ตอนที่ 460 ผลกระทบที่ค่อนข้างแย่

นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น

นางสาวซูแค่อยากถอนหมั้น ตอนที่ 460 ผลกระทบที่ค่อนข้างแย่
ฉินชั่งเซียวเหลือบสายตามองเฉินจุนเหยียนอย่างดูถูกและเหยียดหยาม “ฉันจะฟังหรือไม่ฟังคำพูดของคุณแล้วมันจะทำไม? เฉินจุนเหยียนคุณคิดว่าคุณเป็นราชาแห่งสวรรค์หรือยังไง? ทำไมทุกคนควรฟังคำพูดของคุณ? ที่คุณปกป้องหลิวเสี่ยวหนิงแบบนี้เพราะคุณชอบเธอใช่หรือเปล่า?”

ใบหน้าของหลิวเสี่ยวหนิงซีดลงถนัดตาและเธอเองก็อดที่จะกลัวกับคำตอบของชายตรงหน้าไม่ได้ เธอกลัวว่าจะสร้างความอึดอัดใจให้กับเฉินจุนเหยียน ดังนั้นเธอจึงทำเพียงแค่เหลือบหางตาขึ้นมองอีกฝ่ายอย่างกล้าๆกลัวๆ

ใบหน้าของเฉินจุนเหยียนเองก็ซีดเผือดลงเช่นกัน เพราะเขากลัวว่าประโยคนี้จะทำให้หลิวเสี่ยวหนิงคิดมาก เฉินจุนเหยียนจึงมองจ้องเขม็งไปยังร่างของฉินชั่งเซียวด้วยสายตาที่แฝงไปด้วยความรำคาญ

ฉินชั่งเซียวยังคงเอ่ยพูดต่อไปไม่หยุด เพราะเขาไม่ได้สังเกตเห็นใบหน้าที่เย็นชาขึ้นเรื่อยๆของเฉินจุนเหยียน

“ทำไมคุณไม่พูดออกมาล่ะ? หรือเพราะฉันพูดแทงใจดำคุณเข้า? เฉินจุนเหยียนนึกไม่ถึงเลยว่าคุณก็เป็นคนปลิ้นปล้อนแบบนี้ คุณไม่ได้ชอบซูฉิงอย่างนั้นเหรอ”

เสียงหมัดที่ถูกฟัดลงบนใบหน้าอย่างแรง ทำให้ทุกอย่างราวกับหยุดนิ่งไปชั่วขณะ

ฉินชางถูกชกเข้าที่ใบหน้าโดยไม่ทันตั้งตัวและเมื่อเขารู้สึกตัวใบหน้าของเขาก็เกิดอาการชาวาบและปวดอย่างรุนแรง เขาลุกขึ้นจากพื้นดินและปิดใบหน้าข้างที่โดนชกไว้พลางส่งรอยยิ้มแจ่มใสจ้องมองไปยังชายที่ยืนอยู่ข้างหน้าเขาและเพิ่งจะลดกำปั้นลงแนบลำตัว

ฉินชั่งเซียวก่นด่าชายตรงหน้าออกมาด้วยเสียงอันดัง: “เฉินจุนเหยียน คุณทำอะไรอยู่! คุณบ้าไปแล้วหรือไง!”

“ฉันทำอะไร?” เฉินจุนเหยียนก็ตกอยู่ในอารมณ์โกรธเช่นกัน เขาไม่รู้ว่าทำไมตัวเขาจึงโกรธมากขนาดเสียสติและบุ่มบ่ามเข้าไปชกต่อยอีกฝ่ายด้วยความไม่รู้สึกตัว

“ฉันช่วยพ่อแม่คุณรักษาปากที่เน่าเฟะนี่ไง!” เฉินจุนเหยียนตอบอย่างโกรธจัด และชกต่อยไปยังใบหน้าของฉินชั่งเซียวอีกหมัด

ทั้งสองต่อสู้กันอย่างดุเดือดโดยมีหลิวเสี่ยวหนิงมองดูเหตุการณ์ตรงหน้าอยู่ด้วยความกังวล เธออยากจะดึงร่างของทั้งสองคนให้ออกจากกัน แต่พวกเขาชกต่อยกันจนไม่มีช่องโหว่ให้เธอเข้าไปห้ามเลย “พี่เฉินกับคุณฉิน… หยุดได้แล้ว นี่มันทางเข้าโรงพยาบาลนะ อย่าต่อยกันอีกเลย…”

