ฮ่องเต้ในเวลานี้รู้สึกตึงเครียดเป็นอย่างมาก ถึงกับมองดูด้วยจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว กล่าวถามออกมาทันที
“รัชทายาทเป็นอย่างไรบ้าง?”
เฉินเกิงเหนียนเพิ่งจะกดชีพจรตรวจอาการฉู่อี้อัน ย่อมไม่อาจตอบไปได้อย่างทันที
ฉู่อี้เจี่ยนที่มองอยู่ตรงข้ามกลับแค่นหัวเราะออกมา กล่าวอย่างเหน็บแนม “เห็นอย่างนี้แล้ว ในบรรดาลูกหลานของท่านทั้งหมด ก็คงมีเพียงฉู่อี้อันเท่านั้นที่ท่านเป็นห่วงเขาด้วยใจจริง คนอื่นๆ นั้นแทบจะวิ่งเต้นเข้ามาในวังเพื่อ ’เยี่ยมไข้’ ก็ไม่รู้ว่าพวกเขามาเยี่ยมไข้อย่างจริงใจหรือไม่ หรือว่าเดิมทีก็แค่ตั้งใจมาสำรวจดูว่า ตำแหน่งฮ่องเต้นี้เป็นสิ่งที่คุ้มค่าหรือไม่ หากมีมันอยู่ในมือ เพียงแค่ลูกหลานเหล่านั้นเอาใจใส่มากสักหน่อย ก็หวังว่าสิ่งที่ทุ่มเทเพื่อปีนขึ้นไปบนตำแหน่งนั้นจะไม่เสียเปล่า!”
เดิมฮ่องเต้ก็โกรธจนเลือดขึ้นหน้า เมื่อถูกเขากล่าวเสียดสีครั้งแล้วครั้งเล่า ทั้งยังสภาพจิตใจเขาตอนนี้ ก็แทบที่จะอยากตอกกลับไปในรวดเดียว
“เจ้า…เจ้า…” เขายกมือขึ้น เข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันออกมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า มองไปที่ฉู่อี้เจี่ยนทีหนึ่ง คล้ายกับว่าหากมองไปที่เขานานกว่านี้ก็คงจะต้องระเบิดอารมณ์จนสูญเสียการควบคุมไป ดังนั้นจึงเบือนสายตาหนีไปทางอื่นเสียอย่างนั้น ชี้นิ้วที่สั่นไหวในอากาศไปที่เขา ทั้งคำรามคล้ายเสียงที่ฉีกขาดออกมาจากลำคอ “ทหาร จับตัวมันให้ข้าเดี๋ยวนี้!”
เวลานี้ เขาไม่ต้องการคำตอบแล้ว เพียงแค่ต้องการที่จะจบเรื่องนี้เท่านั้น มือจึงชี้ไปที่ตรงหน้าของคนผู้นั้นอย่างตัดสินชะตากรรม
“พ่ะย่ะค่ะ!” พวกองครักษ์รับคำสั่งเตรียมที่จะลงมือ
ฉู่ซินรุ่ยที่มองอยู่ไกลๆ ในตอนที่กำลังลังเลว่าจะปรากฏกายออกมา กลับเห็นว่าฉู่อี้เจี่ยนไม่มีท่าทีกลัวเกรงแม้แต่น้อยทั้งยังหัวเราะออกมาอย่างดังลั่น
เมื่อเขายกมือขึ้น
องครักษ์ข้างกายก็ส่งกระบอกดินปืนที่ทำขึ้นมาพิเศษใส่มือเขาอย่างทันที
เขาไม่เคลื่อนไหว ทั้งคล้ายกับไม่ได้เตรียมที่จะหนีหรือจะขัดขวางอะไร กลับเผยสีหน้าสบายๆ เลิกคิ้วส่งสายตายั่วยุฮ่องเต้ไปเสียอย่างนั้น
