ตอนที่ 555 ภาพบนผนังทำให้ลุ่มหลง

พันธกานต์ปราณอัคคี

กลุ่มคนล้วนพุ่งเป้าสายตาไปที่โล่เคลื่อนที่ได้อันนั้น 

 

 

พอใกล้เข้ามา โล่ก็เคลื่อนย้ายไปด้านข้าง เผยให้เห็นใบหน้าของโจวจงอวี่ 

 

 

“สหายโจว สิ่งนี้คือ…” หลายคนอดแปลกใจไม่ได้ จึงถามขึ้นพร้อมกัน 

 

 

คนทั้งสามที่เดินออกมาจากประตูเดียวกันมีสีหน้าอีหลักอีเหลื่ออยู่บ้าง แวบไปยืนรวมกันด้านข้าง รักษาระยะห่างกับโจวจงอวี่ 

 

 

โจวจงอวี่ขมวดคิ้ว พลางพูดเสียงดัง “หลงดีใจแทบแย่ สมบัติวิเศษด้านในล้วนใช้การไม่ได้ ข้าไม่สบอารมณ์จริงๆ เห็นโล่อันนี้เตะตาดี เลยหยิบติดไม้ติดมือออกมา” 

 

 

คนทั้งสามหันมาสุมหัวกัน นี่น่ะหรือหยิบติดไม้ติดมือของเจ้า 

 

 

กลุ่มคนหันมองดูโล่อันเบ้อเริ่มเทิ่ม พลางทำหน้าแปลกๆ  

 

 

“สหายโจว เจ้าตัดสินใจว่าจะถือมันไปเช่นนี้หรือ” สื่ออิ่นพูดพร้อมแววตาดูหมิ่นวาบหนึ่ง 

 

 

โจวจงอวี่ไม่ทันสังเกตเห็น จึงยื่นมือใหญ่ราวพัดใบลานตบเข้าที่โล่ ได้ยินเสียงดังกังวาน “ข้าก็ไม่อยากถือหรอก แต่มันใส่ลงไปในถุงเก็บวัตถุไม่ได้นี่” 

 

 

นักพรตจื้อจั้นจึงว่า “ว่ากันว่า สมบัติโบราณที่ตกทอดมาจากโบราณกาล เก็บเข้าถุงเก็บวัตถุไม่ได้หรอก” 

 

 

พอโจวจงอวี่ได้ยินว่านี่เป็นสมบัติโบราณ ก็ดีใจทันที “โอ้ ที่แท้ก็เป็นสมบัติโบราณนี่เอง ไม่เสียแรงที่ข้าอุตส่าห์ถือมันออกมา แม้ใช้การไม่ได้ เอาไปตั้งไว้ให้คนดู ก็ไม่เลวเหมือนกัน ถึงตอนนั้นข้าจะบอกกับทุกคนว่า ดูสิ นี่เป็นสมบัติโบราณที่ข้าหาเจอในดินแดนวิญญาณ” 

 

 

พอได้ยินคำพูดของเขา ผู้คนไม่น้อยก็ไม่สบอารมณ์ขึ้นมา 

 

 

จริงสิ ใช้การไม่ได้ แล้วอย่างไร ถึงใช้การไม่ได้ ก็เป็นสมบัติโบราณ เอาไปวางไว้ให้คนรุ่นหลังดู ให้ความรู้ไปนานๆ ก็ยังดีกว่าเข้าภูเขาสมบัติแล้วกลับออกมามือเปล่าเป็นไหนๆ 

 

 

สื่ออิ่นกลับทนดูคนโง่เขลาเหล่านี้เห็นผิดเป็นชอบไม่ได้ จึงยิ้มเย็นชา “ต่อให้คิดวางไว้เป็นของตกแต่งก็เถอะ โล่ใหญ่ขนาดนี้ สหายโจวจะถือไว้ตลอดเช่นนี้หรือ อย่าให้มีผลต่อการต่อสู้ของเจ้าเป็นดี” 