การต่อสู้ระหว่างชายสองคนดึงดูดผู้คนให้เข้ามารุมดูกันอย่างรวดเร็ว และคนอื่นๆอาจไม่รู้ว่าฉินชั่งเซียวเป็นใคร แต่เฉินจุนเหยียนเป็นถึงดารานักแสดงชายที่มีชื่อเสียงอันโด่งดัง จึงไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่จะจดจำเขาได้อย่างรวดเร็ว

หลายคนหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายรูปและคลิปวิดิโอที่ชายทั้งสองกำลังโถมตัวเข้าชกต่อยกันอย่างไม่มีใครยอมใคร รวมทั้งหลิวเสี่ยวหนิงซึ่งยืนอยู่ด้านข้างก็ถูกผู้คนจำได้อีกด้วย

“ตี๊ดตี๊ดตี๊ด นี่มันซุปเปอร์สตาร์เฉินไม่ใช่เหรอ? ทำไมมาทะเลาะกับผู้คนบนท้องถนนได้อย่างไร?”

“ผู้หญิงที่อยู่ข้างๆนั้นคือหลิวเสี่ยวหนิงไม่ใช่เหรอ? เห็นทีว่าเรื่องนี้จะต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลังแน่ๆ?

เหล่าบรรดาผู้คนต่างพากันซุบซิบเป็นวงกว้างขึ้นเรื่อยๆกับเหตุการณ์ตะลุมบอนกันตรงหน้า

นอกจากนี้ยังมีนักข่าวหลายคนที่ทราบข่าวนี้และรีบวิ่งเข้ามาถ่ายรูปไว้เพราะกลัวพลาดการทำข่าวหน้าหนึ่ง

เพราะผลกระทบที่เกิดขึ้นมันเลวร้ายและเป็นวงกว้างเกินไป จึงทำให้พนักงานรักษาความปลอดภัยที่อยู่ในบริเวณนั้นไม่สามารถเข้ามาควบคุมเหตุการณ์ตรงหน้าไว้ได้ทันท่วงที หลังจากนั้นไม่นานเมื่อสถานการณ์ค่อยๆจะเริ่มสงบลงชายหนุ่มทั้งสองก็ถูกดึงแยกออกจากกัน และชาวเน็ตที่ได้ถ่ายรูปหรือคลิปวิดิโอเหตุการณ์ชกต่อยกันกลางที่สาธารณะก็ถูกอัปโหลดลงในเว็บเพจต่างๆ เนื้อหาพาดหัวข่าวต่างพากันเล่นข่าวว่าเฉินจุนเหยียนมีความสัมพันธ์กับหลิวเสี่ยวหนิงในทางใด

เฉินจุนเหยียน

หลิวเสี่ยวหนิง เฉินจุนเหยียน

ประเด็นของชายหนุ่มสองคนที่ชกต่อยเพื่อแย่งชิงผู้หญิงคนเดียวกำลังเป็นที่สนใจในทุกแพลตฟอร์มอินเทอร์เน็ต การค้นหาที่ยอดนิยมก็คงหลีกไม่พ้นภาพถ่ายและคลิปวิดิโอการชกต่อยของฉินชั่งเซียวและเฉินจุนเหยียน ทุกๆอย่างถูกเผยแพร่ไปอย่างรวดเร็วและว่องไว

สตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์

มีความโกลาหลมากมายเกิดขึ้นในอินเทอร์เน็ตและเป็นไปไม่ได้ที่ซูฉิงจะไม่รู้ข่างคราวอะไรเลย เมื่อสิบนาทีที่แล้วเมื่อเธอไปดูการทำงานของเจ้าหน้าที่ฝ่ายการตลาดของภาพยนตร์และละครโทรทัศน์ การค้นหาที่ร้อนแรงในอินเทอร์เน็ตตอนนี้คงหนีไม่พ้นประเด็นร้อนของนักแสดงหนุ่มชื่อดัง ซึ่งเมื่อซูฉิงได้รู้ข่าวก็ขอให้ฝ่ายประชาสัมพันธ์จัดการกับข่าวนี้อย่างเร่งด่วน

เธอนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานด้วยความนิ่งขรึม มือของเธอวางทาบลงบนโต๊ะและจ้องมองไปที่หน้าจอคอมพิวเตอร์ซึ่งกำลังเล่นวิดีโอการต่อสู้ของเฉินจุนเหยียนและฉินชั่งเซียว และยังบันทึกภาพของหลิวเสี่ยวหนิงที่ยืนมองเหตุการณ์ชกต่อยอยู่ข้างๆอีกด้วย

ซูฉิงขมวดคิ้วเป็นปม เธอรู้สึกปวดหัวเป็นอย่างมากกับข่าวข่าวนี้

“เฉินจุนเหยียนอยู่ที่ไหน? ให้เขากลับมาเดี๋ยวนี้” เธอหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาแล้วต่อสายหาผู้ช่วยของเฉินจุนเหยียนทันที