ที่ประทับของฮ่องเต้ นับว่าเป็นตำหนักหนึ่งที่ตั้งตระหง่านสูงเด่นที่สุดในวังหลัง ยามนี้ได้ถูกล้อมรอบไปด้วยทะเลเพลิง ถูกเปลวที่ร้อนระอุนั้นเผาไหม้จนเกิดเป็นเสียงดังลั่น ผ่านไปช่วงหนึ่งก็ยังไม่มีสิ่งใดพังทลายลงไป
เวลานี้ก็ได้มีสะเก็ดไฟหล่นลงมาจากที่สูงนั่น
ซึ่งห่างจากตำแหน่งที่ฉู่อี้เจี่ยนยืนอยู่ ไม่ใกล้ไม่ไกล นับว่าอันตรายเป็นอย่างมาก
พวกองครักษ์เมื่อเห็นของในมือเขาก็ตกใจขึ้นมาโดยพลัน กำดาบในมือแน่น ยังคงรั้งกายตั้งรับมืออย่างลังเล
“ฝ่าบาท ในมือของเขาคือดินปืนพ่ะย่ะค่ะ” องครักษ์คนหนึ่งกล่าวพร้อมฝืนกลืนน้ำลายลงไปในคอที่แห้งผาก
ฮ่องเต้กัดฟันแน่น ใบหน้านั้นบิดเบี้ยวจนไม่เป็นรูป ใช้สายตาที่มืดมนอย่างถึงที่สุดมองไปที่เขาอย่างไม่ลดละ
“วันนี้ในเมื่อข้ามายืนอยู่ที่นี่แล้ว ก็ไม่ได้วางแผนที่จะถอนตัวออกไป เพียงแต่ไม่รู้ว่าท่านยินดีหรือไม่ ที่จะเดินไปบนเส้นทางนี้พร้อมกับข้า!” ฉู่อี้เจี่ยนกล่าว ริมฝีปากนั้นยกยิ้มขึ้นอย่างรวดเร็ว
กองทหารองครักษ์ในวังมีทั้งหมดนับแสนนาย แม้ว่ายามนี้จะวุ่นวายไปบ้าง แต่อีกสักพักก็คงจะรวมตัวกันขึ้นมาได้ แต่เพียงแค่คนที่คุ้มกันฮ่องเต้อยู่รอบๆ ในยามนี้…
หากเขาคิดจะหนีเอาตัวรอด นั่นก็เท่ากับเข็นครกขึ้นภูเขาแล้ว
“เจ้าคิดจะทำอะไรกันแน่?” ฮ่องเต้อับจนนหนทางแล้ว ทำได้เพียงฝืนระงับความโกรธที่คุกกรุ่นเอาไว้ กล่าวออกไปว่า “ข้าคิดว่าหลายปีมานี้ก็ได้ดูแลพวกเจ้าพ่อลูกมาไม่น้อย ให้เกียรติยศที่ไม่เป็นสองรองใครในใต้หล้านี้ เจ้าไม่สำนึกบุญคุณก็แล้วไป แต่ในวันนี้ เจ้ากลับตอบแทนข้าเช่นนี้อย่างนั้นรึ?”
“ท่านอย่าได้มาวางมาดอวดฉลาดเช่นนี้ต่อหน้าข้าให้มากนัก สิ่งที่ท่านเรียกว่าบุญคุณเกียรติยศพวกนั้น ข้าไม่พิสวาส มันสักนิด!” ฉู่อี้เจี่ยนกล่าว ตะโกนเสียงดังตัดบทเขา “อีกทั้งหากจะพูดอีกมุมหนึ่ง รางวัลที่ท่านประทานให้เหล่านั้น หลายปีมานี้เกียรติยศและความรุ่งโรจน์ทั้งหมดที่จวนอ๋องรุ่ยชินได้รับ มันเป็นสิ่งที่ท่านให้โดยไร้เงื่อนไขจริงๆ อย่างนั้นหรือ? เห็นได้ชัดว่าเพื่อท่านแล้ว ท่านพ่อยอมบุกฝ่าฟันอันตราย ค่อยๆ พยายามอย่างสุดชีวิตใช้ชีวิตเพื่อแลกมา! เขาเป็นพี่น้องร่วมสายเลือดกับท่าน เขาทำเพื่อท่านมากมายขนาดนี้ ก็เพียงเพื่อไม่ต้องการให้เสียใจในภายหลัง แต่ท่านตอนนี้กลับวางมาดเป็นผู้มีพระคุณอวดอ้างตนเองอยู่ที่นี่? ฉู่เป้ย ท่านไม่รู้สึกว่านี่เป็นเรื่องที่น่าอายไปหน่อยหรือ?”