 

 

โจวจงอวี่ขมวดคิ้ว “อันตัวข้ายินยอมถือมันไว้ จะมีผลหรือไม่มีผลต่อการต่อสู้ ก็ไม่คิดรบกวนให้สหายสื่อต้องกังวลใจไปหรอก” 

 

 

พอเห็นทั้งสองคนยกมุมปาก นักพรตอี๋หรันผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักก็พูดขึ้น “หรือสมบัติยุคโบราณกาลล้วนเก็บไว้ในถุงเก็บวัตถุไม่ได้ เช่นนี้ ก็ไม่สะดวกยิ่ง” 

 

 

ยุคโบราณกาลห่างจากยุคปัจจุบันนานเกินไป เพราะสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงกะทันหัน ผู้บำเพ็ญเพียรฝีมือดีหายไปอย่างไร้ร่องรอย การสืบทอดถูกตัดขาด ข้อมูลที่เกี่ยวกับยุคสมัยนั้นก็มีน้อยมาก มีเพียงบันทึกจากคำบอกเล่าไม่กี่คำของคนในสำนักใหญ่ๆ จำนวนหนึ่งเท่านั้น  

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรไร้สำนักอย่างนักพรตอี๋หรัน ย่อมไม่มีทางรู้แล้ว 

 

 

ทว่าสำนักไท่ซวี สำนักชั้นนำในสี่สำนักแปดนิกาย ที่มีนักพรตจื้อจั้นเป็นผู้โดดเด่นในสำนัก ทั้งยังเป็นผู้สืบทอดตำแหน่งอาวุโสสูงสุด กลับรู้เรื่องราวเหล่านี้อยู่บ้าง จึงอธิบายให้นักพรตอี๋หรันฟัง “ว่ากันว่า เนื่องจากสิ่งแวดล้อมในการบำเพ็ญเพียรและวิธีในการเข้าฌานไม่เหมือนกัน ผู้บำเพ็ญเพียรสมัยโบราณกาลให้ความสำคัญกับมนตร์คาถา การหยั่งรู้ดินฟ้า และการแปลงกายเป็นอย่างยิ่ง ผู้บำเพ็ญเพียรคนหนึ่งมีของวิเศษไม่มาก พวกเขาล้วนเอาของวิเศษเก็บไว้ในร่างกาย” 

 

 

“เก็บไว้ในร่างกายได้ด้วยหรือ” โจวจงอวี่มีท่าทีดีใจ แล้วค่อยพูดอย่างท้อแท้ใจ “แต่การละเล่นเช่นนี้ เหมือนร่างกายไม่ตอบสนองแม้แต่น้อย” 

 

 

นักพรตจื้อจั้นหัวเราะอย่างอ่อนโยน “วิธีบำเพ็ญเพียรไม่เหมือนกัน เมื่อพลังวิญญาณในร่างกายของพวกเรากระตุ้นของโบราณไม่ได้ ก็ย่อมไม่มีทางเก็บไว้ในร่างกายแล้ว” 

 

 

มั่วชิงเฉินใช้มือที่อยู่ในแขนเสื้อจับกระสวยผสมปราณดั้งเดิมไปมา กลัวว่าผู้คนจะสังเกตเห็น จึงไม่กล้าทดสอบดู ได้แต่เกี่ยวไว้ที่เอวเงียบๆ ใต้แถบผ้าไหมที่ห้อยลงมา ก่อนพูดกับกลุ่มคน “สหายทุกท่าน ข้าน้อยพลันนึกถึงปัญหาหนึ่ง” 

 

 

“เชิญนักพรตชิงเฉินกล่าว” กลุ่มคนพากันพูดขึ้น 

 

 

มั่วชิงเฉินขมวดคิ้วพลางว่า “ถ้าเป็นอย่างที่นักพรตจื้อจั้นพูด เราก็ไม่สามารถกระตุ้นสมบัติโบราณได้เลย เช่นนั้น เราจะใช้หม้อคืนสภาพได้อย่างไรกัน” 

