ส่วนที่ 1 ภาคเมื่อครั้งเป็นนักเรียน ตอนที่ 202 ทันใดใจคิด

ท้าลิขิตพลิกโชคชะตา

บุรุษผู้นั้นหันกายเดินเข้าไปในกระท่อม มองดูพื้นและโต๊ะเก้าอี้ที่ถูกเก็บกวาดอย่างสะอาดเอี่ยม เงียบไปสักพัก จากนั้นสูดกลิ่นหอม พบข้าวที่เพิ่งสุกและปลาเค็ม ต่อมาเห็นผักเขียวกะละมังนั้นที่วางอยู่บนเตาทำอาหาร เขาใช้มือเสยผมยุ่งเหยิงหน้าดวงตา หันศีรษะมองไปที่เฉินฉางเซิง ทว่ามิได้เปล่งวาจา 

 

 

เฉินฉางเซิงเดาได้ว่าบุรุษผมเผ้ายุ่งเหยิงหน้าตาสกปรกผู้นี้น่าจะเป็นเจ้าของกระท่อมหลังดังกล่าว สืบเท้าขึ้นหน้า หยิบหนังหมูก้อนหนึ่งที่เตรียมไว้ก่อนหน้าแล้ว ถูกไปมาบนหม้อเหล็กที่กำลังร้อน จากนั้นเอาผักเขียวเทเข้าไป ขยับตะหลิว ตามเสียงฉ่าๆ ที่ดังขึ้นเป็นช่วงๆ ผ่านไปไม่นานผักก็ถูกผัดจนสุก 

 

 

ผักเขียวถูกตักใส่จาน เนื่องจากไม่มีน้ำมัน ดมแล้วไม่ค่อยมีกลิ่นหอม มองดูลักษณะแล้วไม่ได้สวยงามประการใด แต่ว่าการกินของเฉินฉางเซิงแต่ไหนแต่ไรมามักเน้นมันน้อยเกลือน้อย ตอนอยู่ที่เมืองซีหนิงส่วนมากใช้น้ำต้มผัก จึงไม่รู้สึกไม่เหมาะสมใดๆ จากนั้น เขานำปลาเค็มที่นึ่งสุกแล้วหั่นเป็นท่อน วางต้นหอมฝอยนิดหน่อย และเริ่มตักข้าว 

 

 

วางข้าวขาวที่มีไอร้อนกรุ่นไว้บนโต๊ะ ชายผู้นั้นหยิบตะเกียบขึ้นมาก็เริ่มซัดอย่างไม่เกรงใจ เฉินฉางเซิงตักข้าวถ้วยหนึ่งให้ตนเอง หันศีรษะกลับไปจึงสังเกตเห็นว่าข้างโต๊ะมีเพิ่มมาอีกหนึ่งคน ไม่รู้ว่าเจ๋อซิ่วเดินมาจากรั้วไผ่ตั้งแต่เมื่อไร นั่งบนเก้าอี้อย่างไร้สีหน้า สิ่งที่จะสื่อนั้นชัดเจนมาก 

 

 

เฉินฉางเซิงรู้สึกจำใจเล็กน้อยส่ายหัวไปมา เอาถ้วยวางไว้หน้าเขา แล้วเริ่มตักข้าวถ้วยที่สาม 

 

 

ผักเขียวไม่เยอะ สามสองคีบก็หมดแล้ว ปลาเค็มเค็มมากจริงๆ ต้องรับประทานกับข้าวทีละมากๆ เพียงแต่เหมือนที่ถังซานสือลิ่วบอกกับเจ๋อซิ่วตอนการสอบใหญ่ ความเร็วในการกินข้างของเฉินฉางเซิงและเจ๋อซิ่วทั้งคู่ช้ามาก ตอนที่พวกเขายังกินข้าวถ้วยแรกอยู่ บุรุษผู้นั้นกินข้าวไปสี่ถ้วยแล้ว วางตะเกียบลง 

 

 

