แดนนิรมิตเทพ บทที่ 470
มู่หรงเค่อมองดูชายหนุ่มสองคนนั้น สีหน้ามืดขรึมอย่างมาก “พวกนายเป็นใคร? รู้ไหมว่าที่นี่คือที่ไหน!”

ชายหนุ่มสองคนยิ้มเย็นชา ไม่ตอบอะไร น้ำเสียงมีอายุเสียงหนึ่งดังมาจากนอกประตู “ฉันรู้อยู่แล้วว่าที่นี่คือที่ไหน วิลล่าชิงหลงของตระกูลมู่หรงไม่ใช่หรือไง!”

ผู้อาวุโสผอมแห้งที่สวมใส่เสื้อสีดำคนหนึ่ง ค่อยๆเดินเข้ามา บนใบหน้ายิ้มชั่วร้าย

มู่หรงเค่อสีหน้ามืดขรึม ยิ้มเยาะพูดว่า “ในเมื่อรู้ว่าเป็นวิลล่าชิงหลงของตระกูลมู่หรง แล้วพวกนายยังกล้ามาสร้างเรื่องวุ่นวายที่นี่อีก อยากตายงั้นหรอ?”

พวกผู้มีอิทธิพลของเขตเจียงหนานที่อยู่ด้านหลังต่างก็ตกใจ

ผู้นำตระกูลมู่หรงผู้เหี้ยมโหดทั่วเขตเจียงหนานคนนี้ ถ้าหากโมโหเมื่อไหร่ ก็มักจะมีความน่าเกรงขามที่ทำให้ผู้คนรู้สึกหวาดกลัวแผ่ออกมา

ผู้อาวุโสคนนั้นไม่หวาดกลัวสักนิด พูดเยาะว่า “คุณมู่หรงช่างน่ากลัวจริงๆ สมแล้วที่เป็นเพชฌฆาตผู้ฆ่าคนอย่างง่ายดาย!”

ทุกคนต่างนิ่งอึ้ง เห็นได้ชัดว่าผู้อาวุโสคนนี้พูดจาแฝงความนัย!

ใบหน้าของมู่หรงเค่อเองก็มีความสงสัยปรากฏขึ้น ถามเสียงเย็นชาว่า “นายเป็นใครกันแน่? มีอะไรก็พูดมาตรงๆ!”

ผู้อาวุโสยิ้มชั่วร้าย “ฉันเป็นใครไม่สำคัญ แต่ฉันจะเรียกความยุติธรรมให้กับสิบกว่าชีวิตในสมาคมซานเหอเมื่อตอนนั้น!”

“สมาคมซานเหอ?” ทุกคนสีหน้างุนงง มีเพียงผู้คนน้อยนิดที่มีสีหน้าตกใจ แสดงความวิตกกังวลออกมา

แต่ว่า มู่หรงเค่อกลับมีสีหน้าตกตะลึง แล้วพูดกับพวกลูกน้องว่า “ทุกคน จับมันไว้!”

พวกบอดี้การ์ดที่ซ่อนตัวอยู่ในกลุ่มผู้คนรีบปรากฏตัวออกมา มีมากมายถึงสิบกว่าคน แล้วพุ่งตรงเข้าไปที่ผู้อาวุโสคนนั้น

ผู้อาวุโสยิ้มเยาะออกมา “คุณมู่หรง ลงมือเร็วขนาดนี้ เพราะกลัวว่าฉันจะพูดถึงการกะทำในอดีตของตระกูลมู่หรงออกมางั้นหรอ?”

“แต่ว่าเพียงแค่เจ้าหนูพวกนี้ นายคิดว่าสามารถจับฉันไว้ได้งั้นหรอ?”

ผู้อาวุโสยืนนิ่ง ใบหน้ายิ้มแย้มอย่างได้ใจ ชายหนุ่มสองคนนั้นที่ถือพวงหรีดไว้ โยนพวงหรีดทิ้งลงกับพื้น แล้วยิ้มเยาะพุ่งเข้าใส่

ปึกปักๆ!