 

 

คำพูดนี้พอหลุดจากปาก ทุกคนก็หน้าเปลี่ยนสี 

 

 

เมื่อครู่ทุกคนล้วนใจจดใจจ่ออยู่แต่กับสมบัติโบราณที่มีอยู่มากมาย จึงมองข้ามจุดนี้ไป 

 

 

ถ้าไม่สามารถใช้หม้อคืนสภาพ แล้วจะหลุดพ้นจากจุดจบนั่นได้อย่างไรกัน 

 

 

เนื่องจากไม่สามารถเค้นให้ส้มโอมือสีทองสารภาพออกมา กลุ่มคนจึงรู้สึกเครียดขึ้นเรื่อยๆ 

 

 

“ตามความเห็นข้า เมื่อส้มโอมือเก้าดวงใจพูดถึงหม้อคืนสภาพ ก็ไม่แน่ว่ามันสามารถแก้ไขในจุดๆ นี้ได้ ตอนนี้สิ่งสำคัญสุดคือ หาหม้อคืนสภาพให้เจอก่อน แต่กลับไม่เห็นในประตูบานที่สี่” นักพรตจื่อซีพูด 

 

 

“ข้าก็ไม่เห็น” หลายคนสั่นศีรษะพร้อมกัน 

 

 

“หรือเป็นไปได้ว่า หม้อคืนสภาพไม่ได้อยู่ในหอหลังเป่า” กลุ่มคนหันมามองหน้ากัน รู้สึกบรรยากาศเคร่งเครียดขึ้น จากวันที่พบกัน เหลือไม่ถึงสามวันแล้ว 

 

 

นักพรตจื้อจั้นโบกมือ “ทุกท่าน เรื่องจะชักช้าไม่ได้ เราออกสำรวจกันต่อเถอะ” 

 

 

กลุ่มคนไม่กล้ารีรอ ออกจากหอหลังเป่าด้วยกัน 

 

 

หนึ่งวันหลังจากนั้น 

 

 

โจวจงอวี่วางโล่ที่บังร่างทั้งร่างลง แล้วนั่งแหมะอยู่บนนั้น พูดพลางหอบหายใจ “เหลือไม่ถึงสองวันแล้ว ยังไม่เห็นเงาหม้อคืนสภาพเลย ทำอย่างไรดี!” 

 

 

สีหน้าแต่ละคน ดูไม่ได้ทั้งสิ้น 

 

 

พริบตาเดียวก็จะถึงกำหนดแล้ว หรือทำได้แค่รอความตาย 

 

 

“ไม่มีเหตุผลเลย พวกเราค้นสำนักไป่ฮวาทุกซอกทุกมุมแล้ว ทำไมถึงไม่เจอหม้อคืนสภาพล่ะ” นักพรตหย่าอี้ขมวดคิ้วโก่งพร้อมท่าทีกังวลใจ 

 

 

มั่วชิงเฉินก็รู้สึกร้อนรนเช่นกัน มองดูกลุ่มคนพลางว่า “สหายทุกท่าน เป็นไปได้หรือไม่ที่ว่า สำนักไป่ฮวายังมีห้องลับที่ถูกซ่อนไว้ด้วยค่ายกล หรือสถานที่ต้องห้าม” 

 

 

กลุ่มคนตาวาว หันมองนักพรตจื้อจั้น 

 

 

นักพรตจื้อจั้นนำพิณเจ็ดสายทลายค่ายกลออกมา “ข้าน้อยลองดู” 

 

 

เขาหลับตาเบาๆ ใช้มือเรียวยาวดีดพิณ บรรเลงทำนองไร้ชื่ออันไพเราะออกมา 

 

 

