ส่วนที่ 4 ฝันสลาย ตอนที่ 25 ใกล้ปะทุ (7)

ปลดผนึกหัวใจหวนรัก Love and Redemption

นางคำรามจบ ทั้งโถงก็เงียบกริบ คนทั้งโถงมองมาทางนางครึ่งหนึ่ง มองไปทางฉู่เหล่ยครึ่งหนึ่ง ไม่รู้เขาจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร 

 

 

ฉู่เหล่ยสูดลมหายใจเข้าลึก กำลังจะกล่าว พลันได้ยินหลิงหลงก้องกังวานขึ้นว่า “เสวียนจี ข้าไม่ได้เอาแต่ใจ ข้าจริงจัง ดังนั้นเจ้าอย่ามาทำตัวเหมือนเด็กที่นี่”  

 

 

เหมือนเด็กอย่างไร?! เสวียนจีร้อนใจกล่าวว่า “ไม่ใช่แบบนี้! ข้า…ข้าก็จริงจังนะ! ทุกคนเดิมอยู่กันดีๆ…พูดกันดีแล้ว พูดกันแล้ววันหน้าจะอยู่ด้วยกัน ไม่แยกจากกัน…ในเมื่อมีคำสัญญาเช่นนี้ หรือว่าไม่ต้องรักษาสัญญา?” นางร้อนใจสีหน้าซีดเผือด มองหลิงหลงอย่างไม่อยากจะเชื่อ 

 

 

หลิงหลงค่อยๆ กล่าวว่า “โลกเปลี่ยนแปลงยากคาดเดา เรื่องวันหน้าผู้ใดก็ไม่อาจรู้ได้ คำสัญญา…ก็แค่เพื่อให้รู้สึกสบายใจเท่านั้น คนมีกำลังจำกัด ไหนเลยจะรักษาสัญญาได้ทุกเรื่อง” 

 

 

“เจ้า…” เสวียนจีพลันพูดไม่ออก 

 

 

หลิงหลงยิ้มเล็กน้อย กล่าวอ่อนโยนว่า “เสวียนจี แม้พวกเราไม่ใช่คนสำนักเส้าหยาง แต่ข้ายังคงเป็นพี่สาวเจ้า หมิ่นเหยียนยังคงเป็นสหายที่ดีของเจ้า ไม่ได้จากกันไปเสียหน่อยนี่” 

 

 

เสวียนจีส่ายหน้ากล่าวว่า “แต่…ศิษย์พี่หกเป็นเช่นนี้…ก็เพราะไร้หนทาง เหตุใดเจ้ายังต้องออกจากสำนักเส้าหยาง?” 

 

 

หลิงหลงกุมมือจงหมิ่นเหยียนแน่น สีหน้าจริงจังกล่าวว่า “เพราะข้าเข้าใจว่าตนเองต้องการอะไร หากต้องให้เลือกระหว่างสำนักเส้าหยางกับหมิ่นเหยียน นอกจากเลือกเขาแล้ว ข้าไม่มีทางเลือกอื่น จากสำนักเส้าหยางไป ข้าย่อมไม่ตาย แต่หากจากเขาไป ข้าย่อมตาย” 

 

 

แต่ไรมานางเอาแต่ใจตนเอง วันนี้ถึงกับกล่าววาจาเช่นนี้ออกมาช่างเหนือคาดหมาย วาจานี้กล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งเรียบมาก แต่กลับรู้สึกถึงความผูกพันลึกซึ้ง ทำให้รู้สึกซาบซึ้งยิ่ง แต่ไรมาไม่เคยเผยความรู้สึกตนเองอย่างตรงไปตรงมาเช่นนี้ แต่ไรก็มักหาทางหลบเลี่ยงตอบจงหมิ่นเหยียน ตอนนี้อยู่ๆ เปิดใจ พูดสิ่งที่คิดในใจออกมา รู้สึกว่าสบายใจยิ่ง 

 

 

จงหมิ่นเหยียนเหม่อมองนางราวกับจากวันนี้ไปจึงค่อยรู้จักนางตัวจริง เขาค่อยๆ กำมือตนเองแน่น กอบกุมมือน้อยๆ อ่อนนุ่มของนางไว้ เป็นนานจึงเรียกเบาๆ ขึ้นเสียงหนึ่ง “หลิงหลง” 

 

 