เฉินฉางเซิงส่งชาแก้วหนึ่ง ส่งไปให้เขาคนนั้น 

 

 

เจ๋อซิ่วมองเขาทีหนึ่ง ไม่ได้พูดอะไร 

 

 

บุรุษผู้นั้นดื่มชาคำหนึ่ง นวดท้องเบาๆ อย่างพึงพอใจ เรอออกมาอย่างไม่สง่างาม 

 

 

สามคนยังคงไม่ได้พูดอะไร ข้าวมื้อนี้รับประทานอย่างเงียบสงบ บรรยากาศประหลาดมาก 

 

 

เฉินฉางเซิงและเจ๋อซิ่วกินข้าวเสร็จเกือบพร้อมกัน เจ๋อซิ่วลุกขึ้นมา เริ่มเก็บถ้วยและตะเกียบ ต้มน้ำล้างชาม เฉินฉางเซิงเห็นภาพนี้ ครุ่นคิดสักพัก ไม่ได้ไปแย่งเขา กลับไปเทน้ำชาอีกสองถ้วย 

 

 

หลังเจ๋อซิ่วล้างชามเสร็จ เอามือที่เปียกเช็ดบริเวณสาบเสื้อตามอารมณ์ กลับมานั่งที่ข้างโต๊ะ ยกถ้วยชาของตนเองขึ้นมา ดื่มน้ำชาที่อยู่ข้างในครั้งเดียวหมด จากนั้นมองเฉินฉางเซิง พลางกล่าว “เจ้ายังติดค้างข้าอยู่” 

 

 

ตอนพูดประโยคนี้ เขาไม่ได้สนใจผู้ชายคนนั้นที่หลับตาพักผ่อนอยู่ ราวกับคนผู้นั้นไม่มีตัวตน 

 

 

เฉินฉางเซิงพูดว่า “ข้ารู้ ไม่กี่วันมานี้รอเจ้ามาเอาที่สำนักฝึกหลวงตลอด” 

 

 

“เงินมีมากพอแล้ว แค่ที่ถังถังออกให้ก็ใจกว้างมากแล้ว” 

 

 

เจ๋อซิ่วมองดูน้ำชาที่หลงเหลืออยู่เล็กน้อยในถ้วย เงียบไปสักพัก ค่อยพูดว่า “ข้าต้องการความช่วยเหลือหนึ่งจากเจ้า” 

 

 

เฉินฉางเซิงกล่าว “เจ้าพูดมา ถ้าสามารถช่วยได้ข้าช่วยแน่นอน” 

 

 

ขณะต่อสู้ระหว่างการสอบใหญ่ ถังซานสือลิ่วในนามตัวแทนของสำนักฝึกหลวงได้ทำการตกลงร่วมมือกับชายหนุ่มเผ่าหมาป่าผู้นี้ การต่อสู้ในเวลาต่อมา เจ๋อซิ่วทำตามข้อสัญญาอย่างแน่วแน่ โดยเฉพาะรอบที่ต่อสู้กับโก่วหานสือซึ่งสู้จนตราบฟ้าดินแทบสลาย ที่เฉินฉางเซิงได้อันดับหนึ่งของขั้นหนึ่งการสอบใหญ่ มีส่วนสนับสนุนอย่างมากจากเขา 

 

 

เจ๋อซิ่วเงยหน้าขึ้นมา จ้องตาของเขา พูดอย่างไร้สีหน้าว่า “เส้นลมปราณของข้ามีปัญหานิดหน่อย” 

 

 

จริงๆ แล้วเฉินฉางเซิงเดาออกแล้วว่าเจ๋อซิ่วจะให้ตัวเองช่วยเขาเรื่องอะไรบ้าง ได้ยินแล้วก็ไม่ได้ตกตะลึงแต่อย่างใด ถามขึ้นว่า “เจ้าแน่ใจหรือว่าข้าสามารถช่วยเจ้าได้?” 