เสียงพิณเร็วขึ้นเรื่อยๆ ก่อนได้ยินเสียงสูงดัง ตึ้ง เสียงพิณไร้รูปก่อตัวเป็นคลื่นวงกลม แล้วกระจายออกไปวงแล้ววงเล่า 

 

 

คลื่นเสียงนี้ สายตาคนธรรมดามองไม่เห็น แต่กลุ่มคนในที่นี้ล้วนเห็นอย่างชัดเจน คลื่นเสียงแต่ละวงลอยไปยังที่ที่ไกลแสนไกลไม่ขาดสาย 

 

 

ผ่านไปครึ่งชั่วยาม เสียงพิณยังคงดังอยู่ แต่ยิ่งดีดก็ยิ่งเร็ว จนนิ้วของนักพรตจื้อจั้นมีโลหิตซึมออกมา  

 

 

ผ่านไปอีกครึ่งชั่วยาม พิณก็ดุจขวดน้ำที่แตกออก หยุดลงกะทันหัน 

 

 

ร่างนักพรตจื้อจั้นโงนเงน แต่พยายามนั่งให้นิ่ง แล้วว่า “สหายทุกท่าน เชิญตามข้ามา” 

 

 

กลุ่มคนเดินๆ หยุดๆ ตามนักพรตจื้อจั้นไป ก่อนหยุดลงตรงจุดหนึ่งหน้าภูเขาไม้คราม  

 

 

น้ำตกสายหนึ่งไหลลงมาอย่างแรง กระทบหินด้านล่าง เม็ดหยกนับไม่ถ้วนกระเด็นออก ผสมกับแสงแดดและฝุ่นละออง เห็นเป็นควันสีม่วงอบอวล 

 

 

นักพรตจื้อจั้นกระโดดมายืนข้างน้ำตก มือหนึ่งถือพิณเจ็ดสายทลายค่ายกลไว้ อีกมือหนึ่งจับสายพิณ แล้วดีดเข้าใส่น้ำตก 

 

 

สายพิณพร่ามัวลอยอยู่หน้าน้ำตก มันขยับเองเงียบๆ ส่งเสียงพิณขาดๆ หายๆ ออกมา 

 

 

กลุ่มคนเห็นอย่างชัดเจนว่า น้ำตกทั้งสายพลันปรากฏเป็นทางสีม่วง และภายใต้เสียงพิณ ทางก็ค่อยๆ ถูกปรับให้ราบเรียบ พอทางทั้งสายเปลี่ยนเป็นทางเดินปกติ นักพรตจื้อจั้นก็ตะโกนเสียงสูง “เปิด!” 

 

 

เสียงน้ำซ่านกระเซ็นเปลี่ยนเป็นเบาลงจนแทบไม่ได้ยิน น้ำตกสีเงินยวงคลับคล้ายม่านผืนหนึ่ง ค่อยๆ ม้วนตัวขึ้นด้านบน เผยให้เห็นถ้ำที่อยู่ด้านใน  

 

 

กลุ่มคนหันมาสบตากัน “ไป!” 

 

 

ขณะเดินเข้าถ้ำทีละคน ได้ยินโจวจงอวี่ตะโกน “แย่แล้ว ปากถ้ำเตี้ยเกินไป โล่ของข้าเข้าไม่ได้” 

 

 

กลุ่มคนหันมอง เห็นโล่ขนาดใหญ่ติดอยู่ตรงปากทางเข้าถ้ำ ส่วนเจ้าของก็หน้าดำคร่ำเครียด 

 

 

โจวจงอวี่ยื่นหมัดออก ต่อยไปที่ด้านบนของปากทางเข้าอย่างแรง  

 

 

เสียง ปัง ดังมา ปากถ้ำไม่ขยับแต่อย่างใด แต่เขากลับเจ็บมือจนต้องแยกเขี้ยวยิงฟัน “หินก้อนนี้ทำไมแข็งเช่นนี้หนอ!” 