หลิงหลงก้มหน้ายิ้ม แววตารักใคร่กล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ในเมื่อข้ากล่าวเช่นนี้ได้ ก็ย่อมต้องทำได้ ข้าตัดสินใจแล้ว เจ้าไปไหน ข้าก็ไปนั่น” 

 

 

เสวียนจีตะลึงมองเขาทั้งสองคน พลันยกมือกุมขมับ ก้มหน้าไม่พูดอะไร อวี่ซือเฟิ่งค่อยๆ ไปลากนางออกมา กล่าวเบาๆ ว่า “หลิงหลงพูดได้มีเหตุผล ครั้งนี้ควรฟังนาง” เสวียนจีพยักหน้าเงียบๆ น้ำตาไหลรินรดเสื้อผ้า ก่อนจะปาดทิ้ง 

 

 

ฉู่เหล่ยค่อยๆ หันกลับมา แววตาลึกล้ำ มองหลิงหลงเป็นนานจึงได้กล่าวว่า “เจ้าตัดสินใจแน่แล้วหรือ” 

 

 

หลิงหลงพยักหน้า “ใช่ ข้าตัดสินใจแล้ว ลูกอกตัญญู เสียแรงที่ท่านพ่อท่านแม่เลี้ยงดูมา” 

 

 

ฉู่เหล่ยสูดลมหายใจเข้าลึกก่อนจะถอนหายใจยาว ท่าทางเหนื่อยล้า ในที่สุดก็โบกมือกล่าวเสียงแผ่วเบาว่า “ข้าเข้าใจแล้ว ตามใจเจ้า จากวันนี้ไปเจ้าทั้งสองคนไม่ใช่ศิษย์สำนักเส้าหยางอีก…แต่หลิงหลง หมิ่นเหยียน เส้าหยางเป็นบ้านพวกเจ้าตลอดไป” 

 

 

ทั้งสองโขกศีรษะทั้งน้ำตา ก่อนจะจูงมือกันยืนขึ้น สบตากัน สายตาประสานกัน ราวกับมีร้อยพันหมื่นวาจาอยากจะกล่าวกัน 

 

 

ฉู่เหล่ยกล่าวว่า “สายมากแล้ว ควร…” 

 

 

ยังกล่าวไม่ทันจบ ก็ได้ยินเสียงเอะอะดังจากด้านนอก ตามมาด้วยตงฟางชิงฉีเดินยิ้มเข้ามา เสียงดังกล่าวว่า “คนต้องสงสัยรวบรวมมาหมดแล้ว ทุกท่านตามข้ามา” 

 

 

ทุกคนตามเขาออกจากโถงกลาง ดังคาด ด้านนอกมีคนยืนกันเต็มลาน ศิษย์สำนักเส้าหยางล้อมคนสิบกว่าคนไว้ตรงกลาง ล้วนตรวจค้นตามคำสั่ง เป็นพวกใบหน้ามีแผล ตามตัวมีรอยเลือดและหน้าตาไม่คุ้น มีคนสวมชุดขาวคาดเอวสีเขียวเดินเข้ามา ชายหนุ่มที่เป็นหัวหน้ากล่าวว่า “สมุดรายชื่อศิษย์นำมาด้วยแล้ว ขอเจ้าสำนักกับทุกท่านตรวจดู” ทุกคนดูอายุ ท่าทางและการแต่งกายพวกเขาไม่เหมือนศิษย์ปกติทั่วไป ก็คิดว่าต้องเป็นคนสำนักพัดหยก 

 

 

คนผู้นั้นโบกมือ ด้านหลังมีคนออกมาสามสี่คน ในมือประคองถาดออกมา บนถาดมีม้วนไม้ไผ่กองอยู่แน่นขนัด คิดว่าน่าจะเป็นสมุดรายชื่อศิษย์เกาะฝูอวี้ ตงฟางชิงฉีกวาดตามองถามว่า “คนที่ถูกนำตัวมาเหล่านี้ล้วนไม่อยู่ในสมุดรายชื่อหรือ?” 

