ตอนที่ 296-3 คำสารภาพรักของคุณชายสวีสาม

ชายาเคียงหทัย

เมื่อเยี่ยหลีและฮ่องเฮาคุยกันเสร็จ ฉินเจิงก็จูงมือฮว่าเทียนเซียงกลับมาแล้ว เห็นรอยยิ้มบนใบหน้าของฉินเจิงและใบหน้าได้รูปที่แดงระเรื่อของฮว่าเทียนเซียง เยี่ยหลีก็รู้คำตอบแล้ว ไม่ได้พูดอะไรที่ทำให้ฮว่าเทียนเซียงไม่เป็นตัวเองอีก เพียงแค่ยิ้มให้นาง ใบหน้างดงามของฮว่าเทียนเซียงมึนงงเล็กน้อย ก่อนจะกระซิบ “หลีเอ๋อร์ ขอบคุณเจ้านะ”

“ไร้สาระน่า”

การเคลื่อนไหวของตระกูลสวีรวดเร็วมาก เช้าวันต่อมาสวีฮูหยินรองก็มาสู่ขอถึงเรือน ในเมื่อทั้งชายหญิงต่างมีใจให้กัน ฮ่องเฮาย่อมไม่ขัดขวาง และตกลงโดยดี สุดท้ายเนื่องจากใกล้ถึงเวลาออกศึก ทั้งสองตระกูลตกลงกันว่าปีหน้าค่อยจัดงานแต่งงานใหญ่ แม้จะเสียใจเล็กน้อยที่ไม่ได้แต่งลูกสะใภ้เข้าตระกูลในทันที แต่เมื่อสามารถปักธงไว้ได้ สวีฮูหยินก็โล่งใจ และดูมีความสุขตลอดทั้งวัน สวีฮูหยินใหญ่ที่ดูอยู่ก็อิจฉาและจนปัญญา น่าเสียดายที่ลูกชายของนางแต่ละคนรับมือยากขึ้นเรื่อยๆ เกรงว่าจะทำให้พวกเขายอมจำนนไม่ได้อีกแล้ว

หลังจากงานแต่งงานของสวีชิงเฟิงถูกกำหนดได้แล้ว พริบตาเดียวก็ถึงวันที่ต้องออกรบแล้ว

นั่นก็คือวันที่ยี่สิบหกเดือนมิถันายน เช้าตรู่ท้องฟ้าปลอดโปร่งและมีลมพัดเบาๆ เมืองหลีที่พลุกพล่านในอดีต กลับเงียบลงอย่างหาได้ยาก แต่นอกเมืองหลีมีเสียงกลองสนั่น และเต็มไปด้วยผู้คน

ทหารกองทัพตระกูลม่อในชุดสีดำ ในมือถืออาวุธสว่างสดใสไว้ ยืนอย่างเรียบร้อยที่ประตูเมืองเพื่อรอรับคำสั่ง โดยรอบมีผู้คนที่มาอำลา มองไปตรงหน้าเห็นเพียงสีดำหนึ่งแถบ ราวกับว่าทะเลสีดำอันไร้ที่สิ้นสุด ท่ามกลางกลุ่มก้อนสีดำยังมีสีเงินนับไม่ถ้วนเจิดจ้าภายใต้แสงอาทิตย์ ช่วยเพิ่มความหนาวเย็นและกำลังอันฮึกเหิมในฤดูร้อนที่แสนอบอ้าวนี้

ด้านหลังของทหารเหล่านี้ มีม้าพันธุ์ดีที่แข็งแกร่งยืนอยู่อย่างเงียบๆ แม้แต่เสียงกลองสงครามก็ไม่สามารถทำให้พวกมันตกใจได้แม้ครึ่งนาที ข้างๆ ม้าแต่ละตัวมีร่างสูงยืนตัวตรงที่สวมด้วยอาภรณ์ดำ การรวมกันระหว่างคนคนหนึ่งกับม้าหนึ่งตัว ทำให้ผู้คนรู้สึกราวกับว่าเห็นท่าทางที่กล้าหาญของพวกเขาในสนามรบ

“นี่มัน…นี่มันอัศวินเมฆาดำนี่” ในฝูงชน มีใครกระซิบอย่างอยากรู้อยากเห็น ผู้คนมักจะชื่นชมวีรชนโดยสัญชาตญาณ ผู้ชายทุกคนมองพวกเขาด้วยความเคารพยำเกรงและหญิงสาวทุกคนต่างก็มองพวกเขาด้วยความชื่นชม