หากจะพูดออกมาอย่างละเอียดแล้ว หลายปีมานี้ฉู่ซิ่นก็ล้วนแต่ปฏิบัติกับฉู่เป้ยด้วยความทุ่มเทอย่างสุดหัวใจ
ตั้งแต่ต้นมาได้ติดตามไปทั่วทุกหนทุกแห่ง จวบจนเขาได้ขึ้นครองราชย์เป็นฮ่องเต้ ก็ล้วนแต่ทุ่มเทด้วยใจจริง เชื่อฟังคำสั่งสอนเพียงแต่เขาที่เป็นพี่น้อง อดทนต่อความยากลำบากและคำครหา ไม่ลอบทำเรื่องลับหลังอันใดที่ฉู่เป้ยมอบหมายให้เขาไปทำทั้งนั้น
อย่างน้อยที่สุดก็เรื่องนี้ ฉู่อี้เจี่ยนไม่ได้พูดเกินจริงสักนิด…
เรื่องทั้งหมดที่ฉู่ซิ่นทำออกมาอย่างไร้ที่ติ ต่อหน้าฉู่เป้ยที่มีตำแหน่งฮ่องเต้และอำนาจเช่นนี้ ไม่มีช่องว่างที่จะใช้โจมตีได้แม้แต่น้อย
พูดถึงฉู่ซิ่นแล้ว ฮ่องเต้ก็ไร้คำพูดที่จะกล่าว…
เขาไม่สามารถโจมตีอีกฝ่ายได้ มิเช่นนั้นก็อาจจะทำให้ชื่อเสียงเรื่องความเมตตาของเขาเป็นที่ครหาได้ ทว่าในใจกลับโมโหอย่างถึงที่สุดเพราะท่าทีที่บ้าคลั่งของฉู่อี้เจี่ยนทั้งที่กล่าวราวกับต้องการให้เขาทดแทนบุญคุณ
“เหอะ…” ฮ่องเต้บีบมือกำหมัดแน่น แค่นหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น ใช้ดวงตาที่ดำมืดนั้นจดจ้องไปที่เขา
“แล้วอย่างไร? เพราะว่าพ่อของเจ้าทุ่มเททำเรื่องแทนข้าลงไปไม่น้อย เจ้าจึงรู้สึกไม่พอใจอย่างนั้นรึ? รู้สึกไม่ยุติธรรมแทนเขา? จากนั้นก็บุกเข้าวังมาอย่างไม่สนใจอันใด สังหารเชื้อพระวงศ์ ทั้งยังลอบวางแผนกับข้า หวังดึงข้าลงมาจากตำแหน่ง และนั่งบนบัลลังก์ทองแทนข้า เพื่อปลอบใจเขาที่ทุ่มแรงกายแรงใจลำบากมาตลอดหลายปีอย่างนั้นรึ?”
เขาไม่อาจโจมตีฉู่ซิ่น แต่ก็ดีที่ยามนี้ฉู่ซิ่นยังคงสลบไม่ฟื้น เรื่องที่ฉู่อี้เจี่ยนทำลงไป จึงถูกแค่เขาพูดออกมาเพียงฝ่ายเดียวเท่านั้น
ฮ่องเต้ยิ่งพูดก็ยิ่งโมโห เมื่อพูดมาถึงตอนท้าย ก็อดไม่ได้ที่จะคำรามเสียงแหบแห้งออกมา
ฉู่อี้เจี่ยนเห็นท่าทีกระหืดกระหอบของเขา ก็ราวกับเห็นตัวตลกผู้หนึ่ง
“ใช่แล้ว ข้าไม่พอใจแทนเขา เรียกความยุติธรรมแทนเขา แต่ข้ายังคืนให้เขาไม่พอเสียอีก!” ฉู่อี้เจี่ยนกล่าว มองเห็นฮ่องเต้ที่แสดงท่าทีที่เต็มไปด้วยสัจธรรม ในที่สุดก็เสียการควบคุมไป
ชายแก่ผู้นี้ เขาต้องเลือดเย็นและไร้ยางอายขนาดไหน จึงสามารถวางมาดองอาจมาไถ่ถามความผิดของผู้อื่นต่อหน้าผู้คนมากมายเช่นนี้ได้?