 

 

พอเห็นเขากำหมัด จะก้าวเข้าไปทุบอีก หลี่ซ่าก็เดินเครียดเข้ามา จับแขนเขาลากเข้าถ้ำ ก่อนกัดฟันพูด “พอได้แล้ว รีบเข้าไปเถอะ!” 

 

 

“แต่ แต่โล่ของข้า…” 

 

 

“วางไว้ข้างนอกนั่นแหละ หรือยังจะมีใครมาแย่งของของเจ้าอีก” หลี่ซ่าค้อนขวับเข้าให้ 

 

 

โจวจงอวี่จึงนำโล่ไปวางไว้ตรงหินก้อนใหญ่ข้างน้ำตกอย่างอาลัยอาวรณ์ แล้วมองไปที่กลุ่มคนอย่างระแวดระวัง ทำให้กลุ่มคนเคืองขึ้นมา 

 

 

ปากถ้ำแม้เตี้ย แต่ด้านในกลับกว้างขวาง กลุ่มคนเดินไปจนสุดปลายถ้ำ ก็เห็นภาพแกะสลักด้านหนึ่งของผนังถ้ำ เป็นรูปพุ่มไม้ดอกหลายพุ่ม มีหญิงสาวรูปร่างหน้าตาและอารมณ์แตกต่างกันเดินเล่นอยู่ในทะเลดอกไม้ บ้างบอบบาง บ้างอวบอั๋น  

 

 

มั่วชิงเฉินรู้สึกตาลาย หญิงสาวที่มีรอยยิ้มงดงามเหล่านี้คล้ายมีชีวิต และกำลังใช้สายตาแวววาวจ้องมองมา จึงใช้เพลิงแก้วใจกระจ่างลูบจุดตันเถียนเบาๆ พอได้สติ ก็เห็นนักพรตจื่อซีสติหลุดลอย เดินเข้าหาภาพบนผนัง จึงดึงแขนนางไว้ พลางตะโกน “ศิษย์พี่จื่อซี!” 

 

 

นักพรตจื่อซีสะดุ้ง พลันได้สติ “ชิงเฉิน?” 

 

 

นางมองดูตนเอง แล้วหันมองคนรอบข้าง ก็เข้าใจทันทีว่า เมื่อครู่ตนถูกภาพลวงตาล่อลวงให้ลุ่มหลง 

 

 

มั่วชิงเฉินพบว่า ในกลุ่มคน ผู้บำเพ็ญเพียรชายลุ่มหลงหนักกว่าผู้บำเพ็ญเพียรหญิง ซึ่งนอกจากนางแล้ว ก็มีเพียงนักพรตหย่าอี้เท่านั้นที่ได้สติด้วยตัวเอง  

 

 

จึงยกมือขึ้น แล้วไฟจริงสีน้ำเงินสิบกว่าดวง ก็ลอยเข้ากลางหลังของกลุ่มคนอย่างรวดเร็ว 

 

 

เห็นร่างของกลุ่มคนกระตุกพร้อมกัน กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรหญิงอย่างนักพรตปี้เหลยได้สติคืนกลับ กลุ่มผู้บำเพ็ญเพียรชายมีเพียงเวยเซิงลิ่วที่ได้สติและกำลังหันรีหันขวาง ส่วนคนอื่นๆ เดินเข้าหาภาพบนผนังต่อ 

 

 

นักพรตหย่าอี้จากนิกายเหอฮวน เชี่ยวชาญคาถาภาพลวงตาและคาถาทำให้ลุ่มหลง พอเห็นความเคลื่อนไหวของมั่วชิงเฉิน ก็รีบหยิบขลุ่ยสั้นอันหนึ่งออกมา จ่อกับริมฝีปากแล้วเป่า  

 

 

พอเสียงไพเราะเสนาะหูใสๆ ของขลุ่ยดังขึ้น ผู้บำเพ็ญเพียรชายหลายท่านก็ชะงักฝีเท้าลง 

 

 