 

 

“เจ้าสามารถช่วยลั่วลั่วได้ ก็อาจสามารถช่วยข้าได้ แม้ว่าจะเป็นเพียงอาจ” เจ๋อซิ่วพูด 

 

 

ชนรุ่นหลังที่เกิดจากการผสมพันธุ์ระหว่างเผ่าปีศาจและเผ่ามนุษย์ สายเลือดผสมมักเกิดปัญหา จริงอยู่ว่ามีโอกาสคลอดนักปราชญ์ออกมา แต่ก็มีโอกาสสูงที่คลอดออกมาเป็นคนใช้ไม่ได้ แม้ว่าเป็นบรรดาคนรุ่นหลังที่มีสายเลือดพรสวรรค์ที่ใช้ได้ ทว่าในร่างกายมักแฝงเร้นด้วยปัญหาที่อันตรายแสนสาหัส ลั่วลั่วเป็นเพราะสายเลือดบิดามารดาของนางยิ่งใหญ่มากเกินไป ฉะนั้นปัญหาแก้ไขง่ายหน่อย แต่เจ๋อซิ่วกลับไม่ได้โชคดีอย่างนั้น 

 

 

ปัญหาลมปราณของเขาไม่เพียงแต่กระทบการบำเพ็ญเพียร ที่น่ากลัวที่สุดคือ สามารถกระทบแรงบันดาลใจของเขา กระทั่งคุกคามถึงชีวิต 

 

 

“เวลาไม่สบาย จะเจ็บปวดมาก ขณะที่สาหัสที่สุด ถึงกับสามารถทำให้ข้าเสียสติ พูดอย่างชัดเจน ก็คือจะเป็นบ้า ไม่รู้ว่าหลังจากที่ตัวเองบ้าคลั่งได้ทำอะไรลงไป อาจจะเข่นฆ่าผู้คนไปทั่ว ไม่อย่างนั้นเผ่าก็คงไม่เนรเทศข้าตั้งแต่เด็ก” 

 

 

เจ๋อซิ่วพูดด้วยสีหน้าไม่แยแส ราวกับพูดเรื่องของคนอื่น ไม่ปรากฏความสั่นไหวใดๆ บนใบหน้า 

 

 

เฉินฉางเซิงเพิ่งจะเข้าใจ ทำไมก่อนหน้านี้ที่รั้วไผ่เจ๋อซิ่วถึงพูดว่า การมีชีวิตอย่างมีสติหรือตายไปอย่างมีสติถึงเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุด 

 

 

เขาใช้เวลาคิดอยู่นาน ค่อยกล่าวว่า “ความเป็นไปได้มากสุดคือเส้นลมปราณที่เชื่อมกับความทรงจำมีปัญหา รูปร่างผิดปกติ” 

 

 

เนื่องจากสาเหตุที่เส้นลมปราณของตัวเองขาด เขาคอยหาความรู้ที่เกี่ยวข้องในคัมภีร์เต๋า ใช้เวลานานในการศึกษาเรื่องนี้ พูดถึงปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเส้นลมปราณ มีคนจำนวนน้อยมากที่มีความรู้มากกว่าเขาในด้านดังกล่าว ภายหลังที่ได้แนะนำดูแลลั่วลั่วและเซวียนหยวนผ้อที่สำนักฝึกหลวง ประสบการณ์จริงก็ยิ่งเพิ่มพูนมาก ตอนนี้ได้ยินเจ๋อซิ่วเล่าสถานการณ์ของตนเองเสร็จ เขาก็มั่นใจว่าปัญหาอยู่ที่ไหนได้อย่างรวดเร็ว 

 

 

เจ๋อซิ่วไม่ได้แสดงออกถึงความตื่นเต้นเมื่อเห็นว่ามีหวัง พูดอย่างไร้สีหน้าว่า “หอความลับสวรรค์ก็พูดแบบนี้เช่นกัน” 

 

 

เฉินฉางเซิงมองเขา คิดแล้วคิดอีกถามว่า “เจ้าอยากให้ผลการรักษาเป็นอย่างไร?” 