เสียงเนื้อกระทบกระทั่งกันดังขึ้น พวกบอดี้การ์ดร่างใหญ่สิบกว่าคนของตระกูลมู่หรง ใช้เวลาเพียงไม่ถึงหนึ่งนาที ต่างก็ถูกชายหนุ่มสองคนนั้นทำร้ายจนล้มกองกับพื้น

พวกผู้มีอิทธิพลในเขตเจียงหนานต่างก็ตกใจ พลังความสามารถของชายหนุ่มสองคนนี้ แข็งแกร่งมากถึงเพียงนี้!

แต่มู่หรงเค่อมีสีหน้ากังวลใจ เห็นได้ชัดว่า ชายหนุ่มสองคนนี้ไม่ใช่คนธรรมดา

ลุงสุ่ยเดินเข้าไปใกล้ ยืนข้างกายมู่หรงเค่อด้วยสีหน้าเคร่งเครียด เหมือนว่ามีความคิดที่จะลงมือเอง แต่กลับถูกมู่หรงเค่อขวางไว้

ผู้อาวุโสคนนั้นยิ้มอย่างได้ใจ “คุณมู่หรง พวกลูกน้องของนายยิ่งอยู่ยิ่งอ่อนหัดจริงๆ หรือว่าหลังจากที่ตระกูลมู่หรงกลับใจแล้ว แม้แต่พวกบอดี้การ์ดก็หามาลวกๆเพื่อให้ดูมีเยอะงั้นหรอ?”

มู่หรงเค่อเงียบกริบ จ้องมองผู้อาวุโสคนนั้น ถามเสียงเข้มว่า “นายไม่ใช่เศษเดนของสมาคมซานเหอ นายเป็นใครกันแน่?”

ผู้อาวุโสหัวเราะ “คุณมู่หรงสายตาเฉียบคมจริงๆ ฉันไม่ใช่คนของสมาคมซานเหอจริงๆ แต่ฉันก็บอกไปแล้วไม่ใช่งั้นหรอ? ว่าฉันเป็นคนที่จะมาเรียกร้องหาความยุติธรรมให้กับวิญญาณสิบกว่าชีวิตของสมาคมซานเหอ”

“ถ้าหากว่าพวกคนเมื่อกี้เป็นความสามารถของตระกูลมู่หรง อย่างนั้นฉันก็ขอไม่เกรงใจละ”

แววตาของมู่หรงเค่อมีเจตนาฆ่าปรากฏขึ้น “ดูแล้วนายคงไม่คิดที่จะพูด อย่างนั้นนายก็ไม่ต้องพูดไปตลอดชีวิตเลยแล้วกัน!”

“ลุงสุ่ยครับ รบกวนคุณลงมือจัดการพวกมันด้วยครับ!”

ลุงสุ่ยโค้งคำนับตอบกลับว่า “ครับ!”

จากนั้น ลุงสุ่ยก็เดินไปข้างหน้าด้วยสีหน้านิ่งเฉย มองดูชายหนุ่มสองคนนั้น พูดเสียงเย็นชาว่า “ก็แค่มีพลังระดับแดนนอกเท่านั้น ยังกล้ามาอวดดีที่นี่อีก!”

“รับความตายซะเถอะ!”

ลุงสุ่ยเหมือนดั่งเสือชีตาร์ตัวหนึ่ง โค้งตัวแล้วพุ่งเข้าใส่ชายหนุ่มสองคนนั้น

ผู้อาวุโสคนนั้นหุบยิ้มทันที สีหน้ากังวล “แดนในชั้นสูงสุด!”

“พวกนายไม่ใช่คู่ต่อสู้ รีบถอยซะ!” ผู้อาวุโสตะโกนเสียงดัง แล้วก็พุ่งตัวเข้าไป ขวางการโจมตีของลุงสุ่ยไว้