต่ตัวเองกลับไม่เคยได้กิน สิ่งที่เขากินก็คือข้าวฟ่าง แป้งบักวีท ส่วนแป้งขาวได้กินแค่ปีละครั้ง ส่วนข้าวสวยได้แค่อยู่ในจินตนาการตลอดไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ารสชาติเป็นอย่างไร

ข้าวสีขาว ๆ ได้รับประทานก็คงหอมมากแน่ ๆ เลยสินะ?

เสี่ยวหม่าระดมเซลล์สมองที่มีอยู่จำนวนนับไม่ถ้วนเพื่อจินตนาการ แต่ก็ยังจินตนาการไม่ออกอยู่ดี

ในกระเป๋าของเขามีเงินหนึ่งร้อยหยวน พ่อกับแม่ให้เงินเขามาสิบหยวน แปดสิบห้าหยวนเป็นเงินที่พี่สาวกับพี่เขยให้มา ส่วนอีกห้าหยวนที่เหลือจ้าวเหวินเทาเป็นคนให้ บอกว่าเป็นเงินค่าจ้างของเขา แม้ว่าจะทำไม่ถึงเดือน แต่เขาออกเดินทางมาไกลขนาดนี้ ก็ต้องมีเงินติดตัวไว้สักหน่อย อยู่บ้านประหยัดแต่ออกนอกบ้านก็ต้องมีเงินติดตัวไม่ให้อายคนอื่นเขา

หากเป็นเมื่อก่อน เขาคงเอาเงินนี้ไปซื้อข้าวแต่แรกแล้ว แต่ตอนนี้หลังจากผ่านความพ่ายแพ้มาหลายครั้งขนาดนั้น เขาก็ไม่กล้าแล้ว ครั้งนี้เดินทางไปที่ปักกิ่งเลยนะ ไม่รู้ว่าไปแล้วจะเป็นอย่างไรบ้าง ดังนั้นเขาถึงทำใจไม่ได้ที่จะจ่ายเงิน และไม่กล้าที่จะจ่ายด้วย

รอให้ฉันหาเงินได้ก่อนเถอะ ฉันจะซื้อข้าวสวยถ้วยใหญ่แน่นอน จะกินให้อิ่มแปล้เลย! แล้วก็จะซื้ออาหารกระป๋องขนาดใหญ่อีกหนึ่งกระป๋องด้วย!

ฉันต้องมีเงินให้ได้ เสี่ยวหม่าเลียริมฝีปากพลางคิด

ครึ่งแรกของช่วงกลางดึกมองดูคนอื่นกินและดื่ม ครึ่งหลังของช่วงกลางดึกมองดูคนอื่นนอนหลับ เสี่ยวหม่าไม่ได้ปิดตาตลอดทั้งคืน

เมื่อถึงช่วงเย็นของวันรุ่งขึ้น รถไฟที่แล่นอย่างช้า ๆ ก็จอดลงที่สถานีรถไฟของปักกิ่ง เสี่ยวหม่ายังกระปรี้กระเปร่าเหมือนเดิม เขาหิ้วถุงเดินตามผู้โดยสารคนอื่น ๆ ลงรถไฟ มองดูป้ายที่เขียนอยู่ด้านบนว่า ‘สถานีปักกิ่งตะวันตก’ เท้าของเขาเหยียบลงบนพื้นแรง ๆ ความรู้สึกที่ไม่อาจพูดออกมาได้พลันพรั่งพรูออกมา เขาได้มาเหยียบพื้นดินของปักกิ่งด้วยตัวเองเลยนะ!

เขาพาดถุงไว้บนบ่าและเดินตามคนอื่น ๆ ออกจากสถานี เขามองหาคนที่มารับที่สถานี จ้าวเหวินเทาบอกไว้ว่า คนที่มารับจะชูป้ายและเขียนชื่อเขาอยู่บนนั้น

หลังจากเดินหาอยู่รอบหนึ่งในที่สุดก็เห็นป้าย แต่ด้านบนนั้นเขียนแค่คำง่าย ๆ ของคำว่า ‘เสี่ยวหม่า’ ไม่ได้เขียนว่าหม่ากว๋อเหว่ย

เสี่ยวหม่าไม่ได้มีอารมณ์จู้จี้จุกจิกอะไร เขารีบสาวเท้าเข้าไป เขาเห็นคนที่ยืนถือป้าย โห คนนี้หน้าตาดีไม่เบาเลยแฮะ!

