“ขนวิหคเพลิง! เจ้า…เจ้าคือ….”
จ้าววิหคเพลิงร้องเสียงหลงและจ้องซือหยูอย่างไม่เชื่อสายตา
“เจ้าเป็นคนที่วิหารเซี่ยนหยุน ซือ…”
นางลืมชื่อของซือหยูไปแล้ว ในตอนนั้น ซือหยูเป็นเพียงราชันย์ศักดิ์สิทธิ์และไม่แข็งแกร่งพอที่นางจะต้องสนใจ นางจะไปจำชื่อของเขาได้ยังไงกัน?
ในตอนนั้นที่วิหารเซี่ยนหยุน ซือหยูได้เอาขนวิหคเพลิงทั้งสามจากวิหคเพลิงมาเพื่อช่วยชีวิตเซี่ยนเอ๋อ จากนั้นจ้าววิหคเพลิงก็มาสืบเรื่องนี้แต่ก็ได้พบคุณสมบัติวิหคเพลิงแห่งความตายจากเซี่ยนเอ๋อ นางจึงไม่ลงโทษซือหยู ขนวิหคเพลิงทั้งสามนั้นพิสูจน์ตัวตนของซือหยูได้เป็นอย่างดี
“ท่านจ้าวคณะ….”
“ขอบคุณในความเมตตาครั้งอดีต ขอบคุณที่ดูแลเซี่ยนเอ๋อในปีที่ผ่านมา ข้ามิอาจแสดงความขอบคุณได้ดีพอเลย”
เป็นเขาตัวจริง!
จ้าววิหคเพลิงราวกับตกอยู่ในโลกแห่งความฝัน เด็กหนุ่มนิรนามในครั้งนั้นกลับยืนอยู่ต่อหน้านางด้วยความตระการตา! ความต่างในครั้งนั้นกับเวลานี้ดั่งฟ้ากับเหว
นางเก็บความประหลาดใจเอาไว้ก่อนจะพูดออกมา
“ไม่คิดเลยว่าจะเป็นเจ้า หยินหยู…ข้าตกใจแทบแย่!”
ทั้งสองเข้าใจกันแล้ว ซือหยูยิ้ม แววตาของเขาเต็มไปด้วยความคาดหวัง
“ท่านให้ข้าเจอเซี่ยนเอ๋อจะได้หรือไม่?”
ก่อนหน้านั้น ซือหยูมิอาจปกป้องเซี่ยนเอ๋อเอาไว้ได้ แต่ด้วยพลังของซือหยูในตอนนี้ ใครกันในทวีปนี้จะกล้าต่อกรกับเขา?
จ้าววิหคเพลิงถอนหายใจ
“เจ้ามาช้าเกินไป”
ซือหยูเป็นกังวล
“เกิดอะไรขึ้นกับนาง? นางอยู่ไหน? นางเป็นอย่างไร?”
“เจ้าอย่าเพิ่งร้อนใจ!”
จ้าววิหคเพลิงรีบพูดเพื่อปลอบซือหยู
“นางไม่เป็นอะไร ข้าส่งนางไปเอง ข้าส่งเซี่ยนเอ๋อไปยังเรือรบเมื่อสามเดือนก่อนหลังจากที่มานางมายังคณะวิหคเพลิง นั่นคือที่หมายสุดท้ายของเซี่ยนเอ๋อ”
เรือรบงั้นรึ? ซือหยูตกตะลึง
“ไม่ใช่ว่าท่านพาเซี่ยนเอ๋อไปเพราะเห็นแก่คุณสมบัติของนางและอยากจะบ่มเพาะนางหรอกรึ? หมายความว่ายังไงกันที่ส่งนางไปให้กับเรือรบ?”
จ้าววิหคเพลิงโบกมือ ผ่านพลังโอบล้อมทั้งสองเพื่อซ่อนทั้งสองออกจากโลกภายนอก
“ข้าก็อยากจะบ่มเพาะเซี่ยนเอ๋อ…”
“แต่โชคร้ายนัก แม้ข้าจะเป็นจ้าวคณะ ข้าก็ไม่ดีพอที่จะชี้แนะนาง! คุณสมบัติวิหคเพลิงแห่งความตายคงจะสูญเปล่าในมือข้า”
จ้าววิหคเพลิงหัวเราะอย่างขมขื่น
เซี่ยนเอ๋อถูกส่งตัวไป! ไม่แปลกใจเลยว่าเหตุใจจึงไม่มีข่าวลือถึงเรื่องวิหคเพลิงแห่งความตายในทวีปในตลอดครึ่งปีที่ผ่านมา
ซือหยูเป็นกังวล
“แล้วนางอยู่ที่ใดกัน? เรือรบมันเป็นที่แบบไหนกัน?”
