ตอนที่ 315 ศิษย์พี่ที่ปกป้องศิษย์น้องที่รัก

เกิดใหม่เป็นสาวน้อยชนบท [特工狂妃:农妇山权有点田

ตอนที่ 315 ศิษย์พี่ที่ปกป้องศิษย์น้องที่รัก
ตอนที่ 315 ศิษย์พี่ที่ปกป้องศิษย์น้องที่รัก

ฉีเฉิงอยากจะฆ่า ๆ นางให้ตายตกไปเสีย สีหน้าของซูหวานหว่านแปรเปลี่ยนไปพลันใด หญิงสาวเหลือบมองเหล่าองครักษ์ที่เดินเข้ามาด้วยใบหน้าบูดบึ้งแล้วพูดออกมาว่า “เป็นอย่างที่ข้าคาดการณ์เอาไว้เลยว่าฝ่าบาททรงเป็นผู้ปกครองที่งี่เง่า แต่เมื่อได้เห็นกับตากลับพบว่ามันคือความจริง”

พูดจบซูหวานหว่านก็หยิบเข็มเงินออกมา และปาไปยังกลุ่มองครักษ์ที่กำลังเดินเข้ามาจับตัวนาง ร่างกายของพวกเขาล้มลงบนพื้น ทุกคนต่างตื่นตระหนกและไม่กล้าขยับเขยื้อน

ฉีเฉิงเองก็ตกตะลึงแล้วพูดว่า “ซูหวานหว่านเจ้ากล้าดีอย่างไร ถึงกล้าฆ่าคนต่อหน้าข้า!”

“ข้าเพียงวางยาสลบเขาเท่านั้น อีกประเดี๋ยวพวกเขาก็จะฟื้นขึ้นมา” ซูหวานหว่านตวัดสายตามองฉีเฉิง “ฝ่าบาทคงอยากจะรู้เรื่องนี้มากสินะเพคะ หรือว่าอยากจะให้หม่อมฉันแทงท่านดูสักครั้งหรือไม่เพคะ ท่านจะได้รู้มันด้วยตนเอง”

นี่นางกำลังจะฆ่าเขาใช่หรือไม่! ฉีเฉิงตกใจจนตะโกนออกมาว่า “เจ้ากล้าอย่างงั้นหรือ!”

“หม่อมฉันกล้าหรือไม่กล้า ฝ่าบาทยังไม่ทราบอีกอย่างงั้นหรือ?” ซูหวานหว่านเอ่ยพร้อมกับหยิบเข็มออกมาวางลงบนโต๊ะ และเหลือบมองไปที่ฉีเฉิง แต่ก็ต้องพบว่ามือของเขาสั่นเทาพอเห็นแบบนี้นางก็อดไม่ได้ที่จะเยาะเย้ยออกมา “ฝ่าบาท ดูเหมือนว่าฝ่าบาทจะทรงกลัวหม่อมฉันนะเพคะ ฝ่าบาทควรถอยไปจะดีกว่า และอยู่ให้ห่างจากตำหนักองค์ชายสามเสียจะดีกว่า มิเช่นนั้นมันจะเหมือนกับท่านอยู่ใกล้หม่อมฉัน หม่อมฉันเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองได้นานแค่ไหนที่จะไม่ปักเข็มไปที่ฝ่าบาท”

“เจ้า!” ฉีเฉิงโกรธเคืองเป็นอย่างมา เขาพยายามหาคนมาจัดการนางทนตนเอง แต่ทันใดนั้นก็มีน้ำเสียงอันเย็นชาดังขึ้นมาว่า “คุณหนูจ้าว ฝ่าบาทคือฮ่องเต้ได้โปรดทรงแสดงความเคารพต่อฝ่าบาทด้วย!”