แต่เป็นเพราะท่าทางของเขาที่เพิ่งมาถึงปักกิ่ง จู่ ๆ เขาที่มีชีวิตมายี่สิบปีก็สนใจถึงรูปร่างหน้าตาขึ้นมา ไม่ว่าจะมองใคร ก็ประเมินคนอื่นจากจิตใต้สำนึกว่าอีกฝ่ายหน้าตาดีหรือไม่ดี

คนที่มารับเขาคือเย่หมิงเป่ย ตอนนี้เขาสวมใส่ด้วยกางเกงขายาวและเสื้อเชิ้ตแขนยาว พับแขนเสื้อและใส่เสื้อกั๊กข้างใน

หลังจากผ่านการขัดเกลาอยู่ในเมืองใหญ่มานานขนาดนี้ เย่หมิงเป่ยก็มีราศีกลายเป็นคนในเมืองไปแล้ว ประกอบกับหน้าตาของเขาที่ไม่ได้ขี้ริ้วขี้เหร่ รูปร่างสูงผอมสะโอดสะอง ทำให้ยืนอยู่ตรงนั้นก็ยังสะดุดตามาก

“เสี่ยวหม่าจากหมู่บ้านข้าวซานถุนใช่ไหม?” เย่หมิงเป่ยเห็นท่าทางของเสี่ยวหม่าก็เอ่ยถามออกมา

เสี่ยวหม่าพยักหน้ารัว ๆ “ผมคือเสี่ยวหม่า แต่ผมไม่ได้อยู่หมู่บ้านข้าวซานถุน พี่สาวผมแต่งงานมาอยู่ที่หมู่บ้านข้าวซานถุน ส่วนผมเป็นคนจากหมู่บ้านเซี่ยเตี้ยน”

เย่หมิงเป่ยรู้จักหมู่บ้านเซี่ยเตี้ยน เป็นหมู่บ้านที่จนมาก เอาเถอะ หมู่บ้านของเขาก็จนมากเหมือนกัน

“จ้าวเหวินเทาให้นายมาที่นี่ใช่ไหม?” เย่หมิงเป่ยถามเพื่อความมั่นใจต่อ

“ใช่ ๆ พี่จ้าวให้ผมมาที่นี่!”

“งั้นก็ถูกแล้วล่ะ ฉันชื่อเย่หมิงเป่ย มารับนาย” เย่หมิงเป่ยกล่าวด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็นำป้ายที่ทำไว้เพียงชั่วคราวทิ้งลงไปในถังขยะ

เสี่ยวหม่าพูดอย่างสนิทสนม “พี่เย่ ผมเรียกพี่แบบนี้ได้ใช่ไหม?”

“ได้สิ ไปเถอะ พวกเราไปกินข้าวกันก่อน”

“ดีเลย ๆ ผมไม่ได้กินอะไรมาหนึ่งวันกว่า ๆ แล้ว!”

ไม่พูดถึงเรื่องกินข้าวก็ยังดีอยู่ แต่เมื่อพูดว่าจะไปกินข้าวเสี่ยวหม่าก็รู้สึกหิวขึ้นมาเล็กน้อย

เย่หมิงเป่ยประหลาดใจ “ทำไมนายไม่กินข้าวล่ะ?”