 

 

คนผู้นั้นกล่าวว่า “ไม่ บางคนอยู่ในสมุดรายชื่อ แต่ชื่อถูกลบทิ้ง มีบางคนไม่ได้อยู่ในสมุดรายชื่อ” 

 

 

ตงฟางชิงฉีพยักหน้า นำทุกคนเดินเข้าไปด้านหน้า บรรดาศิษย์พากันแหวกทางออก สิบกว่าคนที่ถูกล้อมอยู่ตรงกลางพากันลนลานไม่น้อย แต่ละคนห่อไหล่ก้มหน้า ตงฟางชิงฉีตวาดดังว่า “รายงานชื่อตัวเองมาให้หมด!” คนเหล่านั้นได้แต่รายงานชื่อตนเองออกมา ตงฟางชิงฉีอ่านเจอรายชื่อหลายคนเป็นศิษย์ทำผิดถูกขับออกจากเกาะฝูอวี้ ไม่รู้พวกเขาใช้วิธีการอันใดกลับขึ้นเกาะอีก และยังมีพวกคนงานที่ทำงานใช้แรงงานในห้องครัว หันกลับไปกล่าวว่า “เสวียนจี พวกเจ้ามาดูนี่” 

 

 

เสวียนจีกับอวี่ซือเฟิ่งเคยปะทะกับคนผู้นั้นซึ่งหน้า ดังนั้นจึงเดินเข้าไปสังเกตดู อวี่ซือเฟิ่งมองไปรอบๆ มองไม่เห็นสิ่งน่าสงสัยใด คนที่หน้ามีรอยแผลเป็นก็มีหลายคน แต่คนละตำแหน่งกับที่เขากรีดใบหน้าคนผู้นั้น เขาหันกลับไปมองเสวียนจี นางไปหยุดหน้าคนผู้หนึ่ง กำลังก้มหน้าพูดคุย 

 

 

อีกฝ่ายเป็นเด็กหญิงร่างกายผอมบางท่าทางอ่อนแอ เดาว่าเป็นคนในครอบครัวคนงานในครัว ยืนตัวสั่นเทาอยู่เบื้องหน้าเสวียนจี น่าสงสารมาก เขาเดินเข้าไป ได้ยินเสวียนจีถามว่า “เจ้าตัวสั่นทำไม กลัวมากหรือ” 

 

 

เด็กผู้หญิงคนนั้นน้ำเสียงสั่นกล่าวว่า “ไม่ ไม่…ข้าไม่ได้…ข้าเห็นกระบี่แม่นาง…รู้สึกไม่ชิน” 

 

 

เสวียนจียิ้มกล่าวว่า “เจ้ามาอยู่บนเกาะตั้งนาน คนที่นี่พกกระบี่ ทำไมเห็นข้าแล้วไม่ชิน?” 

 

 

เด็กผู้หญิงคนนั้นก้มหน้าไม่พูด เสวียนจีเชยคางนางขึ้น มองใบหน้านางอย่างละเอียด บนใบหน้าแม้ว่าสกปรกแต่ก็เรียบเงา อย่าว่าแต่รอยแผล แม้แต่ไฝก็ไม่มี นางมองซ้ายมองขวาเป็นนาน ก็ไม่กล่าวอันใด อวี่ซือเฟิ่งเห็นเด็กผู้หญิงคนนั้นท่าทางจะร้องไห้ จึงทนดูไม่ไหว เข้าไปกล่าวเบาๆ ว่า “เสวียนจี นางเป็นแค่เด็กผู้หญิง” 

 

 

เสวียนจีปล่อยคางนาง ยิ้มเล็กน้อย พลันชักกระบี่เปิงอวี้ออกมาฟันนางทันที น้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “แม้เจ้ากลายเป็นเถ้า ก็ปิดบังจมูกข้าไม่ได้!” ทุกคนตกใจสีหน้าแปรเปลี่ยน เห็นเพียงเด็กผู้หญิงคนนั้นเคลื่อนไหวว่องไว กลิ้งตัวกับพื้นหลบกระบี่นั่น สองมือตบพื้นโดดยืนตัวตรง หันหลังกระโจนหนีทันที 

 

 

อวี่ซือเฟิ่งคว้าหลังคอนางไว้ คนผู้นั้นดิ้นรนสะบัดอย่างแรง ได้ยินเสียง แควก ดังขึ้น นางเผยแผ่นหลังเปลือยเปล่า เป็นสตรี อวี่ซือเฟิ่งอึ้งไป อดปล่อยมือไม่ได้ คนผู้นั้นไม่สนใจแผ่นหลังเปลือยเปล่าของตน ลนลานหนีทุกทาง ครั้งนี้ไม่เหมือนตอนบ่ายที่มีหนุ่มสาวไม่กี่คน ที่นี่มีตงฟางชิงฉีกับฉู่เหล่ย รอบๆ ยังมีศิษย์เกาะฝูอวี้ถือกระบี่รออยู่นับไม่ถ้วน นางมองซ้ายขวาอย่างร้อนใจ เห็นเพียงหลิงหลงกับจงหมิ่นเหยียนกำลังยืนตะลึงอยู่ข้างๆ ยามนั้นจึงวิ่งไปทางนั้น 