“เฉินจุนเหยียนเป็นผู้ใหญ่และบรรลุนิติภาวะแล้ว แต่ทำไมเขาถึงยังสร้างปัญหาให้กับเธออยู่เสมอ…”

ฝ่ายประชาสัมพันธ์ได้ประมวลผลวิดีโอที่ถูกเผยแพร่ลงบนโลกอินเทอร์เน็ตแล้ว หลังจากนั้นไม่นานประมาณหนึ่งชั่วโมงเฉินจุนเหยียนและหลิวเสี่ยวหนิงก็เดินทางกลับมาที่บริษัท

หลิวเสี่ยวหนิงมีท่าทีเขินอายและวิตกกังวลกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น เมื่อเธอเดินตามเฉินจุนเหยียนเข้าไปในห้องทำงานของประธานบริษัทเธอก็ไม่กล้าเอ่ยปากพูดสิ่งใดออกมา ดวงตาของเธอแดงก่ำและใบหน้าของเธอเปื้อนน้ำตา ยิ่งเธอมองเห็นซูฉิงเธอก็ไม่กล้าพูดสิ่งใดออกมา หญิงสาวทำได้เพียงแค่ก้มศีรษะลงอย่างรู้สึกผิด

ในทางกลับกันใบหน้าของเฉินจุนเหยียนนั้นเต็มไปด้วยรอยฟกช้ำที่เห็นได้ชัด มุมปากของเขามีเลือดและรอยฟกช้ำสีแดงอยู่เต็มไปหมด แต่ใบหน้าคมนั้นก็ยังคงความเย็นชาและเงียบขรึมไว้อย่างเช่นเคย

“คุณยังรู้ว่าต้องกลับมาที่นี่อีกหรือ?” ซูฉิงนั่งอยู่บนเก้าอี้สำนักงานตัวใหญ่พลางเม้มริมฝีปากแน่น และเมื่อเธอเห็นเฉินจุนเหยียนเดินเข้ามาด้วยสภาพที่ฟกช้ำและบาดเจ็บพอสมควร เธอก็โกรธมาก เธอไม่รู้ว่าหัวสมองของเฉินจุนเหยียนเพี้ยนไปหรือยังไง ถึงได้ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นที่รู้จักของทุกคนและไหนจะไปชกต่อยกับคนอื่นกลางที่สาธารณะอีก?

เฉินจุนเหยียนยังคงไม่พูดอะไรออกมา แต่หลิวเสี่ยวหนิงนั้นมีอาการตื่นตระหนกและรีบพยายามเอ่ยอธิบาย “พี่ซูฉิง คือเหตุการณ์มันเป็นแบบนี้ … ”

“คุณไม่จำเป็นต้องพูดแทนเขา” ซูฉิงตัดบทคำพูดของหลิวเสี่ยวหนิง และจงใจใช้น้ำเสียงนิ่งขรึมพูดกับหญิงสาวตรงหน้า “เสี่ยวหนิง คุณควรกลับบ้านและกลับไปพักผ่อนให้ดี คุณเพิ่งออกจากโรงพยาบาลมา สุขภาพของคุณเป็นสิ่งสำคัญที่สุด ฉันมีบางสิ่งบางอย่างที่จะต้องพูดกับเฉินจุนเหยียนเพียงลำพัง”

ลำคอของหลิวเสี่ยวหนิงขยับ เห็นได้ชัดว่าเธออยากจะเอ่ยปากพูดอะไร แต่หลังจากที่เธอเห็นสีหน้าที่จริงจังของซูฉิงในตอนท้ายเธอก็ต้องยอมแพ้และถอนตัวกลับออกไป

ซูฉิงขมวดคิ้วและมองเฉินจุนเหยียนอย่างหมดหนทางด้วยความโกรธเป็นอย่างมาก จากนั้นเธอจึงเดินเข้ามาหาเขาอย่างรวดเร็ว เธอกอดอกและเงยหน้าขึ้นเล็กน้อยเพื่อมองชายผู้นี้ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอแสดงอาการโกรธเขามากขนาดนี้

“เฉินจุนเหยียนนี่มันเกิดอะไรขึ้นกับคุณ! คุณเป็นนักแสดงชื่อดังแล้วคุณก็ควรรู้ว่าคุณเป็นใคร คุณทำเรื่องแบบนั้นได้ยังไง ถ้าคุณจัดการเรื่องพวกนี้ไม่ได้ บริษัทจะต้องประสบปัญหาใหญ่เพราะคุณ?! ฉันรู้ว่าคุณทำทุกอย่างก็เพื่อช่วยเสี่ยวหนิง แต่คุณควรใส่ใจกับภาพลักษณ์ของคุณให้มากกว่านี้เมื่อคุณอยู่ในที่สาธารณะ เพราะคุณคือราชาหนังผู้ยิ่งใหญ่!”