ความเคียดแค้นและโทสะที่สั่งสมไว้ในใจมาหลายปีนั้น คล้ายกับถูกไฟลุกเผาไหม้ทั้งยังถูกคนราดน้ำมันเข้าไปอีก พริบตาเดียวก็ทำให้สติสัมปชัญญะของคนผู้หนึ่งได้มอดไหม้เป็นเถ้าถ่านอย่างทันที
เพราะความโกรธแค้น ฉู่อี้เจี่ยนจึงเผยใบหน้าที่เกือบจะบิดเบี้ยวออกมา
เขาก้าวมาด้านหน้า ใช้แววตาจงเกลียดจงชังอย่างถึงที่สุดจ้องมองไปยังชายที่วางท่าเป็นคนดีอยู่ตรงข้าม ตะโกนออกมาอย่างเสียงดังด้วยความโกรธ
“ข้าคืนให้ท่านพ่อไม่พออย่างไรน่ะหรือ? ข้ายังคืนความยุติธรรมแทนท่านแม่ของข้า พี่น้องของข้า ทั้งพวกเราสายเลือดสกุลฉู่ที่เคยมีเกียรติยศชื่อเสียงมานับร้อยปีก็ยังรู้สึกว่ายังทดแทนไม่พอ! หลายปีมานี้ ท่านดำรงตำแหน่งนี้มาอย่างมั่นคง ได้รับเกียรติยศการสรรเสริญเยินยอจากผู้คนมาไม่น้อย ยามที่ท่านหลงใหลในลาภยศ ยามที่ท่านเสวยสุขอยู่บนจุดสูงสุดนั้น ได้คิดที่จะตอบแทนตระกูลฉู่ที่เลือกเดินเส้นทางที่ชโลมไปด้วยเลือดเพื่อท่านบ้างหรือไม่? ยามที่ท่านนั่งอยู่บนตำแหน่งค้ำฟ้า ใช้ชีวิตอย่างอู้ฟู่หรูหรา เคยจำได้หรือไม่ว่าเริ่มแรกในเมืองแห่งนี้ มีสายเลือดของตระกูลที่หัวหลุดออกจากบ่าไปตั้งเท่าใด ชะตากรรมที่น่าเศร้าของศพที่ถูกจัดการอย่างเลือดเย็น ท่านเพียงต้องการตำแหน่งฮ่องเต้และอำนาจเท่านั้น ท่านเพียงแค่ต้องการนั่งอยู่บนตำแหน่งที่สูงสุดเท่านั้น ทั้งยังเสวยสุขอย่างไม่ละอายใจมาจนถึงตอนนี้ หากจะให้พูดตามตรงแล้ว ท่านก็เป็นเพียงคนสารเลวที่เลือดเย็นและเห็นแก่ตัวเท่านั้น! แม้แต่ตระกูลของตนเองก็ยังไม่ลังเลที่จะใช้เท้าเหยียบเป็นหินก้าวขึ้นไปสู่จุดนั่นสักนิด ใต้หล้านี้มีผู้คนมากมายคณานับ ฉู่เป้ย…ท่านกลับเป็นคนที่ไร้ยางอายที่สุดในใต้หล้านี้! คนต่ำต้อยที่ไร้น้ำใจและคุณธรรม ทุกครั้งที่ท่านนั่งเหนือผู้คนอยู่บนนั้น วางมาดทำเป็นคำนึงถึงบ้านเมืองและประชาชนต่อหน้าขุนนางนับพันนับหมื่นที่อยู่ด้านล่าง ท่านไม่รู้สึกละอายใจสักนิดเชียวหรือ? ท่านยังถึงขนาดวางท่าองอาจนั่งอยู่บนตำแหน่งนั้นได้มากว่าสิบปี? ฉู่เป้ย ตั้งแต่เกิดมาท่านก็จิตใจอำมหิตเช่นนี้อยู่แล้ว? เกิดมาก็จิตใจเหี้ยมโหดเยี่ยงราชสีห์? หรือว่าตั้งแต่ต้นท่านก็เป็นคนชั่วช้าสามานย์ที่ไร้ซึ่งคุณธรรมอยู่แล้ว!”
—————————————————-