 

 

จงหมิ่นเหยียนเกลียดคนผู้นี้เข้ากระดูกดำ เป็นเพราะเขาทำร้ายตนเองจนประสบเหตุมากมายเช่นนี้ เห็นคนผู้นั้นวิ่งมาทางตนเอง จึงรีบชักกระบี่ออกมา ยืนคนละข้างกับหลิงหลงกั้นเขาไว้ 

 

 

ไม่ทันระวังนางกลิ้งตัวลอดผ่านก่อนจะลุกขึ้น กลายเป็นชายหน้าตาหล่อเหลา แต่ก็เหมือนคนป่วย ยิ้มให้เขาเล็กน้อย กล่าวอ่อนโยนว่า “หมิ่นเหยียน พบกันอีกแล้ว” 

 

 

จงหมิ่นเหยียนสะดุ้งสุดตัว หลุดกล่าวออกมาว่า “…พี่…พี่โอวหยาง?!” 

 

 

เขาตายไปแล้วนี่! ยังตายใต้คมกระบี่เขา! เขาคิดได้ทันที คนผู้นี้ปลอมตัวเก่ง ย่อมต้องปลอมตัวเป็นพี่โอวหยางมาหลอกตน ตอนนั้นจึงกัดฟันตวัดกระบี่เข้าใส่ คนผู้นั้นเร้นกายหลบกระบี่ที่แทงมาอย่างไม่มีหลักเท่าไร ยิ้มกล่าวว่า “อย่างไร ไม่เจอกันครึ่งปี จำข้าไม่ได้แล้วหรือ วันนั้นเจ้าแทงกระบี่ใส่ข้า แผลยังอยู่เลยนะ!” กล่าวจบก็กระชากเสื้อด้านหน้าออก เผยแผ่นอกเปลือย รอยกระบี่ใกล้หัวใจดังคาด เลือดสดยังคงกระทบดวงตา 

 

 

จงหมิ่นเหยียนน้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “เจ้าคือตัวปลอม! อย่าคิดหลอกข้า!” 

 

 

วาจาแม้ว่ากล่าวเช่นนี้ แต่กระบวนท่ากระบี่กลับอ่อนยวบไร้เรี่ยวแรง ภาพล่อหลอกแวบขึ้นมาในห้วงความคิดเขาภาพแล้วภาพเล่า อยู่ๆ มีความคิดน่ากลัวหนึ่งผุดขึ้นมา หรือว่าตั้งแต่ตอนนั้น เขาก็ถูกหลอกแล้ว ที่แท้ไม่ได้มีพี่โอวหยาง เขาคือมารปีศาจปลอมตัวมาหลอกเขา ใช้งานเขา 

 

 

คนผู้นั้นฉวยจังหวะที่เขาไม่ทันระวัง คว้ากระบี่เขาไว้ กำลังจะแย่งไป พลันได้ยินหลิงหลงด้านหลังตะโกนดัง “ปล่อย!” ลมวูบหนึ่งฟันมาทางท้ายทอยเขา กระบี่ต้วนจินนางคมปลาบอย่างยิ่ง เขาไม่กล้าปะทะซึ่งหน้า ร้อง “อุบ” ขึ้นเสียงหนึ่ง ก่อนจะกลิ้งตัวไปกับพื้นหลบไปได้อย่างหวุดหวิด 

 

 

แผ่นหลังพลันถูกแรงปะทะไม่ให้ซุ่มให้เสียง คนผู้นั้นตกใจ กำลังคิดหลบก็ไม่ทันเสียแล้ว อาวุธก็ดี พลังฝ่ามือก็ดี หากได้ยินเสียง เขายังหลบทัน แต่การจู่โจมที่มาอย่างไม่ให้สุ้มให้เสียงนี้ เขาไม่อาจหลบพ้น แผ่นหลังถูกฟาดเต็มแรง เขาอ้าปากกระอักเลือดออกมา พลังภายในถูกฟาดกระจาย สะอึกถอยหลังไปหลายก้าว หันกลับไปมอง เป็นฉู่เหล่ย 

 

 