“สมกับเป็นอัศวินเมฆาดำ ในใต้ฟ้านี้ รู้เพียงว่าจวนติ้งอ๋องถึงจะมีกองทหารที่ยอดเยี่ยมเช่นนี้” ผู้คนต่างพากันวิพากษ์วิจารณ์ สายตาของพวกเขาที่มองประตูหน้าเมืองก็เผยความเคารพยำเกรง

ณ ประตูเมือง ขุนนางทหารและขุนนางพลเรือนของเมืองหลีมาส่งอำลากองทัพ แม้แต่อาจารย์ชิงอวิ๋นและซูเจ๋อที่ละทางโลกไปแล้วก็มา พร้อมกับพาบรรดาศิษย์ของสำนักหลีซานมาด้วย อาจเป็นเพราะระบบการรับราชการทหารในซีเป่ย นักเรียนของซีเป่ยหากไม่มีสถานการณ์พิเศษอะไร พวกเขาจะได้สอบเข้าเป็นขุนนาง หลังจากรับราชการทหารอย่างน้อยหนึ่งปี ดังนั้นในซีเป่ย ความคิดในเรื่องปัญญาชนดูหมิ่นทหารและการดูถูกกันระหว่างพลเรือนและทหารนั้นเบากว่าที่อื่นๆ มาก มีศิษย์บางคนหลังจากเกณฑ์ทหาร ก็ทิ้งพู่กันไปฝึกฝนการต่อสู้

“ต่อไปก็รบกวนอาจารย์ชิงอวิ๋นดูแลเมืองหลีด้วย” ม่อซิวเหยาโค้งคำนับให้อาจารย์ชิงอวิ๋นด้วยความเคารพ อาจารย์ชิงอวิ๋นรีบยื่นมือออกมายั้งเขา ก่อนจะพยักหน้าและพูดด้วยรอยยิ้ม “ท่านอ๋องวางใจได้ การไปครานี้ ข้าขออวยพรล่วงหน้าให้ท่านอ๋องโบกธงแห่งชัยชนะ”

ม่อซิวเหยายิ้ม เอ่ย “ขอบคุณคำมงคลของท่านตา”

“ท่านแม่ๆ…ท่านแม่ไม่ต้องการเสี่ยวเป่าแล้วหรือ” ม่อเสี่ยวเป่าดึงเสื้อเยี่ยหลีอย่างน่าสงสารจับใจ เงยใบหน้าเล็กๆ มองนางด้วยดวงตากลมโตรื้นน้ำตา เยี่ยหลีถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะโน้มตัวไปแตะศรีษะน้อยของเขาและพูดว่า “แม่ต้องออกเดินทางไกลไปกับท่านพ่อของลูก เสี่ยวเป่าอยู่ที่บ้านต้องเชื่อฟังคำพูดของท่านทวดและท่านลุงนะรู้ไหม”

“ท่านแม่โกหกลูก! ทั้งๆ ที่ท่านแม่จะออกไปรบกับท่านพ่อ ไม่ได้ออกเดินทางไกลเสียหน่อย” ม่อเสี่ยวเป่าเอ่ยขึ้นด้วยอารมณ์เดือดปุดๆ

เยี่ยหลีจนปัญญา “ได้ แม่ออกไปรบจริงๆ เสี่ยวเป่าต้องเป็นเด็กดีอยู่ที่บ้านนะ”

“เสี่ยวเป่าก็จะไปช่วยท่านแม่รบด้วย!” ม่อเสี่ยวเป่าเอ่ยอย่างตื่นเต้น

ใบหน้าของเยี่ยหลีเผยความกระอักกระอ่วน ว่าแล้ว…นางคิดไว้อยู่แล้ว…

“ไม่ได้ เจ้ายังเด็กเกินไป รอโตแล้วถึงจะไปได้” เยี่ยหลีส่ายหัว ม่อเสี่ยวเป่ามองกำลังทหารที่ยืนอยู่ไกลๆ อย่างเสียใจ ดวงตาโตวาววับ “จริงหรือ เมื่อเสี่ยวเป่าโตแล้วก็สามารถนำทหารมากมายขนาดนี้ไปออกรบได้แล้วใช่ไหม”

เยี่ยหลีพยักหน้าโดยไม่ได้เอ่ยอะไร นางจะไม่ใช่คนจิตใจดีอะไร แต่ก็ถือว่าเป็นผู้รักความสงบสุข เหตุใดลูกชายที่นางคลอดถึงได้พูดเรื่องสงครามแล้วตื่นเต้นได้เล่า