ชายร่างสูงใหญ่กำลังก้าวเข้ามา ซูหวานหว่านไม่ต้องหันไปมองก็รู้ได้ทันทีว่าเขาคนนั้นเป็นใคร นางนั่งลงตรงตำแหน่งของตนเองเงียบ ๆ จ้องมองไปยังรองเท้าหนังสีดำที่กำลังเยื้องย่างเข้ามา และกล่าวว่า “ท่านแม่ทัพเหนียน บังเอิญเหลือเกิน ท่านเองก็มาที่นี่ด้วย”

“ข้ามาที่นี่ไม่ได้อย่างงั้นหรือ? แต่คุณหนูจ้าวนี่สิ ยังไม่ได้ออกเรือนเลยแต่กลับมาอาศัยอยู่ในตำหนักของบุรุษ ช่างไร้ยางอายจริง ๆ” สือเฉิงชุนก็กล่าวออกมาภายใต้หน้ากากอันเคร่งขรึม

“อ่อ” ซูหวานหว่านกล่าวออกมาอย่างเย็นชา ก่อนจะมองไปที่ฉีเฉิงและพูดออกมาด้วยรอยยิ้มว่า “มันไม่ใช่เพราะฝ่าบาทอย่างงั้นหรือ? ถ้าบ้านของข้าไม่ถูกปิดตาย แล้วข้าจะไปอาศัยอยู่ที่ไหนถ้าไม่ใช่ที่ตำหนักขององค์ชายสามใช่หรือไม่?”

“ข้า…” เมื่อได้ยินแบบนี้ฉีเฉิงก็พูดออกมาอย่างไม่มั่นใจ และยังไม่ทันเอ่ยจบก็ถูกซูหวานหว่านพูดขัดจังหวะขึ้นมาอีกครั้ง

“ฝ่าบาทอย่าเพิ่งพูดอะไรเลย ถ้าไม่ใช่เป็นว่าเพราะฝ่าบาทหม่อมฉันก็คงจะไม่มีโอกาสได้อยู่ใกล้ชิดกับองค์ชายสามขนาดนี้!” พูดจบซูหวานหว่านก็ลุกขึ้นยืน แล้วเดินลงไปนั่งตักฉีเฉิงเฟิง ทั้งสองคนมองหน้ากันราวกับไม่มีผู้ใดอยู่ภายในห้อง

ฉีเฉิงและสือเฉิงชุนก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปในทันที หญิงสาวหันไปมองพวกเขาเล็กน้อย เมื่อมองเห็นถึงความเกลียดชังในดวงตาของสือเฉิงชุน นางก็ยิ้มออกมาอีกครั้งแล้วกล่าวว่า “ขอบคุณสำหรับความกรุณาของแม่ทัพเหนียนสำหรับเรื่องเมื่อวานนี้ ข้าได้ยินมาเมื่อเช้านี้ว่าตระกูลจ้าวของเราดูเหมือนจะได้รับการแก้ต่าง และตอนนี้ฝ่าบาทและแม่ทัพเหนียนก็ต่างอยู่ด้วยกันที่นี่ ดูเหมือนว่าพวกท่านทั้งสองจะว่างมาก เหตุใดพวกท่านทั้งสองถึงไม่ลองพิจารณาคดีนี้ และพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของตระกูลจ้าวของข้าล่ะ”

นางกล้าคิดว่าเขามาที่นี่เพื่อมาแก้ต่างและคืนความบริสุทธิ์ให้กับนางอย่างงั้นหรือ? เขามาที่นี่เพราะได้ยินว่าฮ่องเต้กำลังจับผิดบางสิ่ง เขาจึงมาที่นี่เพื่อมารอดูความหรรษาที่จะเกิดขึ้น แม่ทัพเหนียนมองสบตาฉีเฉิงด้วยสีหน้าที่ไม่สู้ดีนัก

“เหตุใดพวกท่านทั้งสองคนจึงไม่พูดกันเล่า?” ซูหวานหว่านถอนหายใจออกมา “ฝ่าบาท ท่านกำลังหมายความว่าอย่างไร? ท่านแม่ทัพเหนียนสามารถเป็นพยานได้ ดังนั้นท่านได้โปรดออกคำสั่งพระราชทานอภัยโทษกับตระกูลจ้าวของข้าโดยเร็ว”

ซูหวานหว่านกำลังกดดันเขา!

นางสมควรตาย!

ฉีเฉิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และพูดออกมาอย่างเย็นชาว่า “พูดจาไร้สาระ! เห็นได้ชัดว่าตระกูลจ้าวมีความผิด! ยังไม่สั่งคนมาจับซูหวานหว่านไปอีก!”