 

 

“สามารถมีชีวิตอยู่ได้นานหน่อย แน่นอนว่าดีที่สุด ถ้าไม่ได้ อย่างน้อยต้องรับรองว่าตัวเองมีสติอยู่ตลอดเวลา มีชีวิตอย่างมีสติหรือตายไป เพียงแค่มีสติก็พอ” 

 

 

เจ๋อซิ่วจ้องตาเขา พูดว่า “ข้าไม่อยากมีชีวิตอย่างไม่รู้อะไร มีชีวิตอย่างสับสนมัวเมา มีชีวิตอย่างไม่รู้ว่าตัวเองมีชีวิต มีชีวิตเหมือนหมาตัวหนึ่ง” 

 

 

เขาเป็นหมาป่าที่โดดเดี่ยวเดียวดายและทะนงตนตัวหนึ่ง เดินพันลี้กินเนื้อ ไม่ยอมกินอาจม[1] 

 

 

“ข้าไม่สามารถรับรองใดๆ แต่ข้าจะคิดหาวิธีอย่างขะมักเขม้น” 

 

 

เฉินฉางเซิงพูด จากนั้นยื่นมือออก เริ่มจับชีพจรเส้นลมปราณให้เจ๋อซิ่ว 

 

 

เปรียบนิ้วชี้และนิ้วกลางของเขา เหมือนกระบี่สองด้ามที่สั้นยาวไม่เท่ากัน วางบนตำแหน่งเส้นลมปราณของเจ๋อซิ่วเบาๆ ก็เหมือนวางอยู่บนชั้นวางแสดงอาวุธ ท่าทีประหนึ่งตามใจตนเอง ทว่าความจริงแล้วกลับแน่วแน่อย่างยิ่ง 

 

 

ตุบๆ ชีพจรที่ชัดเจนส่งกลับผ่านนิ้วมือ เฉินฉางเซิงสังเกตเห็นว่าชายหนุ่มเผ่าหมาป่าคนนี้เหมือนกับลั่วลั่ว อัตราการเต้นของหัวใจเร็วมาก เหมือนกลองสงครามที่ถูกตีถี่รัว ดังตลอดเวลา และอัตราการเต้นหัวใจมีพลังมากผิดปกติ ผิวหนังภายนอกสั่นอย่างต่อเนื่องเหมือนกับหนังกลองที่แน่นตึง ทำให้นิ้วมือของเขาชาไปเล็กน้อย 

 

 

จู่ๆ มีพลังขุมหนึ่งผ่านบริเวณเส้นลมปราณของเจ๋อซิ่วออกมา พลังสายนั้นไม่ค่อยเฉียบคมเท่าไร เหมือนกับน้ำขึ้นน้ำลงระลอกคลื่นค่อยๆ ท่วมขึ้นมา ทว่ากะทันหันอย่างมาก ราวกับในทันทีทันใดนั้น น้ำขึ้นน้ำลงก็ท่วมโขดหินทั้งหมด เฉินฉางเซิงไม่ได้เตรียมตัวกับการณ์นี้ นิ้วมือสองนิ้วถูกดีดขึ้นมาอย่างแรง! 

 

 

เขามองเจ๋อซิ่วอย่างตกตะลึง บนใบหน้าของเจ๋อซิ่วยังคงไม่มีสีหน้าใดๆ เหมือนเดิม เพิกเฉยอย่างมาก ทว่ามีรายละเอียดหนึ่งที่เปลี่ยนแปลง…ในม่านตาที่สว่างสดใสกลายเป็นหม่นแสงลงอย่างมาก 

 

 

นี่มันเกิดอะไรขึ้น? 

 

 

  

 

 

——

 

 

[1] เดินพันลี้กินเนื้อ ไม่ยอมกินอาจม มาจากสำนวน หมาป่าเดินพันลี้กินเนื้อ สุนัขเดินพันลี้กินอาจม หมายถึงจิตใต้สำนึกเปลี่ยนยาก