ม่อซิวเหยาที่คุยกับอาจารย์ชิงอวิ๋นเสร็จหันกลับมามอง อุ้มม่อเสี่ยวเป่าขึ้นมาตรงหน้าตน ม่อเสี่ยวเป่ามองท่านพ่อของเขาหน้านิ่ง เขายังคงโกรธที่พ่อไม่ให้เขานอนกับท่านแม่เมื่อคืน

“อยู่บ้าน เป็นเด็กดีเข้าใจไหม” ม่อซิวเหยาเลิกคิ้ว เอ่ยอย่างเย็นชา

ม่อเสี่ยวเป่าขมวดคิ้วโต้ตอบ ใช้น้ำเสียงที่เย็นชายิ่งกว่าเอ่ย “ปกป้องท่านแม่ รบชนะเข้าใจไหม”

ม่อซิวเหยายื่นมือออกมาลูบหัวลูกชาย ก่อนจะถาม “ไม่มีอะไรจะพูดแล้วหรือ” ม่อเสี่ยวเป่าลังเลอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนจะเอ่ยอย่างขัดใจ “ระวังตัวด้วย” เห็นได้ชัดว่า ม่อเสี่ยวเป่าไม่คุ้นเคยกับการแสดงความห่วงใยต่อพ่อซึ่งเป็นศัตรูมาตลอด

คนอื่นๆ มองท่าทางที่ยุ่งเหยิงและพยายามจะสงบนิ่งของม่อเสี่ยวเป่าก็อดไม่ได้ที่จะหัวเราะอยู่ในใจ อย่างไรก็ตามไม่มีใครไปทำให้ม่อซื่อจื่อขายหน้า สวีชิงเฉินกระแอมเบาๆ และพูดกับทั้งสองคนว่า “ระวังตัวด้วย เมืองหลีมีข้า พวกเจ้าสบายใจได้”

ม่อซิวเหยาพยักหน้า “ข้าย่อมเชื่อมั่นในตัวคุณชายชิงเฉินอยู่แล้ว ฝากทุกอย่างด้วยนะ”

เยี่ยหลีเอ่ยเสียงเบา “พี่ใหญ่ ดูแลตัวเองด้วย”

“เจ้าก็ระวังตัวด้วย” เมื่อมองไปที่ผู้หญิงตรงหน้าซึ่งแต่งกายด้วยชุดสีขาว ไร้แป้งและเครื่องประดับ แต่ดูองอาจมากขึ้น สวีชิงเฉินก็กำชับเบาๆ

สมาชิกในครอบครัวของตระกูลสวีก็เดินเข้ามาลาเยี่ยหลีด้วย สวีฮูหยินใหญ่มองเยี่ยหลีด้วยสีหน้าจริงจัง และพูดว่า “เจ้าไม่ต้องห่วงอวี้เฉินกับจวินหัน ป้าใหญ่กับป้ารองจะดูแลเป็นอย่างดี เจ้าไปอยู่ข้างนอกก็ระวังตัวเองด้วยนะ”

“หลีเอ๋อร์ ดูแลตัวเองนะ” ฉินเจิงและฮว่าเทียนเซียงกระซิบบอกเยี่ยหลี แม้ว่าจะรู้มานานแล้วว่าหลีเอ๋อร์แตกต่างจากพวกนาง แต่พวกนางรู้ว่าเพื่อนสนิทแตกต่างจากพวกนางจริงๆ เมื่อเห็นนางยืนอยู่ข้างติ้งอ๋องด้วยใบหน้าสงบนิ่ง ในชุดออกรบ นับตั้งแต่โบราณเรื่องราวของลูกผู้หญิงผู้เข้าสู่สนามรบ ต่างเป็นเพียงละครในโรงงิ้ว ทว่าตอนนี้พวกนางไม่เพียงชื่นชมในความสามารถและความกล้าหาญของนางเท่านั้น แต่ยังอิจฉานางที่สามารถยืนเคียงข้างสามีและกล้าที่จะก้าวไปข้างหน้าด้วยดันอีกด้วย

“ข้ารู้ พวกเจ้าก็ดูแลตัวเองด้วย” เยี่ยหลีเอ่ยพลางยิ้ม

“ท่านอ๋อง พระชายา จวนจะได้เวลาแล้ว” จั๋วจิ้งในเครื่องแบบทหาร เดินมาข้างหน้ารายงานด้วยเสียงทุ้มต่ำ

ม่อซิวเหยาพยักหน้า พูดกับเยี่ยหลี “อาหลี เราออกเดินทางได้แล้ว”

“เจ้าค่ะ” เยี่ยหลีพยักหน้า ยิ้มรับ