นักพรตจื้อจั้นมีสีหน้าอับอายเล็กน้อย ก่อนถอนหายใจ “คาถาภาพลวงตาสูงส่งยิ่ง” 

 

 

ผู้บำเพ็ญเพียรชายท่านอื่นๆ ก็หน้าแดงไปถึงหูและกระอึกกระอัก พูดไม่ออกเช่นเดียวกัน 

 

 

ส่วนผู้บำเพ็ญเพียรหญิงไม่กี่คนล้วนเข้าใจแล้วว่าเกิดอะไรขึ้น แต่กลับทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ และบอกให้กลุ่มคนเดินหน้าต่อ 

 

 

หลังจากเดินอ้อมภาพบนผนัง ก็มีคนอุทานด้วยความตกใจออกมา 

 

 

พื้นดินด้านหลังของภาพบนผนัง ที่แท้ไม่ใช่พื้นดิน แต่เป็นหินยักษ์ที่ลอยเท้งเต้งอยู่กลางอากาศ 

 

 

พอก้าวเข้าไปข้างๆ หินแล้วโน้มตัวสำรวจดู ก็พบเส้นทางนับไม่ถ้วนปรากฏอยู่ด้านล่าง กับใยแมงมุมที่โยงใยไปมาอย่างแน่นหนา ทำให้เวียนศีรษะ  

 

 

“จะไปต่ออย่างไรล่ะเนี่ย!” พอเวยเซิงลิ่วเจอโจทย์ยาก ก็อดพูดมากไม่ได้ 

 

 

สื่ออิ่นมีสีหน้ามืดมน “ในเวลาไม่ถึงสองวัน ถ้าหลับหูหลับตาลงไปแล้วเกิดหลงทางขึ้นมา สิ่งที่รอเราอยู่ก็คือตายสถานเดียว” 

 

 

กลุ่มคนเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง 

 

 

โจวจงอวี่เหยียบลงไปที่หินยักษ์อย่างแรง “มารดามันเถิด หม้อคืนสภาพนี่ ทำไมมันหายากหาเย็นเช่นนี้นะ” 

 

 

การใช้แรงของเขาในครั้งนี้ ทำให้เศษหินตกลงไป ตอนตกลงบนทางสายหนึ่ง เปลวไฟก็ลุก พรึ่บ ขึ้น ม้วนเศษหินเข้าไป ก่อนเผามันจนกลายเป็นควันสีเขียวในพริบตา 

 

 

สักพักเปลวไฟค่อยดับลง ทางสายนั้นสะอาดสะอ้านดังเดิม 

 

 

กลุ่มคนเห็นแล้วก็รู้สึกหนาวเหน็บ 

 

 

แล้วจึงใช้เวลาพักหนึ่ง ตัดสินใจว่าจะลงหรือไม่ลงไปดี จะเลือกลงทางไหน กลายเป็นการเลือกที่ยากยิ่ง 

 

 

กลุ่มคนจึงนิ่งเงียบ ส่วนนักพรตเฟยหยางที่เงียบมาตลอดพลันนั่งลง หยิบผังคำนวณเวหาทมิฬขึ้นมาคำนวณ 

 

 

“สหายเฟยหยาง นี่คือ” 

 

 

นักพรตเฟยหยางตอบอย่างสงบพร้อมดวงตาใสกระจ่าง “ผังคำนวณเวหาทมิฬเป็นสมบัติวิเศษที่ช่วยส่งเสริมดวงชะตาโดยเฉพาะ แม้เป็นสมบัติโบราณ แต่ก็มีไว้ให้มนุษย์ใช้ ข้าน้อยจะนำมันมาคำนวณดูว่า ทางรอดชีวิตอยู่ที่ไหน เพียงแต่…” 

 

 

ว่าแล้วก็เงยหน้ามองมั่วชิงเฉิน “สหายมั่ว ข้าน้อยต้องการความช่วยเหลือจากเจ้า”