จ้าววิหคเพลิงสีหน้าอ่อนโญนเมื่อเห็นความกังวลของซือหยู นางได้เห็นซือหยูที่ก้าวข้ามความเป็นความตายทั้งหมดด้วยตัวเองและประทับใจเขา บุรุษเช่นนี้นับว่าหายากเป็นอย่างยิ่ง
จ้าววิหคเพลิงรู้สึกโล่งใจกับเซี่ยนเอ๋อ เด็กสาวที่ขี้เล่นซุกซนคนนั้นได้รับพรจากสวรรค์โดยแท้จริง นางมีคุณสมบัติของวิหคเพลิงแห่งความตาย แม้แต่ชีวิตรักของนางยังน่าอิจฉา
“มันคือเรือรบโบราณจากครีั้งอดีต…”
“มันพบเจอกับห้วงเวลายาวนานแต่ก็ยังแข็งแรง มันมิได้เป็นเจ้าของจากใคร แต่มันคือสถานทีที่รวบรวมยอดฝีมือลับไว้มากมาย พวกนั้นเรียกตัวเองว่าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ พวกนั้นมียอดฝีมือที่แข็งแกร่งมากมาย ในด้านพลัง พวกนั้นสามารถต่อกรกับตระกูลใดในแปดตระกูลโบราณก็ได้ ร่ำลือกันว่าพวกนั้นไม่ได้อ่อนแอไปกว่าอาณาจักรทมิฬเลย! แต่พวกเขามิได้เอาตัวเองมาเกี่ยวข้องกับความขัดแย้งในทวีป พวกเขากลับซ่อนเร้นกายและนามของตัวเอง พวกนั้นจะปรากฏตัวเมื่อทวีปตกอยู่ในอันตรายเท่านั้น”
ซือหยูเลิกคิ้ว
“อันตรายรึ? อันตรายใดกัน?”
จ้าววิหคเพลิงส่ายหน้า
“ข้าไม่รู้หรอก แต่จากบันทึกในตำราประวัติศาสตร์ พวกนั้นจะปรากฏตัวเมื่อเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ในทวีป ครั้งสุดท้ายที่พวกนั้นปรากฏตัวก็คือตอนที่ราชาแห่งความมืดออกจากการบ่มเพาะพลังและควบคุมดินแดน ทำลายสองตระกูลโบราณ การต่อสู้ครั้งนั้นคร่าชีวิตผู้คนไปมากมาย และขุมกำลังมากมายถูกทำลาย ทวีปในตอนเหนือระส่ำระส่าย แต่ทวีปแห่งนี้ก็มิได้ถูกทำลาย เจ้ารู้หรือไม่ว่าเพราะอะไร?”
ซือหยูพูดอย่างหม่นหมอง
“หรือว่าจะเป็นเพราะพันธมิตรผู้คุมสวรรค์?”
“ใช่แล้ว!”
จ้าววิหคเพลิงพยักหน้า
“เป็นเพราะพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ พวกนั้นทำนายว่าทวีปแห่งนี้กำลังจะถูกทำลายล้าง ดังนั้นพวกเขาจึงปรากฏตัวและพาเหล่าขุมกำลังที่เป็นกลางออกไป พวกเขาส่งคนเหล่านั้นกลับมาเมื่อวิกฤติได้หายไป นั่นคือสาเหตุที่เหล่าขุมกำลังที่ถูกทำลายกลับมารุ่งเรืองได้อีกครั้ง คณะวิหคเพลิงก็ถือกำเนิดขึ้นในยุคนั้น”
ยังมีขุมกำลังเก่าแก่ที่ซ่อนตัวอยู่ในทวีปเฉินคงอยู่อีกรึ?