ซูฉิงพยายามพูดดึงสติเฉินจุนเหยียน แต่เขาก็ไม่แสดงอาการอะไรออกมามากกว่าการนิ่งเงียบ ซึ่งการกระทำของเขาในคราวนี้มันทำให้เธอยิ่งหุนหันพลันแล่นและบันดาลโทสะขึ้นเรื่อยๆ!

“ซูฉิง ฉัน…” เฉินจุนเหยียนที่มีสีหน้าเย็นชากำลังพยายามเอ่ยปากเพื่ออธิบายเรื่องราวต่างๆให้ซูฉิงฟัง

ซูฉิงโบกมือเพื่อเป็นสัญลักษณ์ให้เขาหยุดพูดเรื่องนี้สักที “เอาล่ะ คุณไปโรงพยาบาลก่อน ตอนนี้ใบหน้าของคุณได้รับบาดเจ็บเป็นอย่างมาก ฉันจะหาวิธีจัดการกับเรื่องนี้เอง”

ในค่ำคืนมืดมิดคืนนี้ ซูฉิงเพิ่งเลิกงานและกำลังจะขับรถกลับไปที่เมืองใหม่สุ่ยเยว่

เมื่อซูฉิงกลับมาถึงบ้านเธอก็เดินเข้ามายังห้องนั่งเล่นเป็นสถานที่แรก แต่ห้องนั้นกลับว่างเปล่าและมืดสนิท เธออดไม่ได้ที่จะสงสัยว่าทำไมฮ่อหยุนเฉิงถึงยังไม่กลับมา?

ซูฉิงเดินเข้าไปในห้องนั่งเล่นและเปิดไฟขึ้น จากนั้นเธอก็ได้ยินเสียงของอะไรบางอย่างตกแตกจากภายในห้องครัว

เธอคิดในใจว่าหวางหม่าคงกำลังทำอาหารอยู่ในครัวเป็นแน่ “แม่หวาง หยุนเฉิงกลับมาแล้วหรือยัง?”

ซูฉิงเอ่ยถามขณะเปลี่ยนมาใส่รองเท้าแตะสำหรับเดินในบ้าน แต่กลับไม่มีเสียงตอบรับจากบุคคลที่คาดว่าอยู่ในครัว

เธอเกิดความสงสัยขึ้นเล็กน้อยและจึงก้าวเท้าเดินเข้าไปในครัว เมื่อหญิงสาวเห็นฮ่อหยุนเฉิงในเสื้อเชิ้ตและกางเกงสูทอย่างเต็มยศกำลังยืนทำอาหารอยู่ในครัวเธอก็อดที่จะเผยยิ้มกว้างออกมาไม่ได้

“ทำไมถึงเป็นคุณที่ลงมือทำอาหาร? วันนี้ประธานใหญ่ฮ่อมีเวลาว่างมากขนาดนั้นเลยเหรอ?”

เมื่อมองไปที่ร่างสูงที่ยืนอยู่ตรงหน้า ซูฉิงก็เผยยิ้มกว้างส่งไปให้ชายตรงหน้า

ฮ่อหยุนเฉิงหันหลังกลับมา ดวงตาที่ลึกล้ำของเขาจ้องมองไปที่ซูฉิงที่มีอาการเหนื่อยล้า เขาจึงพูดกับหญิงสาวตรงหน้าด้วยน้ำเสียงอ่อนโยนว่า “เพราะฉันรู้ว่าวันนี้เธออารมณ์ไม่ดีและคงจะเหนื่อยมาก ดังนั้นฉันจะเตรียมอาหารค่ำใต้แสงเทียนไว้สำหรับเธอ”

เนื่องจากข่าวชกต่อยของเฉินจุนเหยียนทำให้บริษัทได้รับข่าวสารในเชิงลบอย่างมากมาย ทำให้ซูฉิงต้องร่วมกับฝ่ายประชาสัมพันธ์ในการจัดการแก้ไขเรื่องทุกอย่าง แต่ว่าในโลกอินเทอร์เน็ตประเด็นนี้ก็ยังถือเป็นประเด็นฮอตฮิตที่ได้รับความสนใจเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ราวกับว่ามีคนจงใจต่อต้านสตาร์เอ็นเตอร์เทนเมนท์อยู่ถ้วนหน้า

ดังนั้นซูฉิงจึงต้องจัดการเรื่องทุกอย่างอยู่ที่บริษัทจนมืดค่ำแบบนี้