เหล่าองครักษ์ต่างมองหน้ากันไปมา โดยไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย จนกระทั่งฝ่ายนั้นเอ่ยออกมาอีกว่า “หากพวกเจ้ายังไม่จับตัวนาง หัวของพวกเจ้าได้หลุดออกจากบ่าแน่!”

แต่ก่อนที่พวกเขาจะได้เข้าไปจับซูหวานหว่าน จู่ ๆ ก็มีบุคคลหนึ่งปรากฏตัวขึ้นแล้วกล่าวว่า “เหตุใดวันนี้ตำหนักองค์ชายสามถึงมีคนเยอะนัก พวกเจ้าหลีกทางให้ข้าด้วย”

เหล่าองครักษ์ต่างตื่นตกใจ ตะโกนถามว่า “เจ้าเป็นใคร!”

“แล้วเจ้าคิดว่าข้าเป็นใครกัน?” ชายคนสวมชุดสีฟ้าขาว เสื้อผ้าที่เขาสวมใสไม่ได้มีราคามากนัก หากแต่ใบหน้าของเขากลับดูชั่วร้ายจนน่าประหลาดใจ!

“เจ้า…” เหล่าองครักษ์ยังไม่ได้ขยับ และซูหวานหว่านก็รีบวิ่งไปหาชายคนและพูดว่า “ศิษย์พี่ใหญ่ ท่านมาที่นี่ทำไมกัน?”

“ถ้าข้าไม่มาในวันนี้เจ้าก็จะถูกรังแก?” คุณชายเป่ยฉวนพูดพร้อมรอยยิ้ม ชายหนุ่มเหลือบมองไปที่ฉีเฉิงและพูดออกมาอย่างโกรธเคืองว่า “ข้าได้ยินมาว่าศิษย์น้องของข้าได้ช่วยฝ่าบาทกำจัดนางสนมเอกไป แล้วเหตุใดตอนนี้ฝ่าบาทถึงถามหาความผิดกับนาง แล้วกำลังจะแยกศิษย์น้องออกจากองค์ชายสามอีก ข้ารู้สึกประหลาดใจมาก ไม่รู้ว่าในสมองของฝ่ายบาทมีอะไรอยู่กันแน่?”

“เจ้าอย่าพูดมาจาไร้สาระ!” สือเฉิงชุนชักดาบของตัวเองและรีบเดินก้าวไปข้างหน้าเพื่อสั่งสอนเป่ยฉวนเฟิงหลิวให้กับฉีเฉิง แต่ฉีเฉิงก็ตะโกนออกมาว่า “หยุด!”

“ฝ่าบาท เขา…” สือเฉิงชุนเอ่ยออกมาด้วยความสงสัย

“หุบปากซะ!” ฉีเฉิงกระตุกยิ้มและกล่าวว่า “องค์รัชทายาทแห่งเมืองเหยียนช่วงนี้เจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เจ้าคุ้นเคยกับเมืองหลวงหรือยัง?”

“อะไรนะ! องค์รัชทายาทแห่งเมืองเหยียน?” สือเฉิงชุนอุทาน

แม้แต่ซูหวานหว่านเองตกใจ ทำไมนางถึงไม่รู้เรื่องตัวตนฐานะที่แท้จริงของเป่ยฉวนเฟิงหลิวเลย ! นอกจากนี้เขายังเป็นถึงองค์รัชทายาท แล้วเหตุใดเขาถึงมาเป็น?

ศิษย์พี่คนนี้นางจะต้องเกาะขาของเขาเอาไว้ดี ๆ

ซูหวานหว่านคิดอยู่ครู่หนึ่ง เดินจับไปที่แขนเสื้อคลุมของเป่ยฉวนเฟิงหลิว และพูดออกมาด้วยน้ำเสียงสั่นเครือว่า “ศิษย์พี่! เจ้ามาอยู่ที่นี่แล้ว เจ้ารู้หรือไม่ว่าแม่ทัพและฝ่าบาททำอะไรกับข้าบ้าง? พวกเขากำลังจะฆ่าข้า! ในตอนนี้ก็มีหลักฐานแล้ว แต่ว่าพวกเขาก็ยังไม่ยอมประกาศให้ทุกคนได้รับรู้ ตระกูลจ้าวของข้ากำลังจะถูกขยี้จนป่นปี้ จนเละ…”

“ข้าได้ยินเกี่ยวกับเรื่องพวกนี้แล้ว” เป่ยฉวนเฟิงหลิวกล่าวออกมา เขาเหลือบไปมองฉีเฉิงและกลอกตาไปมา “ฝ่าบาท ถ้าจะให้พูดกันตรง ๆ ซูหวานหว่านเป็นเหมือนกับน้องสาวของข้า ถ้าท่านกำลังจะฆ่านาง ก็เหมือนทำร้ายคนในครอบครัวของข้าด้วย?”