“พวกเขามีจุดมุ่งหมายเดียวเท่านั้น…”
“เพื่อหนีจากภัยพิบัติ! เพื่อรักษาสายโลหิตที่ยอดเยี่ยมจากทวีปเอาไว้ พวกเขาแล่นผ่านวิบัติต่างๆในทวีป”
ซือหยูเข้าใจเรื่องราวแล้ว ยังมีขุมกำลังอื่นที่คอยปกป้องทวีปเอาไว้อยู่
“มีคนมากมายในทวีปแห่งนี้ที่เป็นคนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์”
ซือหยูประหลาดใจ
“ใครกัน?”
“กระบี่ดาราจ้าวอู่จี้ อัสนีฟู่กังชาง จ้าววิหคเพลิงอาสัญ ฉิวหนิงชุย และอาจารย์ช่างหยินหยุนฮี ครั้งสุดท้ายที่พวกเขาพบกันก็เพื่อรับผู้แข็งแกร่งคนใหม่ เจ้าตำหนักเฉินเทียน ฉีตงไล่”
“อะไรนะ? พวกเขาก็อยู่ที่นั่นด้วยรึ?”
ซือหยูตกตะลึง
“ผู้อาวุโสหลินหยุนฮีกับฉีตงไล่เป็นคนในเรือรบด้วยรึ?”
ฉีตงไล่หายตัวไปนานและเข้าร่วมกับพันธมิตรผู้คุมสวรรค์! และหยินหยุนฮีผู้เลื่องชื่อในงานฝีมือแห่งพันธมิตรร้อยดินแดน เขาเป็นคนของพันธมิตรผู้คุมสวรรค์ได้ยังไงกัน?
“เจ้าพูดถูกแล้ว หัวหน้าของเหล่าขุมกำลังใหญ่เลือกที่จะเข้าร่วมกับพันธมิตรผู้คุมสวรรค์หลังจากที่ทิ้งตำแหน่งในสำนัก พวกเขาซ่อนตัวจากโลกภายนนอกและบ่มเพาะพลังอย่างสงบสุข จำนวนยอดฝีมือที่นั่นมีมากกว่าที่เจ้าคิด! จ้าววิหคเพลิงอาสัญฉิวหนิงชุยคือคนที่ข้ารู้จักมากที่สุด ท่านคือจ้าววิหคเพลิงคนเก่าและเป็นอาจารย์ของข้า! ฐานพลังของนางลึกซึ้งเกินกว่าจะอธิบาย ข้าไม่ได้เห็นนางมานาน ยากที่จะทำนายฐานพลังของนางได้ นางอาจจะทะลวงม่านขอบเขตอำมฤตและเป็นขอบเขตที่ใกล้เคียงกับเทพมากขึ้น! และอาจารย์ของข้าก็ยังมีสายเลือดของวิหคเพลิงอาสัญ ตราบใดที่ยังมีลมหายใจ นางจะไม่มีวันตาย หยดโลหิตเดียวของนางสามารถช่วยสิ่งมีชีวิตที่กำลังจะตายได้”
ซือหยูตกใจอย่างมาก เหนือว่าขอบเขตอำมฤตงั้นรึ? นั่นเป็นขอบเขตที่สวรรค์ไม่ยินยอม คนในทวีปกล้าทำลายม่านพลังไปยังขอบเขตถัดไปงั้นรึ?
“ข้าส่งเซี่ยนเอ๋อให้กับอาจารย์ของข้า…”
จ้าววิหคเพลิงพูดต่อ
“มีแค่นางเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์บ่มเพาะผู้มีสายโลหิตของวิหคเพลิงแห่งความตาย”
ซือหยูหายใจเข้าลึก ดูเหมือนว่าเมื่อพลังของใครคนหนึ่งเทียบได้กับสวรรค์ เขาจะเข้าใจความจริงของทวีปเฉินหลงมากขึ้น
มิได้มีแต่อาณาจักรทมิฬและแปดตระกูลโบราณที่มีตัวตนอยู่ในโลกแห่งนี้ แต่ยังมีขุมกำลังยิ่งใหญ่ที่โลดแล่นอยู่บนโลกที่ถูกเรียกว่าพันธมิตรผู้คุมสวรรค์
“ข้าจะไปหาพวกนั้นเจอได้อย่างไร?”