“ตอนผมอยู่บนรถไม่ได้รู้สึกหิวขนาดนั้น อีกอย่างของที่อยู่บนรถก็แพงมากด้วย” เสี่ยวหม่าพูดอย่างเขินอาย

เย่หมิงเป่ยแอบครุ่นคิดในใจ เด็กคนนี้ไม่ค่อยเหมือนกับที่จ้าวเหวินเทาพูดไว้เลยแฮะ

เสี่ยวหม่าไม่ได้กินข้าวมาหลายชั่วโมงแล้ว เย่หมิงเป่ยก็รู้สึกไม่ได้ที่จะพาเดินไปไกล ๆ จึงหาร้านบะหมี่ราคาไม่แพงหนึ่งร้าน และสั่งราดหน้ามาสามสี่ถ้วย

เสี่ยวหม่าคงหิวมากจริง ๆ เขารับประทานบะหมี่สี่ถ้วยใหญ่หมดในคราวเดียว เย่หมิงเป่ยไม่กล้าให้เขารับประทานแล้ว เพราะกลัวว่าจะกินอิ่มจนจุก

หลังจากกินอาหารเสร็จ ก็นั่งรถสาธารณะกลับไปที่โรงงานเสื้อผ้า โจวหมิ่นกั้นห้องขนาดเล็กไว้ให้เสี่ยวหม่าอยู่ที่นี่ชั่วคราว

ตอนที่ยังไม่สามารถหาเงินได้ โจวหมิ่นยังไม่อยากหยิบยื่นสิ่งอำนวยความสะดวกที่ดีเกินไปให้เขา ถึงอย่างไรตอนนั้นหล่อนอยู่ในสภาพนี้เหมือนกัน ทำไมเสี่ยวหม่าถึงต้องได้รับการต้อนรับเป็นพิเศษด้วย

เสี่ยวหม่าได้เห็นก็แอบรู้สึกหดหู่นิดหน่อย ห้องขนาดเล็กหนึ่งห้องขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือ มีหน้าต่างบานเล็ก ๆ พื้นก็เป็นพื้นคอนกรีต มีเตียงเดี่ยววางอยู่ โต๊ะและเก้าอี้อย่างละตัว และมีตู้ง่าย ๆ อีกหนึ่งตู้ บอกไว้ว่าเอาไว้ใส่เสื้อผ้า ส่วนอย่างอื่นก็ไม่มีอะไรแล้ว

“ที่นี่จะมีคนมาทำอาหารให้ตอนเที่ยงกับตอนค่ำ อยู่ที่ห้องทางตะวันออกของบ้านนะ นายไปกินข้าวที่นั่นได้ ตอนเช้าไม่มีข้าวให้ นายต้องออกไปซื้อกินเอง ราคาไม่แพงหรอก แต่ละเดือนจะมีเงินช่วยเหลือนายยี่สิบหยวน ถ้าจะเข้าห้องน้ำต้องไปข้างนอกบ้าน เดินไปทางตะวันตก มีห้องน้ำสาธารณะอยู่ห่างออกไปสองร้อยเมตร” เย่หมิงเป่ยพูดพลางยื่นกุญแจห้องให้เขา

“นายไปนอนให้เต็มตื่นก่อน วันพรุ่งนี้ค่อยทำงาน” เย่หมิงเป่ยพูดกับเขาอย่างง่าย ๆ แล้วก็ไปทำงานต่อ

เสี่ยวหม่ายิ่งรู้สึกผิดหวังเข้าไปใหญ่ อีกฝ่ายไม่ได้ต้อนรับเขาด้วยความกระตือรือร้นเลย อย่างน้อย ๆ ก็ไม่ได้เหมือนกับที่เขาคาดหวังไว้

เขาใช้มือกดลงบนเตียง เตียงถูกปูไว้หนามาก ผ้าห่มก็หนามากเหมือนกัน ตอนนี้ใกล้จะถึงฤดูใบไม้ร่วงแล้ว ตอนเช้าและตอนเย็นอากาศเย็นนิดหน่อย แต่ช่วงค่ำอากาศหนาวแล้ว เตียงนอนนี้ไม่ใช่เตียงเตาด้วย ถ้าปูเตียงน้อยเกินไปคงหนาวน่าดู

……………………………………………………………………………………

สารจากผู้แปล

ออกมาทำงานไกลบ้านก็แบบนี้แหละ สู้ ๆ นะไอ้หนุ่ม

ไหหม่า(海馬)