ยามนี้คนรอบๆ พากันล้อมวงเข้ามา เขาไม่อาจหนีได้อีกแล้ว สถานการณ์เปลี่ยนแปลงไปอย่างไม่อาจควบคุมได้อีก ผมที่เกล้าอยู่บนศีรษะก็กระจายลงเต็มแผ่นหลัง สีหน้าค่อยๆ แปรเปลี่ยน สุดท้ายเริ่มเป็นสีน้ำตาลอ่อนๆ ใบหน้าเดิมของพี่โอวหยางพลันค่อยๆ ยืดยาว กลายเป็นหน้าปีศาจที่มีดวงตาสีเขียว 

 

 

วันนี้เขารู้ว่าตนเองไม่อาจหนีรอดอีกแล้ว อดหัวเราะดังไม่หยุดไม่ได้ กล่าวว่า “พวกเจ้าควรดีใจที่คนที่มาเป็นข้า ไม่ใช่ปีศาจอื่นที่มีพลังเคลื่อนภูผาย้ายทะเล ไม่เช่นนั้น พวกเจ้าคงได้จบชีวิตกันในทันที!” 

 

 

ตงฟางชิงฉีน้ำเสียงดุดันกล่าวว่า “ยังคงใช้วาจาล่อหลอก!” 

 

 

เขาฟาดฝ่ามือใส่จุดเทียนหลิงไก้ที่กระหม่อมเขา ฝ่ามือเขาพลิ้วแผ่วแต่ทิ้งรอยนิ้วไว้บนหินผา หากฟาดลงบนเลือดเนื้อ เกรงว่าคงได้กระดูกแตกเป็นเสี่ยงสิ้นใจ 

 

 

ฉู่เหล่ยร้อนใจกล่าวว่า “อย่าฆ่าเขา! เก็บไว้สอบปากคำ!” 

 

 

ทันทีที่กล่าวจบ พลันมีลมหอบกระหน่ำม้วนตัวมา ฝุ่นบนพื้นตลบม้วนขึ้นฟุ้งไปทั่ว เสียงลมแรงเสียดแก้วหู ทุกคนพลันต้องหรี่ตา มองอันใดไม่เห็น ฉู่เหล่ยเห็นว่าลมพัดมาอย่างน่าประหลาด รีบร้องดังขึ้นว่า “เฝ้าปีศาจนั่นให้ดี!” ตงฟางชิงฉีลงมือราวสายฟ้า คว้าปีศาจตรงหน้านั่น ผู้ใดจะรู้ว่าคว้าได้แต่อากาศ ข้างหูพลันได้ยินเสียงกล่าวเบาๆ ว่า “ข้าไว้ชีวิตเจ้าสักครั้ง เห็นแก่ที่เจ้าเคยช่วยข้า” 

 

 

เขาพลันอึ้งไป รู้สึกเพียงแค่ลมรอบๆ สงบลง ท่ามกลางแสงจันทร์ เงาร่างทั้งสองลอยขึ้นกลางท้องฟ้า ค่อยๆ ลอยไกลออกไปหลายจั้ง หนึ่งในนั้นมือเท้านิ่งไม่ขยับ เป็นปีศาจที่เมื่อครู่ถูกพวกเขาทำบาดเจ็บ ชายชุดดำอีกคนคว้ามือเขาไว้ มองจากเงาแล้ว คุ้นมาก 

 

 

คนผู้นั้นพลันหันกลับมา กวาดตามองทุกคนด้วยสายตาราวสายฟ้าเย็นเยียบ ตงฟางชิงฉีหายใจเข้าดังเฮือก พึมพำกล่าวว่า “เขาเอง!” 

 

 

ถึงกับเป็นพ่อบ้านโอวหยางเกาะฝูอวี้ที่จากไปนานแล้ว! เขากวาดตามองมายังฉู่เหล่ย พลันกล่าวว่า “ความสามารถเจ้าไม่เลว!” ยังกล่าวไม่ทันจบ ข้อมือพลันสะบัด ฉู่เหล่ยรู้สึกเหมือนแค่ลมพัดมาวูบหนึ่ง เร็วจนน่าตกใจ ตนเองหลบไม่พ้น ที่ท้องพลันรู้สึกเจ็บปลาบ ราวกับมีของแข็งพุ่งทะลุเข้าไป 

 

 

“รักษาตัวให้ดี! พบกันใหม่!” พ่อบ้านโอวหยางกล่าวจบ เงาร่างก็หายวับไปกลางท้องฟ้า มาไร้เงาไปไร้รอยแท้จริง ทำให้ทุกคนต่างตกใจ