ซือหยูถามอย่างรีบร้อน แม้เขาจะรู้ว่าเซี่ยนเอ๋อปลอดภัย เขาก็อยากจะได้อยู่กับนางอีกครั้ง
จ้าววิหคเพลิงยิ้มอย่างขมขื่น
“พันธมิตรผู้คุมสวรรค์จัดการหลายสิ่งในความลับ ข้าจะเจอร่องรอยได้อย่างไร? พวกนั้นอาจจะแล่นอยู่ใกล้ๆ หรือในมหาสมุทรไร้ขอบเขต ข้าก็มิอาจทราบได้”
นอกซะจากพันธมิตรผู้คุมสวรรค์จะแสดงตัวออกมาเองก็ไม่มีใครตามหาได้ ซือหยูผิดหวัง แม้ว่าเขาจะยืนยันได้แล้วว่าเซี่ยนเอ๋อมิได้รักกับชายอื่น เขาก็ยังรู้สึกโศกเศร้าที่มิอาจได้เห็นนางด้วยตาตัวเอง
“เจ้าไม่ต้องห่วง…”
จ้าววิหคเพลิงพูดต่อ
“เมื่อฐานพลังของเซี่ยนเอ๋อสูงขึ้นและสิ่งที่พวกเราเรียกว่าวิกฤติได้พ่านพ้น พวกนั้นจะต้องออกมาเจอเจ้าแน่นอน เจ้าแค่ต้องปกป้องตัวเองให้ถึงตอนนั้น”
จ้าววิหคเพลิงโบกมือเพื่อปลดม่านพลัง
“ขอบคุณท่านจ้าวคณะ”
ซือหยูพูดและส่ายหน้า เขาพยายามอย่างหนักเพื่ออดทนกับความผิดหวัง
ในตอนนั้น กลิ่นหอมหวานพร้อมกับรังสีอันบริสุทธิ์ก็เข้ามาหาพวกเขา เป็นเฟิงเซี่ยนที่เดินมายังซือหยูหลังจากที่ลังเล
“ท่านหยินหยู…”
“ข้าต้องการคำอธิบาย”
ซือหยูทำราวกับไม่ได้ยินนาง
“โอ้ ใช่แล้ว ท่านจ้าวคณะ ข้าขอพักที่นี่สักวันจะได้หรือไม่?”
จ้าววิหคเพลิงพยักหน้า
“ได้สิ เจ้าเดินทางมาไกลเพื่อประลอง พวกเราย่อมต้องดูแลเจ้าให้ดีอยู่แล้ว เราจะฟื้นฟูเจ้าอย่างดีที่สุด คนที่เหลือจะฟื้นฟูพลังก่อนเดินทางกลับก็ย่อมได้”
ถ้าเป็นเช่นนั้นซือหยูก็ไม่กังวล
“หยินหยู!”
เฟิงเซี่ยนพูดขึ้นมาอีกครั้ง
“ข้าต้องการคำอธิบาย!”
ความเยือกเย็นและสูงส่งของนางเริ่มที่จะหายไป
ซือหยูไม่สนใจนาง เขาเดินไปหาซงหลวน
“พี่ซงหลวน งานชุมนุมจบแล้ว ท่านคิดอ่านอย่างไรต่อไปรึ?”
ซงหลวนไม่ได้บาดเจ็บ อย่างน้อยซือหยูก็สัมผัสได้ว่าซงหลวนใช้พลังวิญญาณไปแค่สามในสิบส่วน
“ข้าคงต้องอยู่พักฟื้นพลังที่นี่…”
ซงหลวนตอบด้วยรอยยิ้ม
เอ๋? ซือหยูครุ่นคิด สัญชาตญาณบอกเขาว่าซงหลวนกำลังปิดบังอะไรอยู่
ในตอนนั้นเองเฟิงเซี่ยนก็เดินมาหาเขาอีกครั้ง น้ำเสียงของนางเย็นชา
“ข้าถามเจ้าอยู่นะ! เจ้าติดค้างทำอธิบายของข้า!”
ซือหยูเลิกคิ้ว เขาหันไปถามอย่างเยือกเย็น
“ข้ามีอะไรติดค้างเจ้ากัน?”
สีหน้าเฟิงเซี่ยนเยือกเย็น ความไม่เป็นมิตรนั้นขัดกับรังสีความบริสุทธิ์อย่างยิ่ง
“เจ้าคิดว่าอะไรล่ะ?”