เห็นได้ชัดว่าเป่ยฉวนเฟิงหลิวกำลังทวงคืนความยุติธรรมให้กับซูหวานหว่าน! จะทำอย่างงั้นได้อย่างไรกัน! สือเฉิงชุนจำได้ว่าก่อนที่เขาจะกลับมาเมืองหลวง ได้ยินมาว่าองค์รัชทายาทเหยียนได้มาที่เมืองเซี่ยเพื่อเป็นตัวประกัน แต่ว่าเป่ยฉวนเฟิงหลิวมาแสดงท่าทีหยิ่งผยองอวดดีแบบนี้! สือเฉิงชุนจึงเอ่ยขึ้นมาทันทีว่า “ฝ่าบาท องค์รัชทายาทเหยียนไม่สนใจในข้อกฎหมาย แสดงกิริยาไร้มารยาทต่อฝ่าบาทและเหล่าขุนนาง…”

“หุบปากซะ!” ถึงแม้ว่าฉีเฉิงจะโกรธมาก แต่เขาก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “คำพูดขององค์รัชทายาทช่างตลกเสียเหลือเกิน ได้โปรดใจเย็น ๆ วันนี้ข้าจะออกพระราชกฤษฎีกาประกาศให้ราษฎรให้ทราบกันทั่วว่าตระกูลจ้าวพ้นผิด”

“ขอบคุณพระทัยฝ่าบาท” ซูหวานหว่านกล่าวออกมา ไม่นานฉีเฉิงและสือเฉิงชุนก็เดินออกไปทันที และเมื่อแผ่นหลังของพวกเขาทั้งสองคนลับตาไป ซูหวานหว่านก็เอ่ยถามเป่ยฉวนเฟิงหลิวทันทีว่าทำไมฝ่าบาทถึงให้อภัยนาง

ที่แท้เป่ยฉวนเฟิงหลิวเป็นเชลย แต่ตอนนี้เมืองเหยียนและเมืองหลิวเป็นเมื่อเล็ก ๆ และเงียบสงบฉีเฉิงแอบกลัวว่าเมืองเหยียนจะแอบลักลอบก่อกบฏขึ้นมา ดังนั้นจึงต้องใช้แคว้นเล็ก ๆ สิบแคว้นของเขาในการแลกตัวขององค์รัชทายาทแห่งเมืองเหยียนอย่างเป่ยฉวนเฟิงหลิวมาอยู่ที่นี่เป็นตัวเชลยในระยะเวลาสามปี

ถึงแม้ว่าจะเป็นแค่เชลย แต่ฉีเฉิงก็ก็ไม่กล้าที่ขัดใจอะไรกับเป่ยฉวนเฟิงหลิวมาก

ในเวลานี้ฉีเฉิงและสือเฉิงชุนออกจากตำหนักขององค์ชายสามไปแล้ว สือเฉิงชุนเดินตามไปที่ข้างหลังและพูดว่า “พวกเขากำลังจะเหยียบย่ำพระพักตร์ของฝ่าบาท! น่ารังเกียจเสียจริง ๆ!”

“ทั้งหมดมันเป็นเพราะซูหวานหว่าน!” ฉีเฉิงหยุดฝีเท้า และเหลือบมองไปที่สือเฉิงอย่างเย็นชา “ไปที่บ้านแม่ทัพสวีแล้วค่อยบอกเขา… ”

ฉีเฉิงไม่อยากที่จะพูดอะไรมาก และสือเฉิงชุนก็กล่าวออกมาอย่างตรงไปตรงมา “ฝ่าบาททรงฉลาดมาก พรุ่งนี้พวกเขาคงที่จะหัวเราะไม่ออกแน่ ๆ!”