ซือหยูเยือกเย็นยิ่งกว่านาง
“ข้าไม่รู้ เจ้าทำตัวแปลกนัก!”
ซือหยูพูดจบและหันหลังเตรียมจะจากไป
“เดี๋ยวก่อน!”
“ข้าขอถามเจ้า เจ้าเข้าใจผิดว่าข้าเป็นคนรักของเจ้าและทำให้ข้าเป็นตัวตลกต่อหน้าทุกคน เจ้าไม่คิดว่าเจ้าควรจะพูดอะไรสักหน่อยรึ?”
เฟิงเซี่ยนยืนอยู่ที่เดิม แม้นางนางจะโกรธแต่น้ำเสียงของนางก็บริสุทธิ์อย่างไม่น่าเชื่อ ทำให้ยากที่จะพบเพลิงในใจของนาง
ซือหยูคิดอยู่ชั่วครู่ เขาเข้าใจผิดว่านางเป็นคนอื่นและต้องรับผิดชอบที่สร้างความเข้าใจผิด เขาประสานมือด้วยความนับถือ
“ข้าเข้าใจว่าเฟิงเซี่ยนเป็นสตรีที่ข้ารัก และข้าทำให้ชื่อเสียงของเจ้าหม่นหมอง ข้าหวังว่าเฟิงเซี่ยนจะอภัยให้ข้า”
ซือหยูพูดจบและหันเดินไปกับซงหลวน แต่เสียงตะคอกก็ดังตามเขามา
“แค่นั้นรึ?”
เฟิงเซี่ยนขึ้นเสียง
“มันไม่มีความจริงใจเลย! เจ้าจะเข้าใจว่าข้าเป็นคนอื่นก็ไม่เป็นไร แต่เจ้าทำให้ข้าเป็นตัวตลกต่อหน้าทุกคน ข้าจะมีหน้าไปพบเจอคนอื่นต่อไปได้ยังไง?”
หา?
ซือหยูสับสน ซือหยูทำให้นางเป็นตัวตลกตั้งแต่เมื่อใดกัน? ตั้งแต่เดิม ที่เขาทำลงไปก็แค่เข้าใจผิดว่าเฟิงเซี่ยนคือเซี่ยนเอ๋อ เขาไม่เคยพูดไม่ดีกับนางเลย ในความจริงแล้วกลับเป็นเฟิงเซี่ยนเองที่พยายามจะสั่งซือหยูเพื่อเพิ่มสถานะตัวเองให้สูงส่งขึ้น นั่นทำให้ซือหยูอารมณ์เสียเล็กน้อย
แต่เมื่อเขาคิดถึงจากมุมมองของนาง ซือหยูก็เข้าใจ เฟิงเซี่ยงคิดว่าซือหยูรักนางจริงๆ นางจึงปฏิเสธเขาซ้ำแล้วซ้ำเล่าโดยหวังจะแสดงให้โลกได้เห็น แต่แท้จริงแล้วซือหยูกลับรักคนอื่นที่ไม่ใช่นาง นั่นทำให้นางตกใจมากและทำให้สิ่งที่นางทำลงไปนั้นน่าขัน แต่นางก็เป็นคนที่ทำหยิ่งยโสและสูงส่งเอง ซือหยูจะ
ช่วยอะไรได้เล่า?
เจียงมู่เฟยที่ยิ้มมาโดยตลอดพูดขึ้น
“นี่แม่นางไม้ โชคร้ายนักที่คนที่น้องหยินหยูรักไม่ใช่เจ้า เจ้าจะทำเช่นนั้นไปก็เปลี่ยนใจน้องหยินหยูไม่ได้หรอก”
เฟิงเซี่ยนที่ได้ยินทั้งอับอายและโกรธเกรี้ยว! เจียงมู่เฟยราวกับมองว่านางเสียใจในสิ่งที่นางทำลงไปอย่างไร้เหตุผลเพื่อขอความรักจากหยินหยู! เฟิงเซี่ยนมองรอบๆและจบว่ายังมีคนมากมายอยู่ในที่นั่งคนดูและมองสิ่งที่เกิดขึ้น บางคนมองอย่างขยะแขยงและหัวเราะเยาะ
ฟึ่บ–
เฟิงเซี่ยนหน้าแดง นางกัดฟันและจ้องมองซือหยู
“มันไม่จบแค่